ก้าวไกล

ผู้เขียน : ก้าวไกล

อัพเดท: 28 ม.ค. 2007 18.15 น. บทความนี้มีผู้ชม: 9140 ครั้ง

นวนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึง การห้ำหั่นทางการเมืองของเหล่าขุนนางและเหล่าจอมยุทธ์ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมะ โดยเป็นเหตุการณ์หลังจากยุคสามก๊ก ที่ถูกรวบรวมโดยสุมาเอี๋ยน ก่อตั้งราชวงศ์ซีจิ้นขึ้น และคำกล่าวเล่าว่า ผู้ใดได้ครอบครองอาวุธทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งสามแล้วจะสามารถครองแผ่นดินได้....


หนทางแห่งชีวิต

บทที่ ๒  หนทางแห่งชีวิต

 


                ตะวันฉายแสงสาดส่องระยิบระยับตัดกับสายน้ำที่พัดเอื่อยๆอยู่ในแม่น้ำสายหนึ่ง  แม่น้ำสายนี้ไม่กว้างมากนัก ระยะห่างทั้งสองฝั่งห่างกันเพียงยี่สิบวา  แม่น้ำสายนี้ไหลตัดผ่านช่องเขาแห่งหนึ่ง  กลายเป็นทัศนียภาพที่สวยสดงดงาม  ต้นไม้ที่ขึ้นรกครึ้มทำให้เขาแห่งนี้ดูวังเวง  ยามกลางวันก็ไม่ต่างจากช่วงเย็นสักเท่าไรนัก  แทบเรียกได้ว่าภายใต้ขุนเขาแห่งนี้แทบจะไม่มีแสงแดดที่สามารถส่องลงมาแผดเผาพื้นเบื่องล่างได้เลย 

               

                ที่โขดหินริมแม่น้ำแห่งหนึ่งเกยไว้ด้วยชายผู้หนึ่ง  คนผู้นี้ไม่มีสติ  และไร้ซึ่งความรู้สึก  หากแม้นว่ามีผู้คนผ่านเข้ามายังเขาลูกนี้ย่อมต้องคิดว่าคนผู้นี้คือซากศพเป็นแน่แท้  แต่ใครละที่จะเข้ามาเดินเล่นทอดน่องอยู่ในขุนเขาลูกนี้  อย่าว่าแต่ผู้คนเลย  แม้แต่สิงสาราสัตว์ยังไม่ปรากฏกายให้เห็นในป่าแห่งนี้แม้แต่ตัวเดียว 

 

                ....ที่นี่ที่ไหน..... 

                ....เราเป็นอะไร.....

                ....อ่อ ใช่แล้ว  เราโดนเจี่ยฮองเฮาเล่นงานนี่... 

....แล้วเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านละ.....  ....แย่แล้ว....

 

                ชายหนุ่มที่นอนเกยอยู่ที่โขดหินข้างแม่น้ำมีอาการกระตุกเล็กน้อย  ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ  เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย  แต่ก็พยายามกระเสือกกระสนคืบคลานเข้าสู่ฝั่ง  ร่างกายของเขาทุกส่วนแทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้  แต่เขาก็ต้องทำ  เขาคิดอย่างแน่วแน่ว่า  เขาต้องรอด  เขาไม่ใช่ใครอื่น  เฉียนเกาซัน นั่นเอง

 

                เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เสียงหมู่วิหกบินผ่านขุนเขา ปลุกให้เฉียนเกาซันกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง  แม้นว่าเขาสามารถที่จะขยับเขยื้อนร่างกายได้  แต่ด้วยการที่โดนทำร้ายอย่างรุนแรงทำให้เขามีสภาพไม่ต่างจากคนพิการ  อย่าว่าแต่ลุกขึ้นเดินเลย  แค่เพียงขยับร่างกายก็แทบจะทำไม่ได้แล้ว

 

                เฉียนเกาซันขยับกายเอนหลังพิงกับโขดหินก้อนใหญ่ปล่อยร่างกายครึ่งร่างแช่ในลำน้ำ  มือขวาของเขายังคงกำหอกทลายฟ้าไว้แน่น  แม้นว่าตอนนี้ยังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยกหอกขึ้นมาก็ตาม  แต่เขารู้ว่าหอกเล่มนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยให้เขามีชีวิตรอดต่อไป  อย่างน้อยก็เป็นเครื่องมือไว้ล่าสัตว์มาประทังชีวิตได้

 

                วิกาลราตรีคืบคลานเข้ามาอีกครา  เฉียนเกาซันไม่สามารถออกไปหาผลไม้หรือล่าสัตว์ได้  ดังนั้น  เขาได้แต่ใช้น้ำในลำธารดื่มกินพอประทังชีวิตเท่านั้น  ไม่นานนักด้วยความเพลีย  เขาก็ม่อยหลับไปอีกครา

               

                ในขณะที่เฉียนเกาซันเข้าสู่นิทรานั้น  เรื่องประหลาดพลันอุบัติขึ้น  หอกทลายฟ้าในมือเปล่งแสงเรืองรองสะท้อนกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน  ตัวหอกคล้ายมีพลังไม่สิ้นสุดถ่ายทอดจากตัวหอกเข้าสู่มือของเฉียนเกาซันอย่างต่อเนื่อง  ทำให้เฉียนเกาซันได้รับการรักษาร่างกายอย่างไม่รู้ตัว  ร่างกายของเขาได้รับการรักษาอย่างช้าๆจากหอก  หอกเหมือนมีชีวิต  หอกรู้ว่าใครคือนายของมัน  และรู้ว่าตัวมันเองควรจะทำอย่างไร  หอกทลายฟ้าได้ค้นพบผู้เป็นนายของมันอย่างแท้จริงแล้ว ....

 

                เวลาผ่านไปเนินนาน เฉียนเกาซันฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครา   แต่ครานี้ร่างกายที่บาดเจ็บได้ทุเลาหายดีไปเจ็ดแปดส่วน  แม้ว่าเขารู้ตัวดีว่าวรยุทธ์ของเขาได้โดนทำลายไปแล้ว  แต่ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกับว่าเขาได้รับสิ่งอื่นทดแทนมา  แต่ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร  ในมือของเขายังคงกำหอกเอาไว้แน่น  เขาลดสายตามามองหอกทลายฟ้า  ในใจของเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นเมื่อมีหอกทลายฟ้าอยู่ในมือ  เมื่อมองเห็นหอก เสมือนมองเห็นพ่อของตนเองผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหอกคนเก่า  เขาตั้งใจว่านับแต่นี้ไปหากแม้นว่าตนยังไม่สำเร็จวิชาใดวิชาหนึ่ง  จะไม่ขอออกจากหุบเขาแห่งนี้โดยเด็ดขาด

 

                เฉียนเกาซันใช้เวลาในหุบเขาอยู่กับการนั่งสมาธิและเก็บผลไม้ป่าประทังชีวิต  ในตอนแรกเขาก็แปลกใจว่าเหตุอันใดป่าที่กว้างใหญ่เช่นนี้กลับไม่มีสัตว์ป่าแม้แต่ตัวเดียว  แต่ต่อมาเขาก็เลิกที่จะครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้  เพราะแค่เพียงผลไม้ป่าที่มีก็ทำให้เขาประทังชีวิตต่อไปได้  การใช้ชีวิตของเฉียนเกาซันเป็นไปตามธรรมชาติ เขาไม่คิดที่จะฝึกวรยุทธ์  เขาไม่คิดที่จะขวนขวายหาวิทยายุทธ์ใหม่  เขาเชื่อว่ายอดวิชานั้นจะต้องเกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ  เขาจึงไม่รีบเร่งในการค้นคว้าวิชาการต่อสู้  เขาปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามวิถีของธรรมชาติ  ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการปรับให้พื้นฐานในการฝึกยุทธ์ของเขามั่นคงยิ่งขึ้น  ที่สำคัญที่สุด  ทำให้พลังใจในการมีชีวิตอยู่ของเฉียนเกาซันนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป  เพราะทั้งนี้เขาคิดในใจเพียงอย่างเดียวว่า  เขาต้องรอดและกลับมาผงาดในยุทธภพให้ได้อีกครั้ง ....

 

                ชั่วระยะเวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว  เฉียนเกาซันนั่งสมาธิอยู่ที่โขดหินก้อนเดิมมีหอกทลายฟ้าวางไว้บนตัก  ในเวลานี้เฉียนเกาซันเชื่อมั่นว่า  แม้นว่าตนเองไร้ซึ่งวรยุทธ์  แต่หากว่าได้ฝึกวิชาใดแล้วก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้  นั่นเป็นเพียงความรู้สึกชนิดหนึ่ง  เขาค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ  มองไปยังหอกทลายฟ้าที่อยู่บนตัก

 

                “ท่านพ่อ  ต่อไปนี้ข้าจะเริ่มคิดค้นวิชาหอกขึ้นมาใหม่  โดยใช้หอกทลายฟ้าที่ท่านให้มานี้เป็นเสมือนครูของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง”  เฉียนเกาซันรำพึงรำพันกับตนเอง

 

                เขาลูบไล้มือไปตามตัวหอก  เขารู้สึกเหมือนว่าหอกมีกระแสพลังถ่ายเทเชื่อมระหว่างตัวหอกกับเขาอยู่ตลอดเวลา  นั่นทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในจิตใจ  จากนั้นเขาลุกขึ้นยืนร่ายรำหอกในท่าที่เคยฝึกมา  แต่แม้นว่ากระบวนท่าจะใช่  แต่หามีความรุนแรงของลมปราณไหลออกมาจากหอกไม่  เขาไม่สนใจพยายามฝึกหอกไปเรื่อยๆ  โดยเฉพาะท่าแทง  เฉียนเกาซันรู้สึกว่า  ท่าที่เหมาะสมกับหอกมากที่สุดคือท่าแทงตรง  ดังนั้นเขาจึงมุ่งมันที่จะฝึกท่าแทงตรงให้เกิดความชำนาญก่อนค่อยหันไปฝึกท่าอื่นตามหลัง

 

                เฉียนเกาซันฝึกท่าแทงตรงนับร้อยนับพันครั้งในหนึ่งวัน  ฝึกเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งในรอบหลายวัน  จนในที่สุด  เฉียนเกาซันก็ค้นพบว่าท่าแทงตรงที่ตนฝึกนั้น  เป็นท่าที่นอกจากเหมาะสมกับอาวุธหอกแล้ว ยังมีอาณุภาพรุนแรงที่สุดในกระบวนท่าต่างๆด้วย  ขาดเพียงแต่ว่าขณะนี้ตนเองหาได้มีพลังลมปราณที่กล้าแข็งเหมือนดังก่อนไม่  แต่เฉียนเกาซันก็ไม่ได้ใส่ใจ  ทุกวันยังคงฝึกท่าแทงตรงต่อไป  จากหนึ่งเป็นร้อยจากร้อยเป็นแสน  จากแสนจนนับไม่ถ้วน  ทุกอย่างที่เฉียนเกาซันทำ  เป็นพื้นฐานที่จะปรับปรุงให้เขาก้าวไปสู่การเป็นจ้าวแห่งหอกต่อไป

 

................................................................................

 

                เย็นวันหนึ่งขณะที่เฉียนเกาซันออกหาผลไม้ป่าอยู่นั้น  เขาพลันได้ยินเสียงการต่อสู้กันในหุบเขา  เป็นเพราะหุบเขาแห่งนี้เงียบสงัด  ดังนั้นเมื่อมีเสียงการต่อสู้จึงสามารถได้ยินอย่างชัดเจน  เฉียนเกาซันจึงเร่งรุดไปยังแหล่งที่มาของเสียงการต่อสู้นั้น  เฉียนเกาซันในตอนนี้แม้นว่าจะไม่มีวิชาตัวเบา  แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็เป็นไปตามธรรมชาติดังนั้น  การเคลื่อนไหวของเขาจึงรวดเร็วเป็นพิเศษเหนือกว่าคนธรรมดา  ไม่นานนักเฉียนเกาซันก็มาถึงบริเวณที่เกิดการต่อสู้กันขึ้น 

 

                ชายชราประหลาดหนวดเครารุงรัง  ยืนประจันหน้าอยู่กับสตรีนางหนึ่ง  เฉียนเกาซันไม่สามารถมองเห็นสตรีนางนั้นได้ชัดเจน  ทั้งนี้เพราะชายชราประหลาดนั่นยืนบังเอาไว้นั่นเอง  แว่วเสียงของคนทั้งสองดังเข้าสู่หูของเฉียนเกาซัน  เฉียนเกาซันประหลาดใจมาก  เพราะเขาเองอยู่ห่างจากบริเวณที่มีการต่อสู้ร่วมยี่สิบวา  แต่เขาก็ยังคงได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง 

 

                “ชิงฟ่ง  จะอย่างไรเจ้าก็มอบสิ่งของออกมาเถอะ  เจ้าเก็บเอาไว้ก็หามีประโยชน์ต่อเจ้าไม่” ชายชรานั้นกล่าวเนิบนาบ

 

                “ท่านอาเตียว  แม้นว่าข้าพเจ้าเก็บของสิ่งนี้ไว้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าพเจ้าก็จริง  แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าให้ของสิ่งนี้ตกไปอยู่ในมือของท่านผู้เฒ่าไม่ใช่หรือ”  สตรีนางนี้พอกล่าวออกมา  ทำให้เฉียนเกาซันรู้ว่านางยังคงเป็นสตรีวัยดรุณ แต่จากคำพูดของนางแสดงให้เห็นว่า  นางน่าจะมีฝีมือมิใช่ชั่ว ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้ามายืนต่อรองกับชายชรานั้นเช่นนี้

 

                ชายชราเหลือบมองรอบบริเวณ  เมื่อมองมาทางเฉียนเกาซัน  จึงรู้ว่ามีคนแอบดูอยู่  จากนั้นกล่าวเหมือนเพิ่งคิดได้ว่า

                “ชิงฟ่ง  เจ้าคิดว่าถ้าเราลงมือฆ่าคนในบัดดล  เจ้าจะลงมือช่วยเหลือหรือไม่” 

 

                “ท่านอาพอใจทำอะไรก็ทำเช่นนั้นเถอะ”  นางกล่าวราวกับไม่สนใจเรื่องอันใด

 

                “ประเสริฐ  เช่นนั้นเจ้าจงเบิกตาดูให้เต็มที่”  กล่าวจบร่างของชายชรากลับหายไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่

 

                เฉียนเกาซัน  แม้นได้ยินว่ามีคนจ้องจะฆ่าตน  แต่เนื่องจากตนเองไม่มีกำลังภายในจึงไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาหลบหนีได้  ดังนั้นจึงตกลงใจปักหลักรอคอยการมาของชายชราแซ่เตียวนั้น  เขาหวังในใจลึกๆว่าสตรีนางนั้นจะต้องช่วยเขาแน่นอน  แต่ฟังจากคำพูดจากปากของนาง  ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านางจะลงมือช่วยเขาหรือไม่  ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะป้องกันตัวเองอย่างเต็มความสามารถ  ....แล้วเขาจะใช้วิชาอะไรสู้กับชายชรานั่นละ  เขาคิด  คิด  และคำตอบก็คือ  หอกทลายฟ้า  ท่าแทงตรง  นั่นเป็นวิชาเดียวที่มันมีอยู่ในตอนนี้ 

               

                เสียงลมพัดหวีดหวิวเกิดขึ้นที่โสตประสาทของเฉียนเกาซัน  เขารู้ว่านี่เป็นพลังลมที่ชายชรานั้นจงใจสร้างขึ้นเพื่อรบกวนจิตใจของตน  ชายชรานั้นคิดว่าเขาเป็นยอดฝีมือจึงลงทุนสร้างแรงกดดันเช่นนี้  ที่ชายชราคิดดังนั้นเพราะเขามีความคิดว่า  หนึ่งนั้นชายหนุ่มผู้นี้เมื่อรุดมาซุ่มดูพวกเขาได้โดยที่พวกตนไม่รู้นั้นแสดงว่าชายหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นยอดฝีมือ  เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าในขณะที่ชายผู้นี้แอบเข้ามาซุ่มดู  ส่วนข้อสอง  จากที่เมื่อตนลงมือจู่โจม  ชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่คิดหลบหนี  นั้นทำให้เขาคิดว่าเฉียนเกาซันย่อมเป็นยอดฝีมือแน่นอน  แต่เขาคิดผิด  สตรีที่ยืนมองอยู่ก็คิดผิด  เฉียนเกาซันไม่ใช่ยอดฝีมือ  แต่เพียงแค่เคยเป็นยอดฝีมือมาก่อนเท่านั้น

 

               

                ชายชราตัดสินใจจู่โจมใส่เฉียนเกาซันอย่างรุนแรง  เขาปรากฏร่างขึ้นที่เบื้องหน้าของเฉียนเกาซันห่างไปสามวา   จากนั้นผลักดันมือทั้งสองข้างออกเสมอหน้าอก  พลังลมปราณทะลักเข้าใส่เฉียนเกาซันอย่างไม่หยุดยั้ง  หากเป็นก่อนหน้าที่เฉียนเกาซันจะมาอยู่ที่ป่าแห่งนี้  พลังมากมายถึงเพียงนี้ย่อมทำให้เขากระอักโลหิตออกมา  แต่ตอนนี้  เฉียนเกาซันมีวิถีธาตุเป็นไปตามธรรมชาติ  ร่างกายของเขาหลอมกลืนกับธรรมชาติ  ก่อกำเนิดพลังปราณธรรมชาติขึ้นภายในกายต้านรับกับพลังลมปราณของชายชรานั้นเองอย่างไม่รู้ตัว

 

                ส่วนตัวเฉียนเกาซันเอง  เมื่อเห็นการปรากฏกายของชายชราต่อหน้าเขานั้น  หาได้รับรู้ถึงพลังลมปราณของอีกฝ่ายไม่  เขารู้ว่าตนเองยังมีฝีมือห่างจากชายชราผู้นี้มากนัก  แม้นว่าจะเป็นแต่ก่อนที่ตนเองยังมีวิชาฝีมืออยู่ก็คงไม่สามารถรับมือกับชายชราผู้นี้ได้  แต่ตอนนี้เขาไม่คิดอะไร  สลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง  จดจ่ออยู่แต่เพียงอย่างเดียว  อย่างเดียวที่จะช่วยให้เขารอดชีวิตได้  หอกทลายฟ้า  ท่าแทงตรง......

 

                ขณะที่ฝ่ามือของชายชราใกล้จะถึงตัวของเฉียนเกาซันนั้นเอง  เฉียนเกาซันพลันขยับหอกในมือ จากมือที่จับหอกในท่าตั้งฉากกับพื้น  กลายเป็นขนานกับพื้นพุ่งตรงใส่ชายชรานั้นอย่างรวดเร็ว  ท่าหอกที่ปราศจากพลังลมปราณใดๆ  เป็นเพียงแค่ท่าหอกธรรมดา  ท่าหอกที่รวดเร็ว  ท่าหอกที่ไม่อาจประเมินพลังวัดของผู้ใช้ได้  แต่หอกนี้กลับมีพลังพิเศษแฝงกลิ่นอายลี้ลับยิ่ง  ทำให้ผู้ที่ต้องต้านทานรับท่าหอกนี้รู้สึกสับสน  ทั้งหมดนี้เป็นผลงานจากฝีมือของเฉียนเกาซันเพียงครึ่งเดียว  ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์ของตัวหอกเองทั้งสิ้น  มันคือหอกทลายฟ้า.....

 

ขณะที่ฝ่ามือกำลังจะปะทะเข้ากับทรวงอกของเฉียนเกาซันนั้น  หอกทลายฟ้าก็แทงตรงมุ่งจู่โจมถึงใบหน้าของชายชราเช่นเดียวกัน  ชายชราเห็นดังนั้นจึงรั้งฝ่ามือกลับพลิ้วกายถอยหลังหลบท่าแทงตรงอย่างเฉียดฉิว  บนใบหน้าของชายชรานั้นแสดงความรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก

 

                “เจ้าเป็นใครมาจากไหน  เหตุใดจึงมาอยู่ในป่าต้องห้ามเช่นนี้”  ชายชราถามเสียงราบเรียบ  พร้อมกับแสดงความสงสัยออกมาทางแววตา

 

                เฉียนเกาซันทางหนึ่งฟังคำถามอีกทางหนึ่งพยายามมองหาสตรีนางนั้น  แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง  แสดงว่านางใช้ช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เขากับชายชราจู่โจมใส่กันพลิ้วกายจากไป

 

                “ข้าพเจ้าชื่อหลิวฟ่าน  พอดีเรือที่ข้าพเจ้าใช้หาปลาประสบอุบัติเหตุ  เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าหมดสติลอยคอมายังป่าละแวกนี้   ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีนามว่าอะไร”  เฉียนเกาซันตกลงใจปกปิดชื่อและฐานะจริงของตนเองไว้  ทั้งนี้เพราะเขาไม่มั่นใจว่าชายผู้นี้จะเป็นคนของทางการหรือไม่

 

                “เจ้าไม่ใช่คนในยุทธจักรรึ  เหตุอันใดไม่รู้จักเราผู้เฒ่าเตียวเยี่ย  ฉายาปิศาจงมงาย  หากเจ้าไม่ใช่คนในยุทธจักร  เหตุอันใดจึงมีวิชาที่ร้ายกาจเยี่ยงนี้  ไม่ทราบว่าใครเป็นอาจารย์ของเจ้ารึ”  ชายชรากล่าวอย่างภูมิใจ  ทั้งนี้เพราะฉายาปิศาจงมงายนั้นเป็นที่เรื่องลือไปทั่วยุทธจักร  ไม่มีใครไม่ยอมรับในฝีมือของชายชราผู้นี้  เขาได้รับการขนานนามกับไต้ซือฉินกง  ของนิกายเซนว่าเป็นสองสุดยอดของดินแดนตงง้วน แต่เนื่องจากปิศาจงมงายเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาได้พบเจอกับซิ่วม่งชิวซึ่งถือว่าเป็นยอดหญิงที่มีความงดงามที่สุด  เขาจึงได้ออกเดินทางไปพร้อมกับนาง  หายสาบสูญไปจากยุทธภพตั้งแต่นั้นมา  ไม่ทราบเพราะเหตุอันใดจึงมาปรากฏกายอยู่ที่นี่

 

                “ได้ยินชื่อมิสู้พบหน้า  ข้าพเจ้าไม่มีอาจารย์ใดเป็นผู้สอนสั่ง  มีเพียงบิดาเท่านั้นที่ได้ดูแลข้าพเจ้าจนเติบใหญ่มา  ส่วนสิ่งที่ท่านพ่อให้ก่อนตายนั้นมีเพียงหอกด้ามนี้เท่านั้น”  เฉียนเกาซันกล่าวอย่างนอบน้อม

 

                ปิศาจงมงายเดินวนรอบตัวเฉียนเกาซันอยู่หลายรอบ  สำรวจมองลักษณะกายของเขาอย่างละเอียด  จากนั้นเขาเดินเข้ามาสัมผัสกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย  บีบ  สัมผัส  จับ จี้ จนเป็นที่พอใจ  สร้างความมึนงงสงสัยกับเฉียนเกาซันเป็นอย่างมาก

               

                “แปลกมาก  ข้าดูแล้วเจ้าไม่น่าจะเป็นคนมีวรยุทธ์  เหตุอันใดท่าแทงของเจ้าเมื่อครู่กลับทำให้ข้ามีความรู้สึกว่า  ไม่สามารถต้านทานรับได้  ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก  ที่สำคัญที่สุด  เจ้ากลับสามารถต้านทานรับพลังปราณพิรุณของข้าได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ  ทั้งๆที่เจ้าไม่มีวรยุทธ์ติดตัว  น่าสงสัยจริงๆ”  ปิศาจงมงายกล่าวอย่างฉงน

 

               

                “เจ้าหนุ่ม เอาอย่างนี้ดีไม๊  ข้าว่า  เจ้ามาอยู่กับข้าสักพักให้ข้าสอนอะไรหลายๆอย่างให้เจ้า  เจ้าจะได้มีวิชาความรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้นไง  จะอย่างไรข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้านัก”

 

                “อย่างนั้นจะได้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่กล้ารบกวนท่านผู้เฒ่าหรอก”  เฉียนเกาซันกล่าวอย่างงุนงง 

 

                “รบกวนอะไรกัน  ข้าอยู่คนเดียวเหงาๆ  มีเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนจะได้อุ่นใจหน่อย  อีกอย่างนะ  ข้าจะได้ศึกษาโครงสร้างร่างกายกับวิชาฝีมือของเจ้าด้วย  ถือว่าเราสองคนมาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ซึ่งกันและกันก็แล้วกัน”  ชายชรากล่าวอย่างอารมณ์ดี 

 

                เฉียนเกาซันกลับไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนของปิศาจงมงาย  เพราะเขารู้ว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขากลับมาเป็นยอดฝีมืออีกครั้ง  ใครจะคิดว่าเขาจะได้อยู่รวมกับผู้ที่ได้ชื่อว่าสุดยอดฝีมือในแดนตงง้วน  เขาจะต้องใช้เวลาช่วงนี้ตักตวงวิชาความรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

 

                ปิศาจงมงายมองหาหญิงสตรีนางนั้นสักครู่  ก่อนหันกลับถอนหายใจกล่าวกับเฉียนเกาซัน

                “นางหนูนี่หายไปอีกแล้ว  เอาเถอะ  อีกไม่นานนางคงกลับมาอีก  มาเถอะเรารีบกลับบ้านข้ากันก่อน  เดี๋ยวตะวันจะตกดินซะก่อน” 

 

                เฉียนเกาซันงุนงงกับคำพูดของปิศาจงมงาย  ตกลงว่าสตรีนางนั้นเป็นอะไรกับท่านผู้เฒ่ากันแน่  เหตุอันใดจึงต้องมาต่อสู้กัน  ขณะกำลังครุ่นคิดนั้นก็มีความรู้สึกว่าโดนชายชรานั้นฉุดดึงลอยระลิ่วไปตามลม  ร่างของทั้งคู่ก็กระโดดขึ้นลงหลายครั้งก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะหายกลืนไปกับความมืด....

 

...............................................................................................................................................................

               

                บ้านของปิศาจงมงายนั้นอยู่ห่างจากที่พักของเฉียนเกาซันไปประมาณสามก้านธูป  ถือว่าไกลมาก  แต่ทั้งคู่กลับใช้เวลาในการเดินทางเพียงไม่ถึงชั่วยามนั่นหมายความว่าปิศาจงมงายผู้นี้มีพลังตัวเบาที่เลิศภพจบแดนแค่ไหน  เฉียนเกาซันเองเพิ่งทราบว่าในป่าแห่งนี้กินอาณาบริเวณกว้างขวางมากนัก  แถบที่ตนอาศัยอยู่นั้นถือว่าเป็นแถบที่ไม่มีสัตว์ป่าแม้แต่ตัวเดียว  แต่เมื่อเดินทางมาถิ่นที่อยู่ของปิศาจงมงายแล้วกลับมีสัตว์ป่ามากมายออกมาให้เห็น  ทำให้เฉียนเกาซันเริ่มรู้สึกว่าตนเองได้กลับเข้าสู่วิถีชีวิตตามเดิมทีละน้อย 

               

                บ้านของชายชราผู้นี้เป็นบ้านที่ปลูกด้วยดินเหนียว  หลังคามุงด้วยหญ้าแฝก  แม้ว่าบ้านจะไม่ได้ใหญ่โตมากมาย  แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น  และที่สำคัญคือในบ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกว่าผู้ที่อยู่ในบ้านหลังนี้จะไม่มีทางเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับตนเองได้  นั่นเป็นความรู้สึกประการหนึ่ง 

 

                “เจ้าหนุ่ม  เจ้ารอข้าอยู่ในบ้านสักครู่  ข้าจะออกไปหาอาหารมาให้”  ชายชราหันมากล่าวกับเฉียนเกาซันก่อนที่ตนจะเดินออกจากบ้านไป

 

                “อ้อ  แล้วอย่าลืมก่อกองไฟด้วยละ  ข้ากลับมาจะได้ทำกับข้าวกินกันสักที”  ชายชราย้ำคำ

 

                “ได้  ท่านปู่  แล้วนอกจากนี้ให้ข้าทำอะไรอีกละ” เฉียนเกาซันตะโกนถามไล่หลังไป แต่ชายชราไม่ตอบคำ  กลับพลิ้วกายจากไปอย่างรวดเร็ว

 

                ไม่นานนักเฉียนเกาซันก็ก่อกองไฟสำเร็จ  เวลานั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว  พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้ว  แสงสว่างที่เหลือมีเพียงแสงจากกองไฟที่เกิดจากการสร้างของเฉียนเกาซันเท่านั้น  เขานั่งรออยู่ข้างกองไฟที่ตนเองก่อขึ้น  ในใจนึกถึงพวกพ้องที่เคยร่วมอยู่กันมา  พี่น้องที่ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือตน  แม้นว่าตัวเขาเองจะรอดมาได้  แต่หาได้มีความปีติยินดีไม่  ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกเคียดแค้นตนเองที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือผู้ใดได้เลย  ยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหล  เขากลับไม่เช็ดน้ำตา  ปล่อยให้มันไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง  เฉียนเกาซันคิดว่าอย่างน้อยน้ำตาก็ถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเสียใจของเขาที่มีต่อเหล่าพี่น้องที่ต้องลาโลกไปได้

 

                “เจ้าหนุ่ม   ร้องไห้ทำไมกัน”  ชายชรามานั่งอยู่ข้างกายเฉียนเกาซันเมื่อใดไม่ทราบได้

 

                เฉียนเกาซันเช็ดหน้าเช็ดตา  จากนั้นก้มหน้าตอบคำถามต่อชายชรานั้นว่า

                “ข้าพเจ้าคิดถึงบิดา  มารดาและเหล่าพี่น้องที่เสียชีวิตไปไม่นานนี้”

 

                ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซันเหมือนพยายามสืบหาข้อเท็จจริงบางอย่าง  หรือไม่เขาก็รู้แล้วว่าเฉียนเกาซันกำลังโกหกเขาอยู่

 

                “เจ้าหนุ่ม  เจ้ารู้จักข้ามาก่อนหรือไม่  เคยได้ยินเรื่องราวของข้ามาก่อนหรือไม่” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาดยิ่ง  นั่นคล้ายกับว่าเขาเองก็กำลังนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตเช่นกัน

               

                “กล่าวตามความสัตย์  ข้าพเจ้ามิเพียงไม่รู้จักท่าน ซ้ำเรื่องราวของท่านผู้เฒ่าข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้ยินมา” 

                “เจ้าคิดว่า  เราอายุเท่าไหร่แล้ว?”  ชายชราถามต่อ

 

                เฉียนเกาซันงุนงงกับคำถามที่ปิศาจงมงายตั้งขึ้น  ไม่ทราบว่าจุดประสงค์หลักของเขาคืออะไร  ดังนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบคำถาม

 

                “เราอายุมากกว่าแปดสิบปีแล้ว  เจ้าเชื่อหรือไม่”  ชายชรากล่าวราบเรียบ

 

                เฉียนเกาซันเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเริ่มมองภาพลักษณ์ของชายชราผู้ได้ฉายาว่าปิศาจงมงายผู้นี้เสียใหม่  ชายชราผู้นี้ความจริงน่าจะเคยเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาแต่สภาพในตอนนี้กลับผมเผ้ายุ่งเหยิง  แต่นอกจากนั้นแล้วเค้าโครงหน้าเขาก็มีดวงตาที่กลมโต  คิ้วที่ขาวยาวปกจอน  จอนทั้งสองข้างก็ขาวยาวถึงบ่า  ใบหน้าแสดงออกถึงความโอบอ้อมอารี  ร่างกายก็สมส่วนสูงใหญ่ ไม่ทราบเพราะเหตุอันใดจึงโดนผู้คนตั้งฉายาว่าปิศาจงมงาย

 

                “เราผ่านโลกมาขนาดนี้แล้ว  เจ้ายังคิดโกหกเราอีกรึ  เกาซันเจ้าไม่จำเป็นต้องโกหกเราก็ได้”  ชายชรากล่าวเปิดเผยความลับที่เฉียนเกาซันปกปิดไว้  ทำให้เขาตื่นตระหนกและเกิดความกระอักกระอ่วนยิ่ง

 

                “ท่านผู้เฒ่าทราบได้อย่างไรว่า  ข้าพเจ้าคือเกาซันอะไรนั่น”  เฉียนเกาซันลองปฏิเสธดู

 

                “ฮ่า ฮ่า ฮ่า  เด็กน้อย  เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครงั้นรึ  แม้แต่ปู่ของเจ้า เฉียนหยุนถัง ยังต้องเรียกเราว่าพี่ใหญ่  แล้วเจ้าต้องเรียกเราว่าอย่างไรละ”  ชายชราหัวเราะอย่างอารมณ์ดี  แต่ไม่ได้บอกว่าตนมีความสัมพันธ์ใดกับปู่ของเฉียนเกาซัน

 

                เฉียนเกาซันตะลึงลานกับคำพูดของชายชรานี้ไม่ทราบควรทำอย่างไร  มือขวาของเขาเริ่มกำหอกทลายฟ้าไว้แน่นยิ่ง

 

                “ขอเรียนถาม  ไม่ทราบท่านผู้เฒ่ามีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเฉียนของเรา”  แม้นว่าตอนนี้เขาอยากจะหนีจากชายชราผู้นี้ไป  แต่ก็รู้ดีว่าคงไม่สามารถทำได้  ดังนั้นจึงตกลงปลงใจสอบถามความจริง  อย่างน้อยฟังจากน้ำเสียงของชายชราผู้นี้ ตระกูลของตนน่าจะมีความสัมพันธ์กับเขาอยู่บ้าง

 

                ชายชรานิ่งเงียบไป  มองหน้าเฉียนเกาซันด้วยอำมหิตจากนั้นจึงกล่าวว่า

                “เรากับปู่ของเจ้าเป็นคู่อริกัน  เจ้าว่าความแค้นนี้เจ้าสมควรได้รับหรือไม่ เกาซัน”

               

                เฉียนเกาซันคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้  ดังนั้นเขาพานไม่ตอบคำแต่กลับเพ่งสายตามองตอบปิศาจงมงาย  หวังว่าค่ำคืนนี้คงไม่จบลงด้วยการสังเวยชีวิตให้กับชายชราผู้นี้

               

                ชายชราฉายาปิศาจงมงายจ้องมองเฉียนเกาซันปานจะกลืนกิน  ไม่นานนักเขากลับส่ายหน้าแล้วมองมาที่เฉียนเกาซันอีกครั้งพร้อมกับกล่าวว่า

                “เรื่องมันนานมาแล้ว  ช่างเถอะ  ไม่ว่าข้าจะคาดคั้นเอาโทษกับเจ้าอย่างไร  ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรขึ้นมาได้”
               

                เฉียนเกาซันเห็นว่าปิศาจงมงายผู้นี้อารมณ์เย็นลงแล้ว  จึงกล่าวถามว่า

                “ไม่ทราบว่าท่านปู่ของข้าพเจ้ากับท่านผู้เฒ่าเคยมีเรื่องหมาดหมางใจอันใดกัน  เล่าให้ข้าพเจ้าฟังได้หรือไม่”

 

                “มีเรื่องราวใดไม่สามารถบอกกล่าว  มาเถอะ  มานั่งย่างกระต่ายป่าไป กินไป แล้วข้าจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง  ฟังว่าตอนที่พรรคของเจ้ายังไม่ล่มสลาย  เจ้าไม่เอาใจใส่การงานเลยไม่ใช่หรือ  ค่ำคืนนี้ข้าจะชดเชยเรื่องราวทุกอย่างที่เจ้าไม่เคยรู้ให้เจ้าได้รับรู้ไว้เป็นอย่างไร”  ปิศาจงมงายหัวเราะทิ้งท้ายเอาไว้  ทำให้เฉียนเกาซันรู้สึกว่าชายชราผู้นี้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขา  ทำให้เขาไม่สามารถตอบปฏิเสธการเชิญชวนที่น่าเย้ายวนใจเช่นนี้ได้ 

.................................................................................................

 

                “ย้อนเวลากลับไปเมื่อสามสิบปีก่อน   ตอนนั้นเราอายุได้ห้าสิบกว่าปีถือได้ว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดในชีวิตเรา  ในขณะนั้นเราได้มีการคบหากับปู่ของเจ้าเฉียนหยุนถัง”  ชายชรากล่าวขึ้นเพื่อทำลายความเงียบสงบในวงอาหารค่ำ

 

                “เฉียนหยุนถังในตอนนั้นถือว่าเป็นขุนพลหนุ่มที่เก่งกล้าสามารถ  เขาออกศึกให้กับฮ่องเต้สุมาเอี๋ยนในการบุกไปพิชิตง่อก๊ก แห่งกังตั๋ง  ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือเก่งกาจยิ่ง  เมื่อคนยิ่งเปล่งประกายย่อมเป็นที่อิจฉาริษยา  หยุนถังเมื่อรู้ว่ามีคนอิจฉาตน  และได้กราบทูลฮ่องเต้ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อเอาโทษตน  เขาจึงได้ขอลาออกจากราชการไปเปิดสำนักสอนยุทธ์ซึ่งก็คือพรรคเฉียนหนานของเจ้าในตอนนี้นั่นเอง”  ชายชรายังคงกัดกินเนื้อกระต่ายย่างอย่างช้าๆพร้อมกับค่อยๆรำลึกเหตุการณ์แล้วเล่าออกมา

 

                “ในช่วงแรกที่เขาเปิดสำนัก  เราเองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้หลงงมงายในเรื่องของวิชากำลังฝีมือ ต่างเดินทางท้าประลองกับสำนักต่างๆไปเรื่อยๆ  เพื่อที่จะได้เป็นการยืนยันถึงฝีมือยุทธ์ของตนเองว่าไม่มีใครเปรียบเทียบได้  จนกระทั่งเราเองได้ก้าวเดินเข้าไปยังพรรคเฉียนหนาน”  เขาหยุดพักเล็กน้อยเพื่อกินเนื้อกระต่ายย่างในมือ

 

                “ท่านผู้เฒ่ากำลังจะบอกว่าท่านได้ประมือกับท่านปู่ข้าพเจ้างั้นรึ”  เฉียนเกาซันถามอย่างสงสัยอยากรู้

 

                ชายชราหันมามองหน้าเฉียนเกาซัน  จากนั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า

                “แน่นอน เราได้ประลองฝีมือกัน”

 

                “เป็นผู้ใดชนะไม่ทราบ”

               

                ชายชราจับจ้องไปบนใบหน้าของเฉียนเกาซัน  กล่าวเสียงทุ้มหนักว่า

                “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า  แสดงว่าเจ้ายังยึดถือกับผลแพ้ชนะอยู่  จงจำคำเราไว้  แพ้ชนะเป็นสิ่งเป็น  ชีวิตคนจึงเป็นสิ่งตาย  หากเจ้ายังยึดติดอยู่กับคำว่าแพ้ชนะ  ชีวิตของเจ้าเองก็จะหาความสุขกับการฝึกยุทธ์ไม่ได้  ....  เหมือนกับเราแต่เก่าก่อน”

 

                เฉียนเกาซันรู้สึกละอาย  กล่าวว่า

                “ข้าพเจ้าเพียงเกิดความอยากรู้เท่านั้น  หากแม้นว่าท่านผู้เฒ่าไม่เปิดเผยผลออกมาก็หาเป็นไรไม่”

 

                “อืมม  เราเพียงแต่อยากเตือนสติเจ้าเอาไว้  ในขณะที่คนสองคนต่อสู้กัน  หากแม้นยังไม่สามารถละความรู้สึกอยากชนะหรือกลัวพ่ายแพ้ได้แล้ว  ก็จะไม่สามารถดึงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาใช้ได้”  ชายชรากล่าวเตือนสติเฉียนเกาซันอีกครั้ง

 

                “ข้าพเจ้าจะจดคำของท่านผู้เฒ่าเอาไว้”  เฉียนเกาซันรับคำสั้นๆ

 

                “ในการประลองครั้งนั้น  เรากับปู่ของเจ้าได้นัดหมายประลองกันที่หุบเขาเมฆาขาด  ทั้งนี้เพราะเราทั้งคู่ต่างไม่ต้องการให้ผลแพ้ชนะที่จะเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของทั้งคู่  การประลองระหว่างเราทั้งสองสูสีเผ็ดร้อนมาก  การต่อสู้ดำเนินไปถึงสามวันสามคืน  เรายังไม่สามารถโค่นล้มปู่ของเจ้าลงได้  แต่กระนั้นปู่ของเจ้าเองก็ไม่สามารถที่จะล้มเราลงได้เช่นกัน  จนกระทั่ง  ค่ำคืนสุดท้ายของการประลองมาถึง....”  ชายชราถอนหายใจเสียงดัง เสมือนพยายามจะลืมเรื่องราวในวันเก่าให้ได้

 

                “ปู่ของเจ้าใช้วิชาหอกของเขาจู่โจมใส่เราอย่างรุนแรงที่สุด ส่วนตัวเราก็ใช้วิชาก้นหีบออกมา  เราทั้งสองคนต่างปะทะกันอย่างรุนแรงจนร่างของเราทั้งคู่กระเด็นกระดอนออกจากกัน  ตัวเราเองได้กระเด็นไปไกลสิบกว่าวายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนกระทั่งมีศิลาแดงก้อนหนึ่งขวางเราเอาไว้  ตัวเราจึงกระแทกกับศิลาแดงยักษ์ก้อนนั้นอย่างแรง  จนเราสลบไป” 

 

                “แล้วปู่ของข้าพเจ้าละ?”  เฉียนเกาซันถาม

 

                ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซันเป็นเชิงตำหนิว่าให้เขาพูดให้จบก่อนค่อยถาม  เฉียนเกาซันเห็นดังนั้นจึงสงบปากสงบคำลงไป

 

                “เมื่อเราฟื้นขึ้นมาพบว่าในศิลาแดงยักษ์ก้อนนั้นบรรจุด้วยอาวุธชนิดหนึ่ง  เมื่อศิลาแตกออกจากแรงกระแทก  ทำให้อาวุธชนิดนั้นโผล่พ้นจากศิลาออกมา  ส่วนปู่ของเจ้าก็กระแทกกับศิลาอีกก้อนหนึ่ง  เป็นศิลายักษ์สีเขียว  ซึ่งภายในศิลายักษ์นั้นก็ปรากฏอาวุธอีกชนิดหนึ่งโผล่พ้นศิลาขึ้นมาเช่นกัน  เราทั้งคู่ต่างเลิกที่จะประลองกัน  ต่างคนต่างพยายามดึงอาวุธที่จมอยู่ในศิลานั้นออกมา  แต่ก็ไม่เป็นผล”  ชายชราหลับตาลง เหมือนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

 

                “แล้วพวกท่านทำเช่นไรกับมันงั้นรึ”  เฉียนเกาซันอดถามไม่ได้

 

                “เราสองคนพยายามอยู่นาน  จึงคิดได้  เราทั้งคู่จึงร่วมมือกันผนึกกำลังกับถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่ตัวศิลาแดง เพื่อที่จะระเบิดศิลาเอาอาวุธออกมา  ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผล  เราถ่ายทอดพลังเข้าสู่ตัวหินถึงสามชั่วยาม  ศิลาแดงก้อนนั้นจึงระเบิดออก  เราทั้งคู่ก็สูญเสียพลังลมปราณไปมากอักโข  แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก  เพราะอาวุธชิ้นนั้นถือว่าเป็นสุดยอดอาวุธที่ข้าเพิ่งเคยพบเจอ”  เขากล่าวรำพึงรำพันออกมา

 

                “แล้วศิลาเขียวบรรจุด้วยอาวุธอะไรไม่ทราบได้”  เฉียนเกาซันกล่าวถามอีกครั้ง

 

                ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซัน  จากนั้นคำรามกรอดออกมา

                “นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราแค้นปู่ของเจ้ามากจนทุกวันนี้  ศิลาสีเขียวนั้นบรรจุด้วยกรงเล็บชนิดหนึ่ง  แน่นอนว่าเป็นกรงเล็บที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน  กรงเล็บนั้นเป็นกรงเล็บที่สวยงามมาก  วิจิตรพิสดารที่สุด  แต่.....”

 

                “แต่อะไรหรือท่านผู้เฒ่า?” 

 

                “พวกเราไม่สามารถเอาอาวุธชิ้นนั้นออกมาได้  ไม่ทราบเป็นบุญวาสนาเวรกรรมอะไร  เราทั้งคู่ต่างถ่ายทอดพลังลมปราณไปจนแทบหมดตัวยังไม่สามารถทำลายศิลาเขียวก้อนนั้นได้  จนสุดท้ายเราทั้งคู่ต่างสลบไสลไป”  ชายชราเงยหน้ามองดูดาราบนท้องฟ้า

 

                “ไม่ทราบว่าเกิดข้อผิดพลาดที่ใด?”

               

                “เมื่อเราฟื้นตื่นขึ้นมา  ปรากฎว่าอาวุธที่ได้จากศิลาแดง  และตัวของเฉียนหยุนถังได้หายไปแล้ว  เราเองได้ไปคาดคั้นเอาคืนจากมัน  มันกลับบอกว่าไม่ได้เก็บเอาไว้  มันอ้างว่าตอนมันฟื้นคืนสติมาก็ไม่เห็นอาวุธพิสดารนั้นแล้ว”  เขากล่าวต่อไปไม่สนใจกับคำถามที่เฉียนเกาซันเอ่ยถึง   ส่วนเฉียนเกาซันถึงกับตกใจต่อพฤติกรรมของปู่ของตนเอง

 

                “ส่วนศิลาสีเขียวนั้น  เมื่อเรากลับไปดูอีกคราปรากฎว่าอาวุธที่อยู่ภายในศิลานั้นได้อันตรธานหายไปแล้ว”

 

                “อย่างนั้นเป็นผู้ใดเอาอาวุธล้ำค่าเช่นนั้นไป  แล้วเหตุใดเขาจึงสามารถทำลายศิลาเขียวนั้นได้”  เฉียนเกาซันถามอย่างตกใจ

 

                ชายชราผู้มีฉายาว่าปิศาจงมงายมองมายังเฉียนเกาซันอีกครั้ง

                “เจ้าคิดว่าผู้ใดในยุทธจักรจะมีพลังยุทธเหนือล้ำกว่าเราอีกงั้นรึ?”

 

                “หรือว่าเป็น......”  เฉียนเกาซันไม่อยากจะคิดถึงบุคคลคนนั้น

 

                “ที่เจ้าคิดไม่ผิดหรอก  ผู้ที่เอาอาวุธนั้นไปเป็นไต้ซือฉินกง  แห่งนิกายเซนเอง  แต่เราก็ไม่ทราบว่าท่านสามารถทำลายศิลาเขียวนั้นด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร  แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ  ผู้ที่บอกตำแหน่งศิลาเขียวแก่ไต้ซือฉินกงไม่ใช่ใคร  เป็นปู่ของเจ้านั่นเอง”  ชายชรากล่าวช้าๆ

 

                “แต่ท่านผู้เฒ่า  ไม่ทราบว่าอาวุธที่มาจากศิลาแดงนั้นเป็นอาวุธชนิดใดหรือ?” 

 

                “ปู่ของเจ้าเมื่อได้อาวุธนั้นไป ก็ได้เก็บเอาไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ  เราคาดว่าน่าจะเป็นข้อตกลงกันระหว่างไต้ซือฉินกงกับปู่ของเจ้า  ไม่เช่นนั้นแล้ว  เขาคงเอาออกมาโอ้อวดใครต่อใครไปนานแล้ว”  เขากล่าวกลับเฉียนเกาซันเหมือนประชดประชัน  ส่วนตัวเฉียนเกาซันเองก็รู้สึกว่า  เรื่องราวช่างอยู่ใกล้ตัวเองนัก

 

                “จนอาวุธนั้นได้ปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อหลายเดือนก่อน  ลูกชายของเฉียนหยุนถัง  นามเฉียนกุ้ยหนาน  ได้มอบอาวุธล้ำค่านั้นให้กับหลานของเฉียนหยุนถัง  นั่นก็คือเจ้า....เฉียนเกาซัน   เจ้าเองที่ยึดครองอาวุธที่น่าจะเป็นของเราเอาไว้”  ในที่สุดปิศาจงมงายได้เผยความจริงทั้งหมดของหอกทลายฟ้าออกมา

 

                “ท่านผู้เฒ่าจำหอกในมือของข้าพเจ้าได้แต่แรกแล้วงั้นรึ  เหตุอันใดไม่ลงมือปลิดชีพข้าพเจ้าแล้วแย่งชิงหอกไป”  เฉียนเกาซันถามอย่างสงสัยอีกครา

 

                ชายชราแหงนหน้ามองหมู่ดาวบนท้องฟ้า  กล่าวโดยไม่มองเฉียนเกาซันว่า

                “ทำเช่นนั้นเกิดประโยชน์อันใด  หากเราประพฤติตนเช่นนั้น  คงเป็นเหตุให้ม่งชิวดูแคลนเรายิ่งกว่าเดิม  ม่งชิวเอ๋ยม่งชิว  ในที่สุดข้าเชื่อแล้วว่าฟ้าลิขิตชีวิตคน  ในที่สุดหอกวิเศษได้พบเจอเจ้าของที่แท้จริงของมันแล้ว”

 

                “ท่านผู้เฒ่าหมายความว่าอย่างไร

 

                “เกาซัน  เมื่อยามเจ้าใช้หอกด้ามนั้นเจ้ารู้สึกอย่างไร  ชายชราหันกลับมามองหน้าเฉียนเกาซันอีกครั้ง

 

                เฉียนเกาซันก้มหน้ามองหอกในมือ  จากนั้นกล่าวว่า

                “ข้าพเจ้ารู้สึกว่า  หอกถ่ายทอดพลังความร้อนเข้าสู่มือของข้าพเจ้าตลอดเวลา  แม้นว่าในขณะที่ข้าพเจ้าหมดสติก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่หอกทลายฟ้านี้ถ่ายเทเข้าสู่ตัวข้าพเจ้าได้”

 

                “หอกทลายฟ้างั้นรึ  นั่นเป็นชื่อที่หยุนถังตั้งไว้งั้นหรือ?”  ชายชราถาม

 

                “นี่เป็นชื่อที่ท่านพ่อได้บอกต่อข้าพเจ้า  ใช่เป็นชื่อที่ท่านปู่ตั้งเอาไว้หรือไม่นั้น  ข้าพเจ้าไม่ทราบได้”  เฉียนเกาซันตอบสั้นๆ

 

                “ช่างเถอะ  เมื่อเจ้าสามารถรับรู้ถึงพลังลมปราณที่หอกมีต่อเจ้า  นั่นหมายความว่าเจ้าคือเจ้าของหอกที่แท้จริง”

 

                “ท่านผู้เฒ่าทราบได้อย่างไร?” 

 

                “เรื่องนี้เราได้รับทราบจากซิ่วม่งชิวอีกทีหนึ่ง  นางเองเป็นผู้รอบรู้ที่สุดในยุคนั้น  เชื่อข้าเถอะ  หอกด้ามนี้ต้องการเจ้า  และเจ้าก็ต้องการมัน  แต่ที่ข้าต้องการไม่ใช่หอก  แต่กลับเป็นวิชาฝีมือที่ผู้ถือหอกมีมากกว่า  แต่เจ้าเองกลับไร้ซึ่งฝีมือ  แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องกลับมาเป็นยอดฝีมือได้อีกครั้ง”  ชายชรากล่าวให้กำลังใจ

 

                “ท่านผู้เฒ่าตกลงใจสอนวิชาฝีมือให้กับข้าพเจ้าแล้วหรือ เฉียนเกาซันถามด้วยความยินดี

 

                “ว่ากระไร?  เจ้าอยากเรียนรู้วิชาจากเรา?  ฮ่า ฮ่า ฮ่า  เกาซันเอ๋ย เกาซัน  หากเจ้าอยากเก่งกว่าเรา  เจ้าก็ต้องก้าวข้ามเราไปให้ได้  แม้นว่าเจ้าฝึกวิชาของเรา  อย่างมากเจ้าก็เป็นได้แค่ปิศาจงมงายหนุ่มเท่านั้น  ดังนั้น  เจ้าจงอยู่กับหอก ศึกษาค้นคว้าจากหอก  แล้วเมื่อวันใดเจ้าเข้าใจถึงแก่นแท้ของหอก  เมื่อถึงวันนั้นเราจะเป็นคู่ซ้อมให้กับเจ้าเอง...แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องการก็ตาม”  ชายชราหัวเราะอย่างคุ้มคลั่ง

 

.....................................................................................


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที