บทที่ ๒ หนทางแห่งชีวิต
ตะวันฉายแสงสาดส่องระยิบระยับตัดกับสายน้ำที่พัดเอื่อยๆอยู่ในแม่น้ำสายหนึ่ง แม่น้ำสายนี้ไม่กว้างมากนัก ระยะห่างทั้งสองฝั่งห่างกันเพียงยี่สิบวา แม่น้ำสายนี้ไหลตัดผ่านช่องเขาแห่งหนึ่ง กลายเป็นทัศนียภาพที่สวยสดงดงาม ต้นไม้ที่ขึ้นรกครึ้มทำให้เขาแห่งนี้ดูวังเวง ยามกลางวันก็ไม่ต่างจากช่วงเย็นสักเท่าไรนัก แทบเรียกได้ว่าภายใต้ขุนเขาแห่งนี้แทบจะไม่มีแสงแดดที่สามารถส่องลงมาแผดเผาพื้นเบื่องล่างได้เลย
ที่โขดหินริมแม่น้ำแห่งหนึ่งเกยไว้ด้วยชายผู้หนึ่ง คนผู้นี้ไม่มีสติ และไร้ซึ่งความรู้สึก หากแม้นว่ามีผู้คนผ่านเข้ามายังเขาลูกนี้ย่อมต้องคิดว่าคนผู้นี้คือซากศพเป็นแน่แท้ แต่ใครละที่จะเข้ามาเดินเล่นทอดน่องอยู่ในขุนเขาลูกนี้ อย่าว่าแต่ผู้คนเลย แม้แต่สิงสาราสัตว์ยังไม่ปรากฏกายให้เห็นในป่าแห่งนี้แม้แต่ตัวเดียว
....ที่นี่ที่ไหน.....
....เราเป็นอะไร.....
....อ่อ ใช่แล้ว เราโดนเจี่ยฮองเฮาเล่นงานนี่...
....แล้วเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านละ..... ....แย่แล้ว....
ชายหนุ่มที่นอนเกยอยู่ที่โขดหินข้างแม่น้ำมีอาการกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย แต่ก็พยายามกระเสือกกระสนคืบคลานเข้าสู่ฝั่ง ร่างกายของเขาทุกส่วนแทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แต่เขาก็ต้องทำ เขาคิดอย่างแน่วแน่ว่า เขาต้องรอด เขาไม่ใช่ใครอื่น เฉียนเกาซัน นั่นเอง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เสียงหมู่วิหกบินผ่านขุนเขา ปลุกให้เฉียนเกาซันกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง แม้นว่าเขาสามารถที่จะขยับเขยื้อนร่างกายได้ แต่ด้วยการที่โดนทำร้ายอย่างรุนแรงทำให้เขามีสภาพไม่ต่างจากคนพิการ อย่าว่าแต่ลุกขึ้นเดินเลย แค่เพียงขยับร่างกายก็แทบจะทำไม่ได้แล้ว
เฉียนเกาซันขยับกายเอนหลังพิงกับโขดหินก้อนใหญ่ปล่อยร่างกายครึ่งร่างแช่ในลำน้ำ มือขวาของเขายังคงกำหอกทลายฟ้าไว้แน่น แม้นว่าตอนนี้ยังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยกหอกขึ้นมาก็ตาม แต่เขารู้ว่าหอกเล่มนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยให้เขามีชีวิตรอดต่อไป อย่างน้อยก็เป็นเครื่องมือไว้ล่าสัตว์มาประทังชีวิตได้
วิกาลราตรีคืบคลานเข้ามาอีกครา เฉียนเกาซันไม่สามารถออกไปหาผลไม้หรือล่าสัตว์ได้ ดังนั้น เขาได้แต่ใช้น้ำในลำธารดื่มกินพอประทังชีวิตเท่านั้น ไม่นานนักด้วยความเพลีย เขาก็ม่อยหลับไปอีกครา
ในขณะที่เฉียนเกาซันเข้าสู่นิทรานั้น เรื่องประหลาดพลันอุบัติขึ้น หอกทลายฟ้าในมือเปล่งแสงเรืองรองสะท้อนกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน ตัวหอกคล้ายมีพลังไม่สิ้นสุดถ่ายทอดจากตัวหอกเข้าสู่มือของเฉียนเกาซันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เฉียนเกาซันได้รับการรักษาร่างกายอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาได้รับการรักษาอย่างช้าๆจากหอก หอกเหมือนมีชีวิต หอกรู้ว่าใครคือนายของมัน และรู้ว่าตัวมันเองควรจะทำอย่างไร หอกทลายฟ้าได้ค้นพบผู้เป็นนายของมันอย่างแท้จริงแล้ว ....
เวลาผ่านไปเนินนาน เฉียนเกาซันฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครา แต่ครานี้ร่างกายที่บาดเจ็บได้ทุเลาหายดีไปเจ็ดแปดส่วน แม้ว่าเขารู้ตัวดีว่าวรยุทธ์ของเขาได้โดนทำลายไปแล้ว แต่ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกับว่าเขาได้รับสิ่งอื่นทดแทนมา แต่ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร ในมือของเขายังคงกำหอกเอาไว้แน่น เขาลดสายตามามองหอกทลายฟ้า ในใจของเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นเมื่อมีหอกทลายฟ้าอยู่ในมือ เมื่อมองเห็นหอก เสมือนมองเห็นพ่อของตนเองผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหอกคนเก่า เขาตั้งใจว่านับแต่นี้ไปหากแม้นว่าตนยังไม่สำเร็จวิชาใดวิชาหนึ่ง จะไม่ขอออกจากหุบเขาแห่งนี้โดยเด็ดขาด
เฉียนเกาซันใช้เวลาในหุบเขาอยู่กับการนั่งสมาธิและเก็บผลไม้ป่าประทังชีวิต ในตอนแรกเขาก็แปลกใจว่าเหตุอันใดป่าที่กว้างใหญ่เช่นนี้กลับไม่มีสัตว์ป่าแม้แต่ตัวเดียว แต่ต่อมาเขาก็เลิกที่จะครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้ เพราะแค่เพียงผลไม้ป่าที่มีก็ทำให้เขาประทังชีวิตต่อไปได้ การใช้ชีวิตของเฉียนเกาซันเป็นไปตามธรรมชาติ เขาไม่คิดที่จะฝึกวรยุทธ์ เขาไม่คิดที่จะขวนขวายหาวิทยายุทธ์ใหม่ เขาเชื่อว่ายอดวิชานั้นจะต้องเกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เขาจึงไม่รีบเร่งในการค้นคว้าวิชาการต่อสู้ เขาปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามวิถีของธรรมชาติ ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการปรับให้พื้นฐานในการฝึกยุทธ์ของเขามั่นคงยิ่งขึ้น ที่สำคัญที่สุด ทำให้พลังใจในการมีชีวิตอยู่ของเฉียนเกาซันนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพราะทั้งนี้เขาคิดในใจเพียงอย่างเดียวว่า เขาต้องรอดและกลับมาผงาดในยุทธภพให้ได้อีกครั้ง ....
ชั่วระยะเวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉียนเกาซันนั่งสมาธิอยู่ที่โขดหินก้อนเดิมมีหอกทลายฟ้าวางไว้บนตัก ในเวลานี้เฉียนเกาซันเชื่อมั่นว่า แม้นว่าตนเองไร้ซึ่งวรยุทธ์ แต่หากว่าได้ฝึกวิชาใดแล้วก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้ นั่นเป็นเพียงความรู้สึกชนิดหนึ่ง เขาค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปยังหอกทลายฟ้าที่อยู่บนตัก
ท่านพ่อ ต่อไปนี้ข้าจะเริ่มคิดค้นวิชาหอกขึ้นมาใหม่ โดยใช้หอกทลายฟ้าที่ท่านให้มานี้เป็นเสมือนครูของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง เฉียนเกาซันรำพึงรำพันกับตนเอง
เขาลูบไล้มือไปตามตัวหอก เขารู้สึกเหมือนว่าหอกมีกระแสพลังถ่ายเทเชื่อมระหว่างตัวหอกกับเขาอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในจิตใจ จากนั้นเขาลุกขึ้นยืนร่ายรำหอกในท่าที่เคยฝึกมา แต่แม้นว่ากระบวนท่าจะใช่ แต่หามีความรุนแรงของลมปราณไหลออกมาจากหอกไม่ เขาไม่สนใจพยายามฝึกหอกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะท่าแทง เฉียนเกาซันรู้สึกว่า ท่าที่เหมาะสมกับหอกมากที่สุดคือท่าแทงตรง ดังนั้นเขาจึงมุ่งมันที่จะฝึกท่าแทงตรงให้เกิดความชำนาญก่อนค่อยหันไปฝึกท่าอื่นตามหลัง
เฉียนเกาซันฝึกท่าแทงตรงนับร้อยนับพันครั้งในหนึ่งวัน ฝึกเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งในรอบหลายวัน จนในที่สุด เฉียนเกาซันก็ค้นพบว่าท่าแทงตรงที่ตนฝึกนั้น เป็นท่าที่นอกจากเหมาะสมกับอาวุธหอกแล้ว ยังมีอาณุภาพรุนแรงที่สุดในกระบวนท่าต่างๆด้วย ขาดเพียงแต่ว่าขณะนี้ตนเองหาได้มีพลังลมปราณที่กล้าแข็งเหมือนดังก่อนไม่ แต่เฉียนเกาซันก็ไม่ได้ใส่ใจ ทุกวันยังคงฝึกท่าแทงตรงต่อไป จากหนึ่งเป็นร้อยจากร้อยเป็นแสน จากแสนจนนับไม่ถ้วน ทุกอย่างที่เฉียนเกาซันทำ เป็นพื้นฐานที่จะปรับปรุงให้เขาก้าวไปสู่การเป็นจ้าวแห่งหอกต่อไป
................................................................................
เย็นวันหนึ่งขณะที่เฉียนเกาซันออกหาผลไม้ป่าอยู่นั้น เขาพลันได้ยินเสียงการต่อสู้กันในหุบเขา เป็นเพราะหุบเขาแห่งนี้เงียบสงัด ดังนั้นเมื่อมีเสียงการต่อสู้จึงสามารถได้ยินอย่างชัดเจน เฉียนเกาซันจึงเร่งรุดไปยังแหล่งที่มาของเสียงการต่อสู้นั้น เฉียนเกาซันในตอนนี้แม้นว่าจะไม่มีวิชาตัวเบา แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็เป็นไปตามธรรมชาติดังนั้น การเคลื่อนไหวของเขาจึงรวดเร็วเป็นพิเศษเหนือกว่าคนธรรมดา ไม่นานนักเฉียนเกาซันก็มาถึงบริเวณที่เกิดการต่อสู้กันขึ้น
ชายชราประหลาดหนวดเครารุงรัง ยืนประจันหน้าอยู่กับสตรีนางหนึ่ง เฉียนเกาซันไม่สามารถมองเห็นสตรีนางนั้นได้ชัดเจน ทั้งนี้เพราะชายชราประหลาดนั่นยืนบังเอาไว้นั่นเอง แว่วเสียงของคนทั้งสองดังเข้าสู่หูของเฉียนเกาซัน เฉียนเกาซันประหลาดใจมาก เพราะเขาเองอยู่ห่างจากบริเวณที่มีการต่อสู้ร่วมยี่สิบวา แต่เขาก็ยังคงได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง
ชิงฟ่ง จะอย่างไรเจ้าก็มอบสิ่งของออกมาเถอะ เจ้าเก็บเอาไว้ก็หามีประโยชน์ต่อเจ้าไม่ ชายชรานั้นกล่าวเนิบนาบ
ท่านอาเตียว แม้นว่าข้าพเจ้าเก็บของสิ่งนี้ไว้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าพเจ้าก็จริง แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าให้ของสิ่งนี้ตกไปอยู่ในมือของท่านผู้เฒ่าไม่ใช่หรือ สตรีนางนี้พอกล่าวออกมา ทำให้เฉียนเกาซันรู้ว่านางยังคงเป็นสตรีวัยดรุณ แต่จากคำพูดของนางแสดงให้เห็นว่า นางน่าจะมีฝีมือมิใช่ชั่ว ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้ามายืนต่อรองกับชายชรานั้นเช่นนี้
ชิงฟ่ง เจ้าคิดว่าถ้าเราลงมือฆ่าคนในบัดดล เจ้าจะลงมือช่วยเหลือหรือไม่
ท่านอาพอใจทำอะไรก็ทำเช่นนั้นเถอะ นางกล่าวราวกับไม่สนใจเรื่องอันใด
ประเสริฐ เช่นนั้นเจ้าจงเบิกตาดูให้เต็มที่ กล่าวจบร่างของชายชรากลับหายไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่
เฉียนเกาซัน แม้นได้ยินว่ามีคนจ้องจะฆ่าตน แต่เนื่องจากตนเองไม่มีกำลังภายในจึงไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาหลบหนีได้ ดังนั้นจึงตกลงใจปักหลักรอคอยการมาของชายชราแซ่เตียวนั้น เขาหวังในใจลึกๆว่าสตรีนางนั้นจะต้องช่วยเขาแน่นอน แต่ฟังจากคำพูดจากปากของนาง ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านางจะลงมือช่วยเขาหรือไม่ ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะป้องกันตัวเองอย่างเต็มความสามารถ ....แล้วเขาจะใช้วิชาอะไรสู้กับชายชรานั่นละ เขาคิด คิด และคำตอบก็คือ หอกทลายฟ้า ท่าแทงตรง นั่นเป็นวิชาเดียวที่มันมีอยู่ในตอนนี้
เสียงลมพัดหวีดหวิวเกิดขึ้นที่โสตประสาทของเฉียนเกาซัน เขารู้ว่านี่เป็นพลังลมที่ชายชรานั้นจงใจสร้างขึ้นเพื่อรบกวนจิตใจของตน ชายชรานั้นคิดว่าเขาเป็นยอดฝีมือจึงลงทุนสร้างแรงกดดันเช่นนี้ ที่ชายชราคิดดังนั้นเพราะเขามีความคิดว่า หนึ่งนั้นชายหนุ่มผู้นี้เมื่อรุดมาซุ่มดูพวกเขาได้โดยที่พวกตนไม่รู้นั้นแสดงว่าชายหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นยอดฝีมือ เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าในขณะที่ชายผู้นี้แอบเข้ามาซุ่มดู ส่วนข้อสอง จากที่เมื่อตนลงมือจู่โจม ชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่คิดหลบหนี นั้นทำให้เขาคิดว่าเฉียนเกาซันย่อมเป็นยอดฝีมือแน่นอน แต่เขาคิดผิด สตรีที่ยืนมองอยู่ก็คิดผิด เฉียนเกาซันไม่ใช่ยอดฝีมือ แต่เพียงแค่เคยเป็นยอดฝีมือมาก่อนเท่านั้น
ชายชราตัดสินใจจู่โจมใส่เฉียนเกาซันอย่างรุนแรง เขาปรากฏร่างขึ้นที่เบื้องหน้าของเฉียนเกาซันห่างไปสามวา จากนั้นผลักดันมือทั้งสองข้างออกเสมอหน้าอก พลังลมปราณทะลักเข้าใส่เฉียนเกาซันอย่างไม่หยุดยั้ง หากเป็นก่อนหน้าที่เฉียนเกาซันจะมาอยู่ที่ป่าแห่งนี้ พลังมากมายถึงเพียงนี้ย่อมทำให้เขากระอักโลหิตออกมา แต่ตอนนี้ เฉียนเกาซันมีวิถีธาตุเป็นไปตามธรรมชาติ ร่างกายของเขาหลอมกลืนกับธรรมชาติ ก่อกำเนิดพลังปราณธรรมชาติขึ้นภายในกายต้านรับกับพลังลมปราณของชายชรานั้นเองอย่างไม่รู้ตัว
ส่วนตัวเฉียนเกาซันเอง เมื่อเห็นการปรากฏกายของชายชราต่อหน้าเขานั้น หาได้รับรู้ถึงพลังลมปราณของอีกฝ่ายไม่ เขารู้ว่าตนเองยังมีฝีมือห่างจากชายชราผู้นี้มากนัก แม้นว่าจะเป็นแต่ก่อนที่ตนเองยังมีวิชาฝีมืออยู่ก็คงไม่สามารถรับมือกับชายชราผู้นี้ได้ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดอะไร สลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง จดจ่ออยู่แต่เพียงอย่างเดียว อย่างเดียวที่จะช่วยให้เขารอดชีวิตได้ หอกทลายฟ้า ท่าแทงตรง......
ขณะที่ฝ่ามือของชายชราใกล้จะถึงตัวของเฉียนเกาซันนั้นเอง เฉียนเกาซันพลันขยับหอกในมือ จากมือที่จับหอกในท่าตั้งฉากกับพื้น กลายเป็นขนานกับพื้นพุ่งตรงใส่ชายชรานั้นอย่างรวดเร็ว ท่าหอกที่ปราศจากพลังลมปราณใดๆ เป็นเพียงแค่ท่าหอกธรรมดา ท่าหอกที่รวดเร็ว ท่าหอกที่ไม่อาจประเมินพลังวัดของผู้ใช้ได้ แต่หอกนี้กลับมีพลังพิเศษแฝงกลิ่นอายลี้ลับยิ่ง ทำให้ผู้ที่ต้องต้านทานรับท่าหอกนี้รู้สึกสับสน ทั้งหมดนี้เป็นผลงานจากฝีมือของเฉียนเกาซันเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์ของตัวหอกเองทั้งสิ้น มันคือหอกทลายฟ้า.....
ขณะที่ฝ่ามือกำลังจะปะทะเข้ากับทรวงอกของเฉียนเกาซันนั้น หอกทลายฟ้าก็แทงตรงมุ่งจู่โจมถึงใบหน้าของชายชราเช่นเดียวกัน ชายชราเห็นดังนั้นจึงรั้งฝ่ามือกลับพลิ้วกายถอยหลังหลบท่าแทงตรงอย่างเฉียดฉิว บนใบหน้าของชายชรานั้นแสดงความรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
เจ้าเป็นใครมาจากไหน เหตุใดจึงมาอยู่ในป่าต้องห้ามเช่นนี้ ชายชราถามเสียงราบเรียบ พร้อมกับแสดงความสงสัยออกมาทางแววตา
เฉียนเกาซันทางหนึ่งฟังคำถามอีกทางหนึ่งพยายามมองหาสตรีนางนั้น แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง แสดงว่านางใช้ช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เขากับชายชราจู่โจมใส่กันพลิ้วกายจากไป
ข้าพเจ้าชื่อหลิวฟ่าน พอดีเรือที่ข้าพเจ้าใช้หาปลาประสบอุบัติเหตุ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าหมดสติลอยคอมายังป่าละแวกนี้ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีนามว่าอะไร เฉียนเกาซันตกลงใจปกปิดชื่อและฐานะจริงของตนเองไว้ ทั้งนี้เพราะเขาไม่มั่นใจว่าชายผู้นี้จะเป็นคนของทางการหรือไม่
เจ้าไม่ใช่คนในยุทธจักรรึ เหตุอันใดไม่รู้จักเราผู้เฒ่าเตียวเยี่ย ฉายาปิศาจงมงาย หากเจ้าไม่ใช่คนในยุทธจักร เหตุอันใดจึงมีวิชาที่ร้ายกาจเยี่ยงนี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นอาจารย์ของเจ้ารึ ชายชรากล่าวอย่างภูมิใจ ทั้งนี้เพราะฉายาปิศาจงมงายนั้นเป็นที่เรื่องลือไปทั่วยุทธจักร ไม่มีใครไม่ยอมรับในฝีมือของชายชราผู้นี้ เขาได้รับการขนานนามกับไต้ซือฉินกง ของนิกายเซนว่าเป็นสองสุดยอดของดินแดนตงง้วน แต่เนื่องจากปิศาจงมงายเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาได้พบเจอกับซิ่วม่งชิวซึ่งถือว่าเป็นยอดหญิงที่มีความงดงามที่สุด เขาจึงได้ออกเดินทางไปพร้อมกับนาง หายสาบสูญไปจากยุทธภพตั้งแต่นั้นมา ไม่ทราบเพราะเหตุอันใดจึงมาปรากฏกายอยู่ที่นี่
ได้ยินชื่อมิสู้พบหน้า ข้าพเจ้าไม่มีอาจารย์ใดเป็นผู้สอนสั่ง มีเพียงบิดาเท่านั้นที่ได้ดูแลข้าพเจ้าจนเติบใหญ่มา ส่วนสิ่งที่ท่านพ่อให้ก่อนตายนั้นมีเพียงหอกด้ามนี้เท่านั้น เฉียนเกาซันกล่าวอย่างนอบน้อม
ปิศาจงมงายเดินวนรอบตัวเฉียนเกาซันอยู่หลายรอบ สำรวจมองลักษณะกายของเขาอย่างละเอียด จากนั้นเขาเดินเข้ามาสัมผัสกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย บีบ สัมผัส จับ จี้ จนเป็นที่พอใจ สร้างความมึนงงสงสัยกับเฉียนเกาซันเป็นอย่างมาก
แปลกมาก ข้าดูแล้วเจ้าไม่น่าจะเป็นคนมีวรยุทธ์ เหตุอันใดท่าแทงของเจ้าเมื่อครู่กลับทำให้ข้ามีความรู้สึกว่า ไม่สามารถต้านทานรับได้ ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก ที่สำคัญที่สุด เจ้ากลับสามารถต้านทานรับพลังปราณพิรุณของข้าได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งๆที่เจ้าไม่มีวรยุทธ์ติดตัว น่าสงสัยจริงๆ ปิศาจงมงายกล่าวอย่างฉงน
เจ้าหนุ่ม เอาอย่างนี้ดีไม๊ ข้าว่า เจ้ามาอยู่กับข้าสักพักให้ข้าสอนอะไรหลายๆอย่างให้เจ้า เจ้าจะได้มีวิชาความรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้นไง จะอย่างไรข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้านัก
อย่างนั้นจะได้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่กล้ารบกวนท่านผู้เฒ่าหรอก เฉียนเกาซันกล่าวอย่างงุนงง
รบกวนอะไรกัน ข้าอยู่คนเดียวเหงาๆ มีเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนจะได้อุ่นใจหน่อย อีกอย่างนะ ข้าจะได้ศึกษาโครงสร้างร่างกายกับวิชาฝีมือของเจ้าด้วย ถือว่าเราสองคนมาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ซึ่งกันและกันก็แล้วกัน ชายชรากล่าวอย่างอารมณ์ดี
เฉียนเกาซันกลับไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนของปิศาจงมงาย เพราะเขารู้ว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขากลับมาเป็นยอดฝีมืออีกครั้ง ใครจะคิดว่าเขาจะได้อยู่รวมกับผู้ที่ได้ชื่อว่าสุดยอดฝีมือในแดนตงง้วน เขาจะต้องใช้เวลาช่วงนี้ตักตวงวิชาความรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ปิศาจงมงายมองหาหญิงสตรีนางนั้นสักครู่ ก่อนหันกลับถอนหายใจกล่าวกับเฉียนเกาซัน
นางหนูนี่หายไปอีกแล้ว เอาเถอะ อีกไม่นานนางคงกลับมาอีก มาเถอะเรารีบกลับบ้านข้ากันก่อน เดี๋ยวตะวันจะตกดินซะก่อน
เฉียนเกาซันงุนงงกับคำพูดของปิศาจงมงาย ตกลงว่าสตรีนางนั้นเป็นอะไรกับท่านผู้เฒ่ากันแน่ เหตุอันใดจึงต้องมาต่อสู้กัน ขณะกำลังครุ่นคิดนั้นก็มีความรู้สึกว่าโดนชายชรานั้นฉุดดึงลอยระลิ่วไปตามลม ร่างของทั้งคู่ก็กระโดดขึ้นลงหลายครั้งก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะหายกลืนไปกับความมืด....
...............................................................................................................................................................
บ้านของปิศาจงมงายนั้นอยู่ห่างจากที่พักของเฉียนเกาซันไปประมาณสามก้านธูป ถือว่าไกลมาก แต่ทั้งคู่กลับใช้เวลาในการเดินทางเพียงไม่ถึงชั่วยามนั่นหมายความว่าปิศาจงมงายผู้นี้มีพลังตัวเบาที่เลิศภพจบแดนแค่ไหน เฉียนเกาซันเองเพิ่งทราบว่าในป่าแห่งนี้กินอาณาบริเวณกว้างขวางมากนัก แถบที่ตนอาศัยอยู่นั้นถือว่าเป็นแถบที่ไม่มีสัตว์ป่าแม้แต่ตัวเดียว แต่เมื่อเดินทางมาถิ่นที่อยู่ของปิศาจงมงายแล้วกลับมีสัตว์ป่ามากมายออกมาให้เห็น ทำให้เฉียนเกาซันเริ่มรู้สึกว่าตนเองได้กลับเข้าสู่วิถีชีวิตตามเดิมทีละน้อย
บ้านของชายชราผู้นี้เป็นบ้านที่ปลูกด้วยดินเหนียว หลังคามุงด้วยหญ้าแฝก แม้ว่าบ้านจะไม่ได้ใหญ่โตมากมาย แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น และที่สำคัญคือในบ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกว่าผู้ที่อยู่ในบ้านหลังนี้จะไม่มีทางเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับตนเองได้ นั่นเป็นความรู้สึกประการหนึ่ง
เจ้าหนุ่ม เจ้ารอข้าอยู่ในบ้านสักครู่ ข้าจะออกไปหาอาหารมาให้ ชายชราหันมากล่าวกับเฉียนเกาซันก่อนที่ตนจะเดินออกจากบ้านไป
อ้อ แล้วอย่าลืมก่อกองไฟด้วยละ ข้ากลับมาจะได้ทำกับข้าวกินกันสักที ชายชราย้ำคำ
ได้ ท่านปู่ แล้วนอกจากนี้ให้ข้าทำอะไรอีกละ เฉียนเกาซันตะโกนถามไล่หลังไป แต่ชายชราไม่ตอบคำ กลับพลิ้วกายจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักเฉียนเกาซันก็ก่อกองไฟสำเร็จ เวลานั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้ว แสงสว่างที่เหลือมีเพียงแสงจากกองไฟที่เกิดจากการสร้างของเฉียนเกาซันเท่านั้น เขานั่งรออยู่ข้างกองไฟที่ตนเองก่อขึ้น ในใจนึกถึงพวกพ้องที่เคยร่วมอยู่กันมา พี่น้องที่ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือตน แม้นว่าตัวเขาเองจะรอดมาได้ แต่หาได้มีความปีติยินดีไม่ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกเคียดแค้นตนเองที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือผู้ใดได้เลย ยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหล เขากลับไม่เช็ดน้ำตา ปล่อยให้มันไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เฉียนเกาซันคิดว่าอย่างน้อยน้ำตาก็ถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเสียใจของเขาที่มีต่อเหล่าพี่น้องที่ต้องลาโลกไปได้
เจ้าหนุ่ม ร้องไห้ทำไมกัน ชายชรามานั่งอยู่ข้างกายเฉียนเกาซันเมื่อใดไม่ทราบได้
เฉียนเกาซันเช็ดหน้าเช็ดตา จากนั้นก้มหน้าตอบคำถามต่อชายชรานั้นว่า
ข้าพเจ้าคิดถึงบิดา มารดาและเหล่าพี่น้องที่เสียชีวิตไปไม่นานนี้
ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซันเหมือนพยายามสืบหาข้อเท็จจริงบางอย่าง หรือไม่เขาก็รู้แล้วว่าเฉียนเกาซันกำลังโกหกเขาอยู่
เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้จักข้ามาก่อนหรือไม่ เคยได้ยินเรื่องราวของข้ามาก่อนหรือไม่ ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาดยิ่ง นั่นคล้ายกับว่าเขาเองก็กำลังนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตเช่นกัน
กล่าวตามความสัตย์ ข้าพเจ้ามิเพียงไม่รู้จักท่าน ซ้ำเรื่องราวของท่านผู้เฒ่าข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้ยินมา
เจ้าคิดว่า เราอายุเท่าไหร่แล้ว? ชายชราถามต่อ
เฉียนเกาซันงุนงงกับคำถามที่ปิศาจงมงายตั้งขึ้น ไม่ทราบว่าจุดประสงค์หลักของเขาคืออะไร ดังนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบคำถาม
เราอายุมากกว่าแปดสิบปีแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่ ชายชรากล่าวราบเรียบ
เฉียนเกาซันเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเริ่มมองภาพลักษณ์ของชายชราผู้ได้ฉายาว่าปิศาจงมงายผู้นี้เสียใหม่ ชายชราผู้นี้ความจริงน่าจะเคยเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาแต่สภาพในตอนนี้กลับผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่นอกจากนั้นแล้วเค้าโครงหน้าเขาก็มีดวงตาที่กลมโต คิ้วที่ขาวยาวปกจอน จอนทั้งสองข้างก็ขาวยาวถึงบ่า ใบหน้าแสดงออกถึงความโอบอ้อมอารี ร่างกายก็สมส่วนสูงใหญ่ ไม่ทราบเพราะเหตุอันใดจึงโดนผู้คนตั้งฉายาว่าปิศาจงมงาย
เราผ่านโลกมาขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดโกหกเราอีกรึ เกาซันเจ้าไม่จำเป็นต้องโกหกเราก็ได้ ชายชรากล่าวเปิดเผยความลับที่เฉียนเกาซันปกปิดไว้ ทำให้เขาตื่นตระหนกและเกิดความกระอักกระอ่วนยิ่ง
ท่านผู้เฒ่าทราบได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าคือเกาซันอะไรนั่น เฉียนเกาซันลองปฏิเสธดู
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เด็กน้อย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครงั้นรึ แม้แต่ปู่ของเจ้า เฉียนหยุนถัง ยังต้องเรียกเราว่าพี่ใหญ่ แล้วเจ้าต้องเรียกเราว่าอย่างไรละ ชายชราหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่ได้บอกว่าตนมีความสัมพันธ์ใดกับปู่ของเฉียนเกาซัน
เฉียนเกาซันตะลึงลานกับคำพูดของชายชรานี้ไม่ทราบควรทำอย่างไร มือขวาของเขาเริ่มกำหอกทลายฟ้าไว้แน่นยิ่ง
ขอเรียนถาม ไม่ทราบท่านผู้เฒ่ามีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเฉียนของเรา แม้นว่าตอนนี้เขาอยากจะหนีจากชายชราผู้นี้ไป แต่ก็รู้ดีว่าคงไม่สามารถทำได้ ดังนั้นจึงตกลงปลงใจสอบถามความจริง อย่างน้อยฟังจากน้ำเสียงของชายชราผู้นี้ ตระกูลของตนน่าจะมีความสัมพันธ์กับเขาอยู่บ้าง
ชายชรานิ่งเงียบไป มองหน้าเฉียนเกาซันด้วยอำมหิตจากนั้นจึงกล่าวว่า
เรากับปู่ของเจ้าเป็นคู่อริกัน เจ้าว่าความแค้นนี้เจ้าสมควรได้รับหรือไม่ เกาซัน
เฉียนเกาซันคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาพานไม่ตอบคำแต่กลับเพ่งสายตามองตอบปิศาจงมงาย หวังว่าค่ำคืนนี้คงไม่จบลงด้วยการสังเวยชีวิตให้กับชายชราผู้นี้
ชายชราฉายาปิศาจงมงายจ้องมองเฉียนเกาซันปานจะกลืนกิน ไม่นานนักเขากลับส่ายหน้าแล้วมองมาที่เฉียนเกาซันอีกครั้งพร้อมกับกล่าวว่า
เรื่องมันนานมาแล้ว ช่างเถอะ ไม่ว่าข้าจะคาดคั้นเอาโทษกับเจ้าอย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรขึ้นมาได้
เฉียนเกาซันเห็นว่าปิศาจงมงายผู้นี้อารมณ์เย็นลงแล้ว จึงกล่าวถามว่า
ไม่ทราบว่าท่านปู่ของข้าพเจ้ากับท่านผู้เฒ่าเคยมีเรื่องหมาดหมางใจอันใดกัน เล่าให้ข้าพเจ้าฟังได้หรือไม่
มีเรื่องราวใดไม่สามารถบอกกล่าว มาเถอะ มานั่งย่างกระต่ายป่าไป กินไป แล้วข้าจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง ฟังว่าตอนที่พรรคของเจ้ายังไม่ล่มสลาย เจ้าไม่เอาใจใส่การงานเลยไม่ใช่หรือ ค่ำคืนนี้ข้าจะชดเชยเรื่องราวทุกอย่างที่เจ้าไม่เคยรู้ให้เจ้าได้รับรู้ไว้เป็นอย่างไร ปิศาจงมงายหัวเราะทิ้งท้ายเอาไว้ ทำให้เฉียนเกาซันรู้สึกว่าชายชราผู้นี้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขา ทำให้เขาไม่สามารถตอบปฏิเสธการเชิญชวนที่น่าเย้ายวนใจเช่นนี้ได้
.................................................................................................
ย้อนเวลากลับไปเมื่อสามสิบปีก่อน ตอนนั้นเราอายุได้ห้าสิบกว่าปีถือได้ว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดในชีวิตเรา ในขณะนั้นเราได้มีการคบหากับปู่ของเจ้าเฉียนหยุนถัง ชายชรากล่าวขึ้นเพื่อทำลายความเงียบสงบในวงอาหารค่ำ
เฉียนหยุนถังในตอนนั้นถือว่าเป็นขุนพลหนุ่มที่เก่งกล้าสามารถ เขาออกศึกให้กับฮ่องเต้สุมาเอี๋ยนในการบุกไปพิชิตง่อก๊ก แห่งกังตั๋ง ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือเก่งกาจยิ่ง เมื่อคนยิ่งเปล่งประกายย่อมเป็นที่อิจฉาริษยา หยุนถังเมื่อรู้ว่ามีคนอิจฉาตน และได้กราบทูลฮ่องเต้ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อเอาโทษตน เขาจึงได้ขอลาออกจากราชการไปเปิดสำนักสอนยุทธ์ซึ่งก็คือพรรคเฉียนหนานของเจ้าในตอนนี้นั่นเอง ชายชรายังคงกัดกินเนื้อกระต่ายย่างอย่างช้าๆพร้อมกับค่อยๆรำลึกเหตุการณ์แล้วเล่าออกมา
ในช่วงแรกที่เขาเปิดสำนัก เราเองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้หลงงมงายในเรื่องของวิชากำลังฝีมือ ต่างเดินทางท้าประลองกับสำนักต่างๆไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้เป็นการยืนยันถึงฝีมือยุทธ์ของตนเองว่าไม่มีใครเปรียบเทียบได้ จนกระทั่งเราเองได้ก้าวเดินเข้าไปยังพรรคเฉียนหนาน เขาหยุดพักเล็กน้อยเพื่อกินเนื้อกระต่ายย่างในมือ
ท่านผู้เฒ่ากำลังจะบอกว่าท่านได้ประมือกับท่านปู่ข้าพเจ้างั้นรึ เฉียนเกาซันถามอย่างสงสัยอยากรู้
ชายชราหันมามองหน้าเฉียนเกาซัน จากนั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
แน่นอน เราได้ประลองฝีมือกัน
เป็นผู้ใดชนะไม่ทราบ
ชายชราจับจ้องไปบนใบหน้าของเฉียนเกาซัน กล่าวเสียงทุ้มหนักว่า
ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า แสดงว่าเจ้ายังยึดถือกับผลแพ้ชนะอยู่ จงจำคำเราไว้ แพ้ชนะเป็นสิ่งเป็น ชีวิตคนจึงเป็นสิ่งตาย หากเจ้ายังยึดติดอยู่กับคำว่าแพ้ชนะ ชีวิตของเจ้าเองก็จะหาความสุขกับการฝึกยุทธ์ไม่ได้ .... เหมือนกับเราแต่เก่าก่อน
ข้าพเจ้าเพียงเกิดความอยากรู้เท่านั้น หากแม้นว่าท่านผู้เฒ่าไม่เปิดเผยผลออกมาก็หาเป็นไรไม่
อืมม เราเพียงแต่อยากเตือนสติเจ้าเอาไว้ ในขณะที่คนสองคนต่อสู้กัน หากแม้นยังไม่สามารถละความรู้สึกอยากชนะหรือกลัวพ่ายแพ้ได้แล้ว ก็จะไม่สามารถดึงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาใช้ได้ ชายชรากล่าวเตือนสติเฉียนเกาซันอีกครั้ง
ข้าพเจ้าจะจดคำของท่านผู้เฒ่าเอาไว้ เฉียนเกาซันรับคำสั้นๆ
ในการประลองครั้งนั้น เรากับปู่ของเจ้าได้นัดหมายประลองกันที่หุบเขาเมฆาขาด ทั้งนี้เพราะเราทั้งคู่ต่างไม่ต้องการให้ผลแพ้ชนะที่จะเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของทั้งคู่ การประลองระหว่างเราทั้งสองสูสีเผ็ดร้อนมาก การต่อสู้ดำเนินไปถึงสามวันสามคืน เรายังไม่สามารถโค่นล้มปู่ของเจ้าลงได้ แต่กระนั้นปู่ของเจ้าเองก็ไม่สามารถที่จะล้มเราลงได้เช่นกัน จนกระทั่ง ค่ำคืนสุดท้ายของการประลองมาถึง.... ชายชราถอนหายใจเสียงดัง เสมือนพยายามจะลืมเรื่องราวในวันเก่าให้ได้
ปู่ของเจ้าใช้วิชาหอกของเขาจู่โจมใส่เราอย่างรุนแรงที่สุด ส่วนตัวเราก็ใช้วิชาก้นหีบออกมา เราทั้งสองคนต่างปะทะกันอย่างรุนแรงจนร่างของเราทั้งคู่กระเด็นกระดอนออกจากกัน ตัวเราเองได้กระเด็นไปไกลสิบกว่าวายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนกระทั่งมีศิลาแดงก้อนหนึ่งขวางเราเอาไว้ ตัวเราจึงกระแทกกับศิลาแดงยักษ์ก้อนนั้นอย่างแรง จนเราสลบไป
แล้วปู่ของข้าพเจ้าละ? เฉียนเกาซันถาม
ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซันเป็นเชิงตำหนิว่าให้เขาพูดให้จบก่อนค่อยถาม เฉียนเกาซันเห็นดังนั้นจึงสงบปากสงบคำลงไป
เมื่อเราฟื้นขึ้นมาพบว่าในศิลาแดงยักษ์ก้อนนั้นบรรจุด้วยอาวุธชนิดหนึ่ง เมื่อศิลาแตกออกจากแรงกระแทก ทำให้อาวุธชนิดนั้นโผล่พ้นจากศิลาออกมา ส่วนปู่ของเจ้าก็กระแทกกับศิลาอีกก้อนหนึ่ง เป็นศิลายักษ์สีเขียว ซึ่งภายในศิลายักษ์นั้นก็ปรากฏอาวุธอีกชนิดหนึ่งโผล่พ้นศิลาขึ้นมาเช่นกัน เราทั้งคู่ต่างเลิกที่จะประลองกัน ต่างคนต่างพยายามดึงอาวุธที่จมอยู่ในศิลานั้นออกมา แต่ก็ไม่เป็นผล ชายชราหลับตาลง เหมือนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
แล้วพวกท่านทำเช่นไรกับมันงั้นรึ เฉียนเกาซันอดถามไม่ได้
เราสองคนพยายามอยู่นาน จึงคิดได้ เราทั้งคู่จึงร่วมมือกันผนึกกำลังกับถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่ตัวศิลาแดง เพื่อที่จะระเบิดศิลาเอาอาวุธออกมา ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผล เราถ่ายทอดพลังเข้าสู่ตัวหินถึงสามชั่วยาม ศิลาแดงก้อนนั้นจึงระเบิดออก เราทั้งคู่ก็สูญเสียพลังลมปราณไปมากอักโข แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะอาวุธชิ้นนั้นถือว่าเป็นสุดยอดอาวุธที่ข้าเพิ่งเคยพบเจอ เขากล่าวรำพึงรำพันออกมา
แล้วศิลาเขียวบรรจุด้วยอาวุธอะไรไม่ทราบได้ เฉียนเกาซันกล่าวถามอีกครั้ง
ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซัน จากนั้นคำรามกรอดออกมา
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราแค้นปู่ของเจ้ามากจนทุกวันนี้ ศิลาสีเขียวนั้นบรรจุด้วยกรงเล็บชนิดหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นกรงเล็บที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน กรงเล็บนั้นเป็นกรงเล็บที่สวยงามมาก วิจิตรพิสดารที่สุด แต่.....
แต่อะไรหรือท่านผู้เฒ่า?
พวกเราไม่สามารถเอาอาวุธชิ้นนั้นออกมาได้ ไม่ทราบเป็นบุญวาสนาเวรกรรมอะไร เราทั้งคู่ต่างถ่ายทอดพลังลมปราณไปจนแทบหมดตัวยังไม่สามารถทำลายศิลาเขียวก้อนนั้นได้ จนสุดท้ายเราทั้งคู่ต่างสลบไสลไป ชายชราเงยหน้ามองดูดาราบนท้องฟ้า
ไม่ทราบว่าเกิดข้อผิดพลาดที่ใด?
เมื่อเราฟื้นตื่นขึ้นมา ปรากฎว่าอาวุธที่ได้จากศิลาแดง และตัวของเฉียนหยุนถังได้หายไปแล้ว เราเองได้ไปคาดคั้นเอาคืนจากมัน มันกลับบอกว่าไม่ได้เก็บเอาไว้ มันอ้างว่าตอนมันฟื้นคืนสติมาก็ไม่เห็นอาวุธพิสดารนั้นแล้ว เขากล่าวต่อไปไม่สนใจกับคำถามที่เฉียนเกาซันเอ่ยถึง ส่วนเฉียนเกาซันถึงกับตกใจต่อพฤติกรรมของปู่ของตนเอง
ส่วนศิลาสีเขียวนั้น เมื่อเรากลับไปดูอีกคราปรากฎว่าอาวุธที่อยู่ภายในศิลานั้นได้อันตรธานหายไปแล้ว
อย่างนั้นเป็นผู้ใดเอาอาวุธล้ำค่าเช่นนั้นไป แล้วเหตุใดเขาจึงสามารถทำลายศิลาเขียวนั้นได้ เฉียนเกาซันถามอย่างตกใจ
ชายชราผู้มีฉายาว่าปิศาจงมงายมองมายังเฉียนเกาซันอีกครั้ง
เจ้าคิดว่าผู้ใดในยุทธจักรจะมีพลังยุทธเหนือล้ำกว่าเราอีกงั้นรึ?
หรือว่าเป็น...... เฉียนเกาซันไม่อยากจะคิดถึงบุคคลคนนั้น
ที่เจ้าคิดไม่ผิดหรอก ผู้ที่เอาอาวุธนั้นไปเป็นไต้ซือฉินกง แห่งนิกายเซนเอง แต่เราก็ไม่ทราบว่าท่านสามารถทำลายศิลาเขียวนั้นด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ ผู้ที่บอกตำแหน่งศิลาเขียวแก่ไต้ซือฉินกงไม่ใช่ใคร เป็นปู่ของเจ้านั่นเอง ชายชรากล่าวช้าๆ
แต่ท่านผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าอาวุธที่มาจากศิลาแดงนั้นเป็นอาวุธชนิดใดหรือ?
ปู่ของเจ้าเมื่อได้อาวุธนั้นไป ก็ได้เก็บเอาไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ เราคาดว่าน่าจะเป็นข้อตกลงกันระหว่างไต้ซือฉินกงกับปู่ของเจ้า ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงเอาออกมาโอ้อวดใครต่อใครไปนานแล้ว เขากล่าวกลับเฉียนเกาซันเหมือนประชดประชัน ส่วนตัวเฉียนเกาซันเองก็รู้สึกว่า เรื่องราวช่างอยู่ใกล้ตัวเองนัก
จนอาวุธนั้นได้ปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อหลายเดือนก่อน ลูกชายของเฉียนหยุนถัง นามเฉียนกุ้ยหนาน ได้มอบอาวุธล้ำค่านั้นให้กับหลานของเฉียนหยุนถัง นั่นก็คือเจ้า....เฉียนเกาซัน เจ้าเองที่ยึดครองอาวุธที่น่าจะเป็นของเราเอาไว้ ในที่สุดปิศาจงมงายได้เผยความจริงทั้งหมดของหอกทลายฟ้าออกมา
ท่านผู้เฒ่าจำหอกในมือของข้าพเจ้าได้แต่แรกแล้วงั้นรึ เหตุอันใดไม่ลงมือปลิดชีพข้าพเจ้าแล้วแย่งชิงหอกไป เฉียนเกาซันถามอย่างสงสัยอีกครา
ชายชราแหงนหน้ามองหมู่ดาวบนท้องฟ้า กล่าวโดยไม่มองเฉียนเกาซันว่า
ทำเช่นนั้นเกิดประโยชน์อันใด หากเราประพฤติตนเช่นนั้น คงเป็นเหตุให้ม่งชิวดูแคลนเรายิ่งกว่าเดิม ม่งชิวเอ๋ยม่งชิว ในที่สุดข้าเชื่อแล้วว่าฟ้าลิขิตชีวิตคน ในที่สุดหอกวิเศษได้พบเจอเจ้าของที่แท้จริงของมันแล้ว
ท่านผู้เฒ่าหมายความว่าอย่างไร?
เกาซัน เมื่อยามเจ้าใช้หอกด้ามนั้นเจ้ารู้สึกอย่างไร? ชายชราหันกลับมามองหน้าเฉียนเกาซันอีกครั้ง
เฉียนเกาซันก้มหน้ามองหอกในมือ จากนั้นกล่าวว่า
ข้าพเจ้ารู้สึกว่า หอกถ่ายทอดพลังความร้อนเข้าสู่มือของข้าพเจ้าตลอดเวลา แม้นว่าในขณะที่ข้าพเจ้าหมดสติก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่หอกทลายฟ้านี้ถ่ายเทเข้าสู่ตัวข้าพเจ้าได้
หอกทลายฟ้างั้นรึ นั่นเป็นชื่อที่หยุนถังตั้งไว้งั้นหรือ? ชายชราถาม
นี่เป็นชื่อที่ท่านพ่อได้บอกต่อข้าพเจ้า ใช่เป็นชื่อที่ท่านปู่ตั้งเอาไว้หรือไม่นั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบได้ เฉียนเกาซันตอบสั้นๆ
ช่างเถอะ เมื่อเจ้าสามารถรับรู้ถึงพลังลมปราณที่หอกมีต่อเจ้า นั่นหมายความว่าเจ้าคือเจ้าของหอกที่แท้จริง
ท่านผู้เฒ่าทราบได้อย่างไร?
เรื่องนี้เราได้รับทราบจากซิ่วม่งชิวอีกทีหนึ่ง นางเองเป็นผู้รอบรู้ที่สุดในยุคนั้น เชื่อข้าเถอะ หอกด้ามนี้ต้องการเจ้า และเจ้าก็ต้องการมัน แต่ที่ข้าต้องการไม่ใช่หอก แต่กลับเป็นวิชาฝีมือที่ผู้ถือหอกมีมากกว่า แต่เจ้าเองกลับไร้ซึ่งฝีมือ แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องกลับมาเป็นยอดฝีมือได้อีกครั้ง ชายชรากล่าวให้กำลังใจ
ท่านผู้เฒ่าตกลงใจสอนวิชาฝีมือให้กับข้าพเจ้าแล้วหรือ? เฉียนเกาซันถามด้วยความยินดี
ว่ากระไร? เจ้าอยากเรียนรู้วิชาจากเรา? ฮ่า ฮ่า ฮ่า เกาซันเอ๋ย เกาซัน หากเจ้าอยากเก่งกว่าเรา เจ้าก็ต้องก้าวข้ามเราไปให้ได้ แม้นว่าเจ้าฝึกวิชาของเรา อย่างมากเจ้าก็เป็นได้แค่ปิศาจงมงายหนุ่มเท่านั้น ดังนั้น เจ้าจงอยู่กับหอก ศึกษาค้นคว้าจากหอก แล้วเมื่อวันใดเจ้าเข้าใจถึงแก่นแท้ของหอก เมื่อถึงวันนั้นเราจะเป็นคู่ซ้อมให้กับเจ้าเอง...แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องการก็ตาม ชายชราหัวเราะอย่างคุ้มคลั่ง
.....................................................................................
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที