วิกูล

ผู้เขียน : วิกูล

อัพเดท: 02 ส.ค. 2008 10.53 น. บทความนี้มีผู้ชม: 5377 ครั้ง

มืดนอก อาจเห็นผี...!!! มืดใน น่ากลัวกว่าผี...!!!


ผีหอระฆัง...!!!

ผีหอระฆัง...!!!

 

วิกูล  โพธิ์นาง

pd_wikulp@hotmail.com

www.oknation.net/blog/wikulponang

๒ สิงหาคม ๒๕๕๑



18845_nakhonnayok70.jpg

ตีสี่ตรง ของทุกก่อนเช้ามืด สามเณรใจฉัน จะรับหน้าที่ตีระฆังทำวัตรเช้า เป็นภารกิจประจำทั้งเย็นและเช้า จะเต็มใจหรือไม่ น่าจะเต็มใจนะเพราะไม่เห็นบ่นเลย หรือว่าเป็นเพราะนี้คือคำสั่งของหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสที่มอบหมายให้ จึงทำให้ไม่บ่น ไม่หยุด และไม่เคยตีผิดเวลา

 

จะผิดเวลาได้อย่างไร ก็พี่เณรแกเล่นยืนถือไม้ค้างรอเลย พอเวลามาถึงตีสี่ครึ่ง ทันทีหวดทันที เง๋งๆๆๆ  ก็ต้องถือว่าสามเณรใจฉันเป็นผู้มีบุญคุณยิ่ง ที่ปลุกพระภิกษุสามเณรทั้งวัด ทั้งต้องตื่นก่อนเวลา ไปเปิดพระอุโบสถ์ เปิดไฟ ปูอาสนะ ถวายพระภิกษุทุกรูป ส่วนสามเณรนั้นนั่งกับพื้นหินอ่อน ฤดูหนาวทีไรนั่งแบบนี้หนาวเย็น ด้วยอากาศของแถบภาคเหนือตอนล่าง

 

วันนี้อากาศเย็น เมื่อคืนฝนตกหนักทำให้น้ำขังบริเวณวัด ระดับน้ำมาถึงตาตุ่ม โดยเฉพาะบริเวณหอระฆังที่เป็นพื้นที่ต่ำ

 

หอระฆังนี้ เป็นทรงโบราณ อายุหลายสิบปี หลังคามุงกระเบื้องมีสองชั้นๆ แรกเป็นกลอง ชั้นสองระฆัง ตั้งอยู่ไม่ห่างกับบ้านเก็บศพของเศรษฐี หลังเล็กๆ ที่มาขออนุญาตหลวงพ่อปลูกและเก็บศพญาติตน ศพถูกฉีดยาและเก็บไว้ภายในหลังนั้นมานานกว่าสามเดือนแล้ว รอวันฌาปนกิจ

 

บริเวณหอระฆังมีต้นมะพร้าวสองสามต้น ต้นกล้วยเป็นป่าเล็กๆไฟมืด อาศัยก็แสงจากไฟที่กุฏิหลวงพ่อส่องมาลางๆ ยิ่งวันนี้เดือนมืดทำให้มองอะไรไม่ค่อยชัดเท่าไร  ถ้าประกอบกับคำเล่าอ้างของหลายๆรูปที่ว่าหอระฆังนี้ ผีดุ...!!! ยิ่งทำให้ความมืดเป็นความวังเวงยิ่งนัก ประกอบคำเล่าอ้างนั้นบ้างก็เล่าให้เห็นภาพว่าเห็นเหมือนคนอยู่บนหอระฆังตะคุ้มๆ นานๆจะเห็นครั้ง

 

ก็คำเล่าที่ว่ามาทำให้สามเณรใจฉันจึงเป็น “วีรสามเณร” สามเณรผู้กล้าแห่งวัด กล้าในหน้าที่ ที่ไม่มีใครประสงค์จะมาแย่งไปทำ หน้าที่นี้ทำมาตั้งแต่หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสมอบหมาย ทั้งประกาศต่อหน้าสงฆ์หลังทำวัตรเย็นเสร็จเมื่อช่วงกลางพรรษาที่แล้วโน้นว่า “ต่อไปนี้ให้เณรฉัน ตีระฆังทำวัตรเช้าวัตรเย็นนะ”

 

หลายๆรูปรู้ดีว่า หอระฆังนี้ผีดุ จึงไม่ค่อยอยากจะเอ่ยถึงได้แต่เก็บไว้ในใจ อาจเป็นเพราะเป็นทางผ่านไปพระอุโบสถ ทุกครั้งที่ผ่านมาบริเวณนี้ต่างก็เงียบกริบ เดินผ่านไปอย่างเงียบๆ ด้วยลมหายใจกระท่อนกระแท่น เอาเป็นว่าไม่อยากรบกวนผีว่านั้นเถอะ ผ้าเหลืองก็ผ้าเหลือง ก็ยังไม่มั่นใจนักว่าผีสมัยนี้จะกลัว

 

ย้อนมาที่วันนี้ สามเณรใจฉันค่อยๆเดินลุยน้ำจ๋อมๆ ขึ้นบันใดหอระฆัง ครั้นไปถึงชั้นแรกบริเวณของกลอง พลาดท่าใดไม่ทราบ ทำกุญแจพวงมหึมา ที่เก็บกุญแจของวัดทุกดอก หล่นเสียงดังโครมใหญ่...!!!

 

ทันใดนั้นเอง ก็หันไปเห็นเงาดำๆค่อยขยับและลุกขึ้น มองในความมืดคลายๆคน กุญจงกุญแจ พี่เณรใจฉันไม่สนใจแล้ว กลับหลังหันกระโดดสบงปลิว วิ่งย้อนศรเมื่อครู่ น้ำกระจาย ปากก็ตะโกนผีๆๆ ผีหลอก..!!!

 

กลับมานั่งทำใจทีกุฏิ เปิดไฟสว่างโล่ ลืมเลยเรื่องตีระฆัง วันนี้พลาดเลยเวลาเสียแล้ว พี่เณรใจฉันมีความรู้สึกว่าเมื่อครู่ เจ้าเงาดำๆนั้นทำเรียนแบบแกทุกอย่าง และร้องเสียงเดียวกันด้วย ผีๆๆๆ แต่แหบกว่า ทั้งยังวิ่งน้ำบานไป

 

แต่วิ่งไปคนละทาง สามเณรวิ่งมาที่กุฏิเจ้าอาวาส แต่สิ่งลึกลับนั้นวิ่งหายไปที่ใต้ถุนหอฉัน

 

เห็นระฆังไม่ตีเสียที หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาส จึงมาถามได้ความแล้วก็พาสามเณรใจฉัน พร้อมด้วยไฟฉายไปส่องดูที่บริเวณนั้น ก็ไม่มีอะไรนอกจากพวงกุญแจ หลวงพ่อก็ยืนส่องไฟให้ส่วนสามเณรตีระฆัง แม้เวลาจะผ่านไปแล้วยี่สิบนาที

 

“เณรหูฟาด ตาฟาด แมวหมา หรือเปล่า” หลวงพ่อถามหลังตีระฆังเรียบร้อย สามเณรใจฉันยืนยัน “โอ้ หลวงพ่อครับ ใช่แน่ๆ ผมเห็นจริงๆครับ ตัวใหญ่กว่าผมด้วย ไม่ใช่หมาแมวหรอกครับ ผี ผีแน่ๆหลวงพ่อ”

 

ทำให้วันนี้ การทำวัตรเช้า หลายรูปต้องรีบกว่าทุกวัน ตื่นแทบไม่ทัน เพราะเริ่มทำวัตรเช้าเวลาเดิมตีสี่ครึ่ง แต่วันนี้ตีระฆังตีสี่ยี่สิบ แทนที่จะตีตีสี่ตรงเหมือนทุกๆวัน ผีแท้ๆทำได้

 

ข่าวผีหลอกสามเณรใจฉัน แพร่สะพัดไปถึงในบ้านโยม  ในวัดเองก็ยังไม่เลิกพูดถึงขณะฉันเช้าก็ยังไม่มีเรื่องอื่นเลย ที่จะคุยกัน เรื่องเดียว เรื่องผีหลอกสามเณรใจฉัน

 

หลังฉันเช้าเรียบร้อย ระหว่างที่หลวงพ่อกำลังให้อาหารแมวอยู่นั้น โยมที่มาขอหลวงพ่อพักอาศัยเมื่อตอนหัวค่ำ ก็เดินเข้ามายกมือไหว้หลวงพ่อพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงแหบๆว่า “หลวงพ่อครับ ผมลากลับนะครับ” หลวงพ่อมองหน้า มือก็กำลังคลุกข้าวให้แมว “ทำไมล่ะโยม ไหนบอกว่าจะมานอนสองคืน เสร็จธุระแล้วเหรอถึงจะกลับไวจัง แล้วกินอะไรหรือยังล่ะนี่ เดียวอาตมาจะให้สามเณรเอามาให้นะ” 

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับหลวงพ่อ ผมกินแล้วที่ตลาดเมื่อเช้าเข้าไปกินกาแฟมาด้วย ออกไปแต่ตีสี่แล้วครับ เพิ่งเข้ามา ผมขอตัวกลับเลยนะครับ ขอบคุณหลวงพ่อมากเลยครับ” โยมคนเดิมกล่าวอธิบาย

 

“นอนสบายดีไหมโยมเมื่อคืนที่หอฉัน” หลวงพ่อถามแบบไม่ต้องการคำตอบ

 

โยมท่านนี้ มาขอหลวงพ่อนอนเมื่อตอนหัวค่ำ หลวงพ่อก็อนุญาตให้พักได้โดยชีและบอกให้ไปนอนพักที่หอ  พร้อมกับชี้มือไปที่หอฉัน ซึ่งก็ต้องเดินผ่านหอระฆังไป

 

เมื่อลาหลวงพ่อแล้วก็เดินจากไป ในใจก็คิดว่าเมื่อคืนนี้หลวงพ่อให้เราไปนอนที่หอฉันหรือนี่ ดีนะที่ไม่ไปนอน ขนาดที่หอระฆัง ผียังดุขนาดนี้ มีหวังหัวโกร๋นถ้าเราไม่ฟังเพี้ยน แล้วไปนอนที่หอฉันนั่นจริงๆ

 

คุณโยมจากไปพร้อมกับความกลัวผีหอระฆัง สามเณรใจฉันก็ยังอยู่ในวัดที่ต้องอยู่กับเจ้าผีหอระฆัง ที่ไม่รู้ว่าวันใดจะมาหาอีก

 

หลวงพ่อก็ยังอยู่พร้อมกับความสงสัยว่า ทำไมสามเณรใจฉันถึงตาฟาด หูฟาดได้ขนาดนั้น ส่วนคุณโยมนั้นก็ทำไมรีบกลับแต่เช้า

 

ผมว่าท่านผู้อ่านช่วยอธิบายให้หลวงพ่อ สามเณร และโยมได้ทราบดีไหมครับจะได้กระจ่าง เสียทีว่าที่ว่าผีนั้น เป็นอะไรกันแน่  ความมืดแท้ๆที่ทำให้เข้าใจผิดไปใหญ่

 

แค่ความมืดธรรมชาตินะนี่ยังขนาดนี้ แล้วถ้าความมืดของปัญญา ด้วยเงากิเลสล่ะ จะไม่ยิ่งกว่านี้หรือ

 

/////////////////////////////////////

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

เรื่อง : เรื่องจริง มีปรุงแต่งบ้าง นามที่ปรากฏสมมติ




บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที