GIT Information Center

ผู้เขียน : GIT Information Center

อัพเดท: 03 ม.ค. 2020 23.22 น. บทความนี้มีผู้ชม: 934 ครั้ง

ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2562 ทำรายได้ 14,968.05 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตสูงถึงร้อยละ 34.73 เมื่อเทียบกับปี 2561 นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.59 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทยรองจากรถยนต์ และคอมพิวเตอร์ โดยสินค้าส่งออกสำคัญที่ขยายตัวดีคือ ทองคำฯ เครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ส่วนตลาดสำคัญที่เติบโตได้ดีคือ กลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ และกัมพูชา อินเดีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และคูเวต สำหรับปัจจัยที่ท้าทายส่งออกไทยปีหน้าที่ต้องติดตามคือ นโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์ประท้วงในฮ่องกง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดร่วงลงไปอยู่ที่ระดับ 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้สินค้าเสียโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลก


บทวิเคราะห์สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2562

สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2562

          การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2562 มีมูลค่า 11,451.26 ล้านเหรียญสหรัฐ (359,974.04 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 24.44 (ร้อยละ 27.02 ในหน่วยของเงินบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นการนำเข้าทองคำกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 40.60 เนื่องมาจากผู้นำเข้าชะลอการนำเข้าทองคำฯ ในช่วงที่ราคาทองคำฯ ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งการนำเข้าเพชรทั้งเพชรก้อนและเพชรเจียระไนก็ลดลง ในขณะที่ไทยนำเข้าเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่าเพิ่มสูงขึ้นมากเพื่อส่งออกไปหลอมเป็นทองคำแท่งในต่างประเทศ อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรเลีย

         การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2562 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 34.73 (ร้อยละ 30.75 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 14,968.05 ล้านเหรียญสหรัฐ (464,570.49 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมูลค่า 11,109.95 ล้านเหรียญสหรัฐ (355,322.94 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.59 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 7,613.29 ล้านเหรียญสหรัฐ (236,162.57 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 6.60 (ร้อยละ 3.31 ในหน่วยของเงินบาท) ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2561 และ 2562

รายการ

มูลค่า (ล้านเหรียญสหรัฐ)

สัดส่วน (ร้อยละ)

เปลี่ยนแปลง

(ร้อยละ)

ม.ค.-พ.ย. 61

ม.ค.-พ.ย. 62

ม.ค.-พ.ย. 61

ม.ค.-พ.ย. 62

มูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับทั้งหมด

11,109.95

14,968.05

100.00

100.00

34.73

หัก มูลค่าส่งออกทองคำฯ

3,967.96

7,354.76

35.72

49.14

85.35

คงเหลือมูลค่าการส่งออกที่ไม่รวมทองคำฯ

7,141.99

7,613.29

64.28

50.86

6.60

หัก มูลค่าสินค้าส่งกลับจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ และอื่นๆ

453.20

507.34

4.08

3.39

11.95

คงเหลือมูลค่าส่งออกสุทธิ

6,688.79

7,105.95

60.21

47.47

6.24


ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า

  1. สินค้าสำเร็จรูป เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับแพลทินัม และเครื่องประดับเทียม ลดลงร้อยละ 19.06, ร้อยละ 2.53 และร้อยละ 1.29 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับทอง เติบโตเล็กน้อยร้อยละ 0.02
  2. สินค้ากึ่งสำเร็จรูป พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.07 และร้อยละ 11.29 ตามลำดับ ส่วนเพชรเจียระไน ปรับตัวลดลงร้อยละ 7.30

           ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ) ดังตารางที่ 2  ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 คือ ฮ่องกง มีมูลค่าลดลงร้อยละ 4.64 เป็นผลมาจากสถานการณ์การประท้วงที่ยืดเยื้อและยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริโภค และนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปฮ่องกงลดลง ทำให้ร้านค้าปลีกปิดตัวลงหลายแห่ง รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน ผู้นำเข้าฮ่องกงจึงลดการนำเข้าจากไทยลง ส่งผลให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการไปฮ่องกงได้ลดลงไม่ว่าจะเป็นเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน

          การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปปรับตัวลดลงร้อยละ 1.61 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจของยุโรปที่ชะลอตัวลงมาก อันเนื่องมาจากแรงกดดันของสงครามการค้าที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ไทยส่งออกไปยังเยอรมนี ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 33 และเบลเยียม ตลาดในอันดับ 2 ได้ลดลงร้อยละ 26.19 และร้อยละ 3.66 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังเยอรมนีส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับเงิน รองลงมาเป็นเครื่องประดับทอง ส่วนสินค้าส่งออกหลักราวร้อยละ 87 ไปยังเบลเยียมเป็นเพชรเจียระไน ที่ล้วนหดตัวลง ในขณะที่ไทยส่งออกไปยังอิตาลี และสหราชอาณาจักร ตลาดในอันดับ 3 และ 4 ได้สูงกว่า 1.16 เท่า และร้อยละ 16.31 ตามลำดับ ซึ่งสินค้าหลักส่งออกไปยังทั้งสองประเทศดังกล่าวเป็นเครื่องประดับทอง ที่ต่างมีมูลค่าเติบโตสูง

          ส่วนการส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกายังคงมีมูลค่าลดลงร้อยละ 5.88 ส่วนหนึ่งยังคงเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่เริ่มอ่อนแอลงจากผลกระทบของสงครามการค้า ผู้บริโภคจึงระมัดระวังการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย โดยการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมา และเครื่องประดับทอง ซึ่งเป็นสินค้าหลักส่งออกในปีนี้ ต่างมีมูลค่าลดลงร้อยละ 23.82 และร้อยละ 3.86 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกพลอยเนื้อแข็งเจียระไนและเพชรเจียระไน ยังสามารถขยายตัวได้

          มูลค่าการส่งออกไปยังญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 6.59 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และการปรับขึ้นภาษีการบริโภคจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 10 เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2562 ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยลง มีผลทำให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญบางรายการได้ลดลง ได้แก่ เพชรเจียระไนและเครื่องประดับเงิน ส่วนสินค้าที่ยังเติบโตได้ในตลาดนี้เป็นเครื่องประดับทอง และเครื่องประดับแพลทินัม ที่มักนิยมใช้ในตลาดคู่แต่งงาน

          การส่งออกไปยังจีนหดตัวลงร้อยละ 23.48 ส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน  ผู้บริโภคชาวจีนจึงยังระมัดระวังใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้ไทยส่งออกสินค้าหลักในสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งอย่างเครื่องประดับเงิน รวมถึงพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับทอง สินค้าสำคัญถัดมาได้ลดน้อยลง

           ส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกลดลงร้อยละ 20.72 เนื่องมาจากการส่งออกไปยังออสเตรเลีย ที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 87 ได้ลดลงร้อยละ 24.15 จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปี 2561 และเครื่องประดับทอง สินค้ารองลงมาได้ลดลงมาก ในขณะที่ไทยยังสามารถส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ ตลาดในอันดับ 2 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.73 โดยสินค้าหลักส่งออกไปตลาดนี้คือ เครื่องประดับเงิน และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า และเครื่องประดับทอง ที่ต่างเติบโตได้เป็นอย่างดี

           การส่งออกไปยังรัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราชที่ลดลงนั้น เนื่องจากการส่งออกไปรัสเซียและยูเครน ตลาดในอันดับ 1 และ 3 ได้ลดลงมากถึงร้อยละ 67.99 และร้อยละ 82.38 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศที่ขยายตัวในอัตราต่ำ อันสืบเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองกับประเทศต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเชี่อมั่นในการบริโภคภายในประเทศ ทั้งนี้ สินค้าหลักส่งออกไปยังรัสเซียเป็นเครื่องประดับเงิน ที่ปรับตัวลดลงมากถึงร้อยละ 87.09 ในขณะที่การส่งออกเพชรเจียระไน สินค้าสำคัญถัดมายังเติบโตได้สูงกว่า 5.55 เท่า ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญหลายรายการไปยังยูเครนล้วนมีมูลค่าลดลงไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน อัญมณีสังเคราะห์ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไนและเครื่องประดับทอง ส่วนสินค้าที่เติบโตได้ดีในตลาดนี้ก็คือ เพชรเจียระไน สำหรับการส่งออกไปยังอาร์เมเนียตลาดในอันดับ 2  ขยายตัวได้สูงกว่า 1.23 เท่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี โดย IMF ประมาณการว่า ในปี 2562 เศรษฐกิจของอาร์เมเนียมีอัตราการเติบโตร้อยละ 6 ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในยุโรป ผู้บริโภคจึงมีกำลังซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ส่งผลให้ไทยส่งออกพลอยเนื้ออ่อนและพลอยเนื้อแข็ง-เจียระไน รวมถึงเพชรเจียระไน ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก

          สำหรับตลาดส่งออกที่ยังเติบโตได้คือ อาเซียน อินเดีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยการส่งออกไปยังอาเซียนที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ซึ่งครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 84 และกัมพูชา ตลาดในอันดับ 2 ได้เพิ่มสูงกว่า 2.95 เท่า และ 2.38 เท่า ตามลำดับ ทั้งนี้ สินค้าส่งออกสำคัญไปยังสิงคโปร์คือ เศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า เครื่องประดับเทียม และเครื่องประดับทอง ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญไปยังกัมพูชาเป็นเครื่องประดับทองและเพชรเจียระไน ที่ล้วนมีมูลค่าขยายตัวดี ในขณะที่การส่งออกไปยังมาเลเซีย ตลาดในอันดับ 3 ยังคงหดตัวลงร้อยละ 12.89 จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเครื่องประดับทองได้ลดลง

        ส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังอินเดียที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นเพชรเจียระไน พลอยก้อน โลหะเงิน พลอยเนื้ออ่อนและพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ที่ต่างเติบโตได้สูงมาก

         ส่วนการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่ขยายตัวได้นั้น เป็นผลมาจากการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับ-เอมิเรตส์ ตลาดอันดับ 1 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.46 จากการส่งออกสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเพชรเจียระไนได้สูงกว่า 1.24 เท่า ในขณะที่การส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทองปรับตัวลดลงร้อยละ 3.47 อีกทั้งไทยยังส่งออกไปยังกาตาร์ และคูเวต ตลาดในอันดับ 3 และ 4 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.85 และร้อยละ 66.28 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังทั้งสองประเทศนี้เป็นเครื่องประดับทอง ที่เติบโตได้สูงขึ้นมาก ส่วนการส่งออกไปยังอิสราเอล ตลาดในอันดับ 2 ปรับลดลงต่อเนื่องร้อยละ 4.44 เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักทั้งเพชรเจียระไนและเพชรก้อนได้ลดลง

ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ไปยังตลาด/ภูมิภาคต่างๆ ในระหว่างปี 2561 – 2562

ประเทศ/ภูมิภาค

มูลค่า (ล้านเหรียญสหรัฐ)

สัดส่วน (ร้อยละ)

เปลี่ยนแปลง

ม.ค.-พ.ย. 61

ม.ค.-พ.ย. 62

ม.ค.-พ.ย. 61

ม.ค.-พ.ย. 62

(ร้อยละ)

ฮ่องกง

2,006.93

1,913.72

28.10

25.14

-4.64

สหภาพยุโรป

1,563.47

1,538.35

21.89

20.21

-1.61

สหรัฐอเมริกา

1,263.78

1,189.49

17.70

15.62

-5.88

อาเซียน

204.39

609.26

2.86

8.00

198.09

อินเดีย

315.00

608.68

4.41

8.00

93.23

กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

527.80

536.43

7.39

7.05

1.64

ญี่ปุ่น

215.76

201.55

3.02

2.65

-6.59

จีน

258.79

198.04

3.62

2.60

-23.48

ประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก

191.87

152.10

2.69

2.00

-20.72

รัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช

54.85

19.88

0.77

0.26

-63.75

อื่นๆ

539.35

645.79

7.55

8.47

19.73

รวม

7,141.99

7,613.29

100.00

100.00

6.60


ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที