สำหรับตอนที่ 2 นี้ก็จะเป็นการแบ่งปันประสบการณ์จากการไปฝึกงาน ณ ประเทศญี่ปุ่นของสมาชิกของโครงการ ESTATE รุ่นที่ 1 อีกท่านหนึ่ง คือ คุณธรรมรัตน์ แซ่โค้ว สำหรับท่านนี้ก็จะมีประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากท่านแรก ทั้งเรื่องของการดำเนินชีวิต และลักษณะของการทำงาน ขอเชิญทุกท่านร่วมตักตวงประสบการณ์ไปพร้อม ๆ กัน
ช่วงหนึ่งของชีวิตกับ ESTATE 1
จำได้ว่าในสมัยที่เรียนอยู่มัธยมศึกษาตอนต้นได้ดูข่าวในโทรทัศน์เกี่ยวกับ การแข่งขันหุ่นยนต์ชิงแชมป์ประเทศไทย จึงมีความฝันว่าอยากที่จะทำได้บ้างแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปเรียนในสาขาวิชาอะไร จนเมื่อเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายก็ได้เข้าใจว่า การทำโรบอท นั้นต้องใช้ความรู้หลาย ๆ ด้านมาประกอบกัน ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งตอนนั้นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือเครื่องพีซีก็มิได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายอย่างเช่นในปัจจุบันทุกวันนี้ ครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับคอมพิวเตอร์นั้นก็คือ ตอนเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตัวผมเองก็ไม่ได้มีทักษะทางด้านนี้มาก ซึ่งในขณะนั้นก็ได้มีโอกาสเรียนรู้แค่การใช้ DOS ไม่ได้มีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่งเลย จนได้มาเรียนคอมพิวเตอร์จริง ๆ จัง ๆ อีกครั้งนึง ตอนที่เรียนในมหาวิทยาลัย สำหรับความรู้เกี่ยวกับ Embedded Systems นั้นได้รับคำแนะนำมาจากรุ่นพี่
สำหรับสาขาที่เรียนก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับทางด้าน Embedded Systems อยู่บ้าง กอปรกับความรู้ทางด้านนี้ก็แทรกซึมอยู่กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ และระบบของสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในบ้าน จึงทำให้ความรู้ด้านนี้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน
ผมได้เข้ามาร่วมโครงการ ESTATE เนื่องจากวันหนึ่งในขณะที่เป็นเวลาพักเบรก ได้เข้ามาที่เว็บไซด์ของทางสมาคมสมองกลฝังตัวไทย (www.tesa.or.th) เพื่อเข้ามาอ่านข่าวสารของทางสมาคมฯ หลังจากที่ไม่ได้เข้ามาดูข้อมูลในเว็บไซด์นี้นาน ได้เจอกับการประกาศรับสมัครวิศวกรไทยเพื่อเข้าร่วมโครงการ โดยมีการส่งไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นทางด้าน Embedded Systems เป็นเวลาหนึ่งปี และก่อนที่จะเดินทางไปฝึกงานจริง ๆ ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ก็จะมีการเรียนภาษาญี่ปุ่นและอบรมความรู้พื้นฐานต่าง ๆ ทางด้านโปรแกรมมิ่ง และ Embedded Systems ที่ประเทศไทยเป็นเวลา 6 เดือนกับผู้เชี่ยวชาญชาวไทย และญี่ปุ่น ผมใช้เวลาตัดสินใจนานเหมือนกันเพราะต้องมีการสอบคัดเลือกด้านโปรแกรมมิ่งซึ่งผมไม่ค่อยจะสันทัดสักเท่าไร เนื่องจากงานที่ทำในขณะนั้นจะเน้นไปทางฮาร์ดแวร์เป็นส่วนใหญ่ แต่ในที่สุดผมก็ได้ตัดสินใจลองไปสอบดูและก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับการคัดเลือก
หลังจากได้รับการคัดเลือกก็ตัดสินใจที่จะยื่นใบลาออกจากบริษัทเดิมที่ทำงานอยู่ในขณะนั้น และก็เริ่มที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นในช่วงเช้า และก็เรียนทางด้าน Embedded Systems ในช่วงบ่าย ใช้เวลาอบรมความรู้ต่าง ๆ ข้างต้นในประเทศไทยกับพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ที่เข้าร่วมโครงการอีก 13 คน ในระหว่างที่เรียนก็สนิทสนมกันและได้มีโอกาสที่จะได้ทำงานร่วมกันเป็นทีม จนมาถึงช่วงเวลาที่แต่ละคนที่เข้าโครงการจะเลือกบริษัทที่เราจะไปอยู่ด้วยนั้นก็ได้มีการพูดคุยกันในเชิงที่แต่ละคน มีแผนยังไง มีความคิดยังไง และเหตุผลอะไรในการเลือกบริษัทนั้นๆ ซึ่งสร้างความลงตัวและความเข้าใจกันได้ง่าย ในวันที่เดินทาง คือ ในวันที่ 22 มกราคม 2550 เครื่องออกประมาณเที่ยงคืน มีพี่ที่โครงการและก็แม่มาส่ง นี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งที่สองของผม แต่ก็ยังรู้สึกกลัวเครื่องบินเหมือนเดิม
หลังจากเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่น พวกผมทั้ง 14 คนก็ได้เข้าฝึกอบรมภาษาญี่ปุ่นอีกหกสัปดาห์ที่ AOTS ศูนย์ฝึกอบรมคันไซ ณ เมืองโอซากา หรือที่รู้จักในนาม KKC : Kansai Kenshu Center-関西研修センター ก่อนที่ จะแยกย้ายไปฝึกงานจริงตามบริษัทต่าง ๆ ที่เราได้ทำการเลือก
และก็ได้ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องแยกย้ายกันไปฝึกงานตามบริษัทที่ตนเองได้เลือกไว้ในตอนแรก ผมได้เลือกที่จะฝึกงานกันบริษัท NDR ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ เมืองโอซากา และมีสาขาที่กรุงโตเกียว เป็นบริษัทที่รับงานทั้งทางด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรือเล็ก โดยการส่งวิศวกรของทางบริษัทเข้าไปทำงานในบริษัทของลูกค้าด้วย ในส่วนของซอฟต์แวร์ก็จะรวมไปทั้ง Embedded Systems และ Software Application ต่าง ๆ
ผมได้มีโอกาสทำงานในทีมที่ถูกส่งไปทำงานที่บริษัทของลูกค้าชื่อ Toshiba Tec ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำวิจัยเกี่ยวกับระบบการทำงานของเครื่องถ่ายเอกสารของ Toshiba และยังมีงานวิจัยด้านต่าง ๆ อีกมากมาย ผมต้องเดินทางไปทำงานที่บริษัทของลูกค้าที่เมืองมิชิม่า จังหวัดชิสุโอกา ทุก ๆ สองสัปดาห์ โดยการไปทำงานแต่ละครั้งก็จะไปอยู่ที่นั่นครั้งละหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะกลับมาทำงานที่เมืองโอซากาอีกสองสัปดาห์ สลับกันไปอย่างนี้ ที่นั่นผมได้มีโอกาสพบกับวิศวกรและโปรแกรมเมอร์มากมายที่มาจากบริษัทอื่น ๆ ด้วย นอกจากคนญี่ปุ่นแล้วก็ยังมีคนอินเดียที่มาทำงานในนั้นด้วย การเดินทางมาที่เมืองมิชิม่านั้นจะเดินทางโดยใช้รถไฟชินกังเซ็น ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 2 ชั่วโมง 11 นาที ผมรู้สึกสนุกกับการทำงานและตื่นเต้นกับการนั่งรถไฟมาก ทั้งเร็วและประหยัดเวลาแต่ก็ค่าใช้จ่ายก็สูงเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องเดินทางไปทำงานก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้นั่งรถไฟบ่อย ๆ
ในส่วนงานที่ได้รับมอบหมายนั้น ช่วงแรก ได้เรียนรู้งาน และผลิตภัณฑ์ของทางลูกค้า ได้มีโอกาสทดลองใช้เมนบอร์ดที่นำไปใช้ในเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งทำให้เราต้องคิดตามไปด้วยว่าทำไมจะต้องออกแบบแบบนั้น ทำให้เข้าใจถึงการเลือกใช้ ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ ที่จะนำไปใช้ในงานนั้น ๆ หลังจากนั้นก็ถูกส่งไปช่วยงานของทีมที่ทำโรบอทที่จะนำไปใช้ในห้างสรรพสินค้า โดยได้รับมอบหมายให้เขียนโปรแกรม Simulation ของตัวโรบอท และอีกตัวนึง ก็คือ เขียนโปรแกรมสำหรับควบคุมและเก็บข้อมูลในการทดสอบอุปกรณ์อัลตร้าโซนิกบนตัวของโรบอท โดยที่ทางหัวหน้าทีมต้องการให้ใช้ Java Technology เพราะเขาต้องการที่จะนำโปรแกรมที่เราเขียนนั้นไปใช้ในทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งก็สร้างความลำบากแก่ผมเหมือนกัน เพราะว่าไม่เคยเขียนจาวามาก่อนหน้านั้นเลย แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้และก็ฝึกฝนด้วย และงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี พร้อมกับได้รับคำติชมและคำแนะนำดี ๆ จากหัวหน้าทีมและเพื่อน ๆในทีม งานสุดท้ายก่อนที่จะกลับมาสู่ประเทศไทย คือ การเขียนโปรแกรมทางด้านเน็ตเวิร์กที่จะใช้สำหรับโรบอท แต่ก็ยังไม่สำเร็จเพราะครบกำหนดต้องเดินทางกลับประเทศไทยพอดี
จากการที่ผมได้เดินทางไปฝึกงานครั้งนี้ได้รับความรู้ และมุมมองต่าง ๆ ที่หลากหลายกลับมา รวมทั้งได้มีโอกาสได้ไปดูและร่วมฝึกปฏิบัติงานจริง ๆ ในงานที่เป็นระดับที่มีความยากมากระดับนึงสำหรับตัวผม ได้ไปเห็นและรับรู้ว่าเค้าคิดอ่านและจะทำอะไรกัน หลังจากนั้นก็หันมามองย้อนและสำรวจตัวเองและวางแผนกับตัวเองในการที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ สำหรับที่จะมายกระดับศักยภาพและพัฒนาตัวเองโดยที่อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและความพอเพียงน้อมรับแนวพระราชดำรัสของในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที