ณัชร

ผู้เขียน : ณัชร

อัพเดท: 26 พ.ค. 2007 12.27 น. บทความนี้มีผู้ชม: 6673 ครั้ง

เรียนรู้โลกกว้างไกล แล้วต้องหัดมองย้อนกลับมาใกล้ ๆ ที่ใจตนเอง


ลองถามคนญี่ปุ่นข้าง ๆ คุณดูสิ


(เรื่องจากไดอารี่ออนไลน์ของผู้เขียน ซึ่งส่วนใหญ่เขียนสมัยอยู่ญี่ปุ่น
ครั้งได้ทุนวิจัยไปจากตค.ปีที่แล้วถึงต้นปีนี้ ภาพประกอบเป็นของตนเองทั้งหมด)

paragon demon

ภาพเซนเซฉันกำลังคุมเจ้าหมีน้อย คุมะ แสดงวิธีใช้พัดคลี่คลายสถานการณ์ต่อสู้เวลามีคนใช้ดาบไม้มารังแก โถ....ใครจะไปรังแกหนูลง น่ารักน่าฟัดจะตายอยู่แล้ว แสดงที่สยาม พารากอน ในงานวัฒนธรรมญี่ปุ่น เมื่อต้นปีที่แล้ว

สองปีที่แล้ว ตอนฉันยื่น proposal สมัครทุนวิจัยไปว่า ฉันอยากจะทำเรื่องที่เกี่ยวกับบูชิโด หลาย ๆ คนคิดว่าฉันบ้าไปแล้ว

ฉันก็คิดว่าฉันอาจจะบ้าไปจริง ๆ เพราะตั้งแต่ฉันยื่นข้อเสนอไป ก็นับแต่จะมีข่าวคราวที่มีการอ้างอิงถึงเรื่องเกี่ยวกับบูชิโดหนาหูขึ้นมาเรื่อยๆ เคยมีหมอดูฮวงจุ้ยคนหนึ่งทักฉันเล่น ๆ เมื่อหลายปีดีดักมาแล้วว่า ถึงแม้ฉันจะจัดบ้านได้แย่มากก็ตาม(เออ แม่นแฮะ) แต่ฉันจะมีอะไรพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ มักจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ล่วงหน้าก่อนที่มันจะเกิดขึ้นได้เป็นระยะเวลาพอตัวทีเดียว เช่น สองสามปี

ตอนนั้นฉันไพล่ไปนึกถึงเรื่องแฟชั่น สีผม อะไรไปตามเรื่อง เพราะจะว่าไปแล้ว ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะลุกขึ้นมาเรียนป.เอกเรื่องที่ฉันไม่ได้เรียนตรีและโทมา แถมดันคิดจะมาเรียนเอกเอาตอนแก่แล้วอีกหลังจากทำงานแล้วเป็น ๑๐ ปี เพราะฉันไม่เคยอยู่วงการการศึกษา แต่ฉันมันคนวงการมายานานาประเทศ เดินสายสร้างความฝันให้สังคมในปารีส ลอนดอน นิวยอร์ค ซานฟราน และอื่น ๆ ดูสีผมฉันตอนไป pitch งานที่ปารีสและทำงานที่ลอนดอนระหว่างปี ๑๙๙๙-๒๐๐๐ เสียก่อน แล้วท่านจะหนาวววววว ฮิ ๆ

Paris, 1999

คนมันบ้า

ใครจะไปนึกว่า ข้อเสนอวิทยานิพนธ์บ้าดีเดือดของฉัน จะกลายมาเป็นเรื่องฮิทหัวข้อฮอทในดวงใจคนญี่ปุ่นและเผลอๆ กลายเป็นเรื่องในความสนใจของคนทั้งโลกไปเสียแล้ว

เพียงอาทิตย์กว่าก่อนที่โคอิสุมิจะไปเยือนศาลเจ้ายาสุคุนิครั้งประวัติศาสตร์เมื่อกลางปีที่แล้วบังเอิญเซนเซดาบที่เมืองไทยจัดทัวร์ซามูไรไปทัศนศึกษาเทศกาลซามูไรโบราณ ๑ ,๐๐๐ ปีที่แคว้นไอสุพอดี และพาไปศึกษาประวัติศาสตร์ที่อื่น ๆ ด้วย นอกเหนือจากไปฝึกและเยี่ยมคารวะอาจารย์ใหญ่ที่สำนัก และไปเยี่ยมชมปรมาจารย์ช่างตีดาบที่เป็นศิลปินแห่งชาติ ฯลฯ ตอนช่วงอยู่โตเกียวนั้น มีวันที่ปล่อยอิสระอยู่บ้าง แล้วฉันก็นึกอย่างไรไม่ทราบขอแยกออกจากคณะทัวร์ซามูไรของเซนเซฉัน เพื่อที่จะแวะไปเยือนศาลเจ้ายาสุคุนิและเก็บข้อมูลที่พิพิธภัณฑ์ของศาลนั้นคนเดียว การที่ได้แวะไปเก็บข้อมูลตรงนั้นทำให้ฉันได้กลับมาเป็นคนไทยที่มีข้อมูลค่อนข้างจะใหม่และลึกในช่วงที่คนกำลังต้องการทราบมากที่สุดพอดี

yasukuni

ภาพศาลเจ้ายาสุคุนิในมุมมองที่หาดูได้ยากเพราะเขาไม่ค่อยไปทำข่าวกัน คือ ยามพลบค่ำใกล้ศาลปิดและยามกลางคืน ให้บรรยากาศวังเวงเศร้าใจดีมาก ภาพนี้ฉันย่องฝ่าลมหนาวกลับไปถ่ายมาใหม่ตอนฉันแวะไปวิจัยมารอบหลังตอนหน้าหนาวนี้

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ในช่วง เดือนที่ฉันไปอยู่ญี่ปุ่นนี้ ฉันต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ฉันคงหาช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะไปเก็บข้อมูลวิจัยไปไม่ได้ดีกว่านี้อีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน ๆใคร ๆ ก็จะพูดถึงบูชิโด ในข่าวทีวีก็มีคนพูด ในรายการวิเคราะห์ข่าวก็มีคนพูด แถมรายการที่เชิญคนทางบ้านมานั่งกันเต็มอัฒจันทร์ในห้องส่งแล้วให้อภิปรายปัญหาบ้านเมืองกัน ก ็มีคนอ้างถึงบูชิโดอีก

แล้วอยู่ดีๆ ทำไมเขามาพูดถึงหัวข้อวิทยานิพนธ์ของฉันล่ะ?

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อปลายปีที่แล้ว รัฐบาลใหม่ของนายอาเบะ ได้ผ่านร่างกม.รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีการแก้ไขบางมาตราเข้าไป โดยมีข้อความสำคัญบางตอนให้ประชาชนมีความรักชาติ และ ขนบธรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม รวมไปถึงรักความเป็นเผ่าพันธ์พวกพ้อง รักภูมิลำเนา ถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง อะไรเทือกนั้น

เพื่อให้เห็นชัด ๆ กันไปเลยว่า ตัวรัฐธรรมนูญที่แก้ใหม่นั้นมีข้อความอย่างไร ฉันก็ขอยกที่ข่าวเขาแปลมาเป็นภาษาอังกฤษแล้วมาทั้งกระบิให้ท่านทั้งหลายได้ร่วมอภิปรายราวกับได้อยู่ในสภาลดความอ้วน เอ๊ย สภาไดเอทของญี่ปุ่นด้วย ดังนี้ (ขอนอกเรื่องนิดนึง ถ้าใครอยากรู้ว่าคำว่าไดเอท ในที่นี้ของรัฐสภาญี่ปุ่น แปลว่าอะไร มีที่มาอย่างไร คลิก ที่นี่ )

ตัวรัฐธรรมนูญที่แก้ใหม่แล้วของญี่ปุ่น
The 18-article education law introduces the idea of respect for the public spirit in its preamble and calls for developing "an attitude that respects tradition and culture and loves the nation and homeland that have fostered them," as a goal of education.

ที่มา: Revised education law to enhance patriotism goes into effect, Dec.22,2005. Japan Today. Retrieved on January 15, 2007 from http://www.japantoday.com/jp/news/394195

It also contains new clauses on lifelong learning and education at home.

ี่มา: New 'patriotism' education law takes effect, Dec.22,2005. Japan Times. Retrieved on January 15, 2007 from http://search.japantimes.co.jp/mail/nn20061223a7.html

ในฐานะคนไทยเมื่ออ่านสองข้อความที่มีการแก้ไขใหม่นี้ เราท่านอาจจะรู้สึกเฉย ๆ แล้วก็อาจจะนึกว่าเราเองก็มีกันอยู่แล้วด้วยซ้ำ ในเรื่องการรณรงค์ให้รักศิลปวัฒนธรรมของเรา ส่วนเรื่องรักและผูกพันกับประเทศชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เผลอ ๆ อาจจะชอบด้วยซ้ำที่รัฐธรรมนูญใหม่นี้มีการให้ความสำคัญต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเรียนรู้ที่บ้านอีกด้วย

นั่นสินะ ข้อความเดียวกันแท้ ๆ มันต้องแล้วแต่ใครฟังจริง ๆ ด้วย เพราะในคลาสป.โทและเอกภาคอินเตอร์ที่เกี่ยวกับการศึกษาในเชิงข้ามวัฒนธรรมระหว่างเอเชียด้วยกันเอง ที่ฉันได้มีโอกาสไปนั่งฟังและร่วมแสดงความคิดเห็นมาที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ที่โตเกียวนี้นั้น ก็ได้มีการหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันเหมือนกัน เพราะทุกคนไม่เข้าใจว่า เรื่องนี้ทำไมคนญี่ปุ่นต้อง debate กันเป็นเรื่องใหญ่เอาเป็นเอาตาย

นักศึกษาจากมาเลเซียยกมือให้ความเห็นบอกว่า เมื่อคืนก่อนเธอดูรายการทอล์คโชว์ที่นำคนมาร่วมรายการเยอะ ๆ แล้วให้ถกกันนี่แหละ ปรากฏว่าเธอช็อคไปเลยเมื่อมีการอภิปรายกันในประเด็นที่ว่า จำเป็นด้วยหรือที่ต้องรักชาติ?

เธอบอกว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่ต้องถามเลยในมาเลเซีย เพราะมันอยู่ในจิตสำนึกของทุกคนอยู่แล้ว ถามใครใครก็ตอบว่ารักโดยไม่ต้องหยุดคิดหรือสงสัยเลยว่าต้องรักหรือเปล่า และจำเป็นแค่ไหนที่ต้องรักชาติ แต่เธอก็ให้เหตุผลเหมือนกันว่า เพราะเรื่องนี้มีสอนกันตั้งแต่เด็ก

ที่คนญี่ปุ่นเถียงกันนั้น ฉันขอสรุปให้สั้นๆ เลยก็แล้วกันว่าเพราะคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาใต้อิทธิพลของการศึกษา ค่านิยมและแนวคิดของอเมริกาเกิดกลัวว่าประเทศตัวเองจะไปเป็นแบบก่อนสงครามโลก และรัฐธรรมนูญใหม่นี้จะเป็นตัวกึ่งๆบังคับให้รร.มีหลักสูตรสอนให้ชาตินิยมเพื่อรับใช้ลัทธิทหารและการเมืองอีก

ที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ คนส่วนใหญ่สับสนคำว่า ลัทธิทหาร หรือ militarism กับ บูชิโด เพราะถึงแม้ลัทธิทหารของญี่ปุ่นที่ก่อสงครามโลกนั้นจะได้ไอเดียในเรื่องชนชั้นปกครองคือทหารมาจากบูชิโด แต่นั่นคือเขาหยิบแค่หน้ากาก หรือเสื้อเกราะของบูชิโดมาใส่เพื่อ justify their own cause เท่านั้น

นี่คือที่จากฉันค้นคว้าทำทบทวนวรรณกรรมมาน่ะนะ เพราะว่าถ้าท่านคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคโตกุกาว่ามาบ้าง ท่านจะเห็นว่าชีวิตทั้งชีวิตของซามูไรสมัยโตกุกาว่า ซึ่งเป็นสมัยก่อนยุคสงครามโลกนั้น เขาจะทุ่มไปกับการฝึกฝนจิตใจตนเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รักความสงบ ไม่เบียดเบียนใครแม้นกระทั่งตนเอง

ในที่นี้ฉันหมายถึงเขาไม่เบียดเบียนแม้นกระทั่งความเป็นมนุษย์ของตนเองน่ะนะ เพราะถ้าไปอ่านเอกสารเกี่ยวกับบูชิโดสมัยโตกุกาว่า ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของสมัยเอโดนี้แล้ว บางครั้งจะทึ่งมากว่า (แม่เจ้าโว้ย....) นี่เป็นวัตรปฏิบัติของพระหรือของทหารกันแน่

เพราะนอกจากเรื่องศีลแล้ว ก็ยังสอนราวกับอยูในคอร์สการเจริญสติที่ฉันเคยไปด้วย ก็คือ ให้กินน้อย นอนน้อย และพูดน้อย แถมยังให้คอยระวังดูความคิดตัวเองก่อนจะพูด จะทำอะไรออกไปอีก

Edo Bushido Book

ภาพหนังสือ บูชิโด ที่แปลมาจากThe Code of the Warrior

หรือ Bushido Shoshinshu ที่เป็นคู่มือฝึกซามูไรหนุ่มยุคโตกุกาว่า

เรื่องประเด็นแก้รธน.นี้ที่ตลกแต่ขำไม่ออกก็คือ ทั้งสองฝ่าย ทั้งที่สนับสนุน และคัดค้าน ต่างก็อ้างถึงหนังสือเรื่องบูชิโดโดยตีความเข้าข้างตัวเองกันทั้งคู่

ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ หนังสือบูชิโดที่ทั้งสองฝ่ายเอามาอ้างกันอย่างเอาเป็นเอาตายเล่มนั้น
๑. เขียนในสมัยที่ซามูไรจริง ๆ หมดไปแล้ว
๒. โดยคนที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องบูชิโดจริง ๆ เท่าไหร่ในแง่ของปรัชญาและศาสนาตะวันออก (อันนี้ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นเขาวิเคราะห์เองนะ ไม่ใช่ฉันคนเดียว) เนื่องจากเรียนรร.คริสต์ตั้งแต่เด็ก แล้วไปเมืองนอกตั้งแต่หนุ่มมากเลย
๓.และที่สำคัญ ต้นฉบับน่ะ เขียนเป็นภาษาอังกฤษ
๔. ผู้เขียนเขียนตอนไม่ได้อยู่ญี่ปุ่น
๕. โดยมีจุดประสงค์ในการเขียนตอนแรกเพื่อให้ฝรั่งอ่าน
๖. เพราะท่านไปมีภรรยาเป็นต่างชาติ แ ละทำงานเมืองนอกอยู่นาน
๗. ที่เขียนก็เพราะว่า
โดนภรรยาและเพื่อนร่วมงานตื๊อถามนั่นเองว่าทำไมญี่ปุ่นถึงไม่มีการสอนศาสนาในรร. ก็เลยแต่งหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาตอบ
๘. แถมเขียนแบบรวดเดียวจบ
โดยไม่ได้มีการค้นคว้าอ้างอิงอะไรมากมายอีกด้วย
๙.
เพิ่งจะได้รับการแปลจากภาษาอังกฤษ(แบบโบราณ สมัย ๑๙๐๑) กลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่นเมื่อไม่นานนี้เอง

Meiji Bushido Book

ภาพหนังสือเล่มที่ฉันว่า

ท่านผู้อ่านที่รัก ท่านอ่านข้อ "ตลกร้าย" ทั้ง ๙ ข้อที่ฉันกล้าวิเคราะห์แบบไม่กลัวโดนลอบฆ่าทิ้งนี้แล้วรู้สึกเหมือนฉันไหม? คือ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงบริบททางสังคมที่สำคัญมากข้อนี้นะ ว่าถ้าจะศึกษาบูชิโดจริง ๆ แล้ว ไม่ควรถือหนังสือเล่มนี้เป็นสรณะน่ะ ฉันว่า เพราะว่ามัน "ไม่ใช่" น่ะ

ถ้ามันจะมีคุณค่าใด ๆ แล้ว ก็คงจะเป็นเพียงความสวยงามของภาษาอังกฤษ ที่เทียบเท่าวรรณกรรมคลาสสิคของยุโรปทีเดียว รับประกันว่าท่านจะต้องนึกถึงน้อง ๆ เชคสเปียร์ทีเดียว อาจจะทันสมัยกว่านั้นหน่อย แต่ว่าจะมีความอลังการพอ ๆ กัน ดังนั้น แนวคิดของบูชิโดในหนังสือเล่มนี้ จึงเป็นเหมือนอัศวินในยุโรปในยุคกลางเท่านั้น คือเป็นเหมือนคุณธรรม จริยธรรมที่สูงส่งจนเหมือนคนธรรมดาไม่น่าจะทำได้ เป็นเหมือนคนนอกมองเข้ามาข้างในแล้วเดาเอาว่า "มันน่าจะเป็นอย่างนั้น" โดยไม่ได้ให้วิธีการประพฤติปฏิบัติประจำวันอย่างหนังสือเล่มแรกที่ฉันยกตัวอย่างไว้ก่อนหน้าแต่อย่างใด

ทำไมเล่มแรกจึงทำได้ล่ะ? ก็เพราะว่าเป็นซามูไรเขียน เป็นภาษาญี่ปุ่น ในยุคที่ยังมีซามูไรอยู่ ให้ซามูไรอ่าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตัวในแต่ละวัน เพื่อการเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ นั่นก็คือเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ในพุทธศาสนาแนวเซน นั่นเอง

คุณค่าของหนังสือทั้งสองเล่มจึงต่างกันตรงนี้ น่าเสียดายที่คนญี่ปุ่นยุคใหม่เติบโตมาด้วยความเป็น "อเมริกัน" มาก ท่านเชื่อไหมว่า ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ หรือ ไม่รู้รายละเอียตรงนี้เสียแล้ว อย่างเก่งถ้าท่านไปถามว่าหนังสือเกี่ยวกับบูชิโดมีอะไรอีกบ้าง เขาอาจจะบอกอีกเล่มหนึ่ง คือ ฮากาคุเร่ ซึ่งในความคิดของฉันแล้วมันก็ไม่ใช่อีก เพราะเป็นบทรวมคำบ่น ๆ ของซามูไรเกษียณที่บอกให้ลูกน้องเผาทิ้งด้วยซ้ำไม่ได้คิดจะให้ใครรู้หรืออ่านต่อ มันต่างกันตรงนี้

ตอนนี้ฉันยังหาลิ้งค์เคยเซฟไว้ไม่เจอ แต่ช่วงปีที่ผ่านมานี้ มีข่าวออกมาแล้วว่า หนังสือบูชิโดเล่มที่เดิมเขียนเป็นภาษาอังกฤษนี้กลายเป็นหนังสือขายดีเทน้ำเทท่า ชนิดพิมพ์ไม่ทัน

ซึ่งฉันอยากอาจหาญวิเคราะห์ให้เลยว่า การที่หนังสือบูชิโดขายดีขนาดนี้ เป็นเพราะสาเหตุที่เกี่ยวเนื่องสอดคล้องกันสามอย่างพอดี คือ
หนึ่ง เรื่องการศึกษา คือแก้รธน.ให้อิงธรรมเนียมประเพณีโบราณมากขึ้น สองเรื่องความเสื่อมในเรื่องจริยธรรม คุณธรรมในสังคม และ สาม คนญี่ปุ่นเริ่มรู้สึก lost แล้วล่ะฉันว่า ค้นหาจิตวิญญาณตัวเองไม่เจอ

แต่ บูชิโด สมัยที่เป็นการใช้ชีวิตของซามูไรจริง ๆ ที่มีการพูดถึงเรื่องการเจริญสตินี่สิ กลับไม่ค่อยมีใครไปศึกษา เรื่องนี้ฉันจะเก็บไว้เขียนในวิทยานิพนธ์ของฉันดีกว่า เดี๋ยวจะยาวไปกันใหญ่ ที่แน่ ฉันคิดว่าคนเรามักกลัวและต่อต้านสิ่งที่เราไม่รู้นะ ฉันว่าของฉันอย่างนั้น

ถ้าคนที่ต่อต้านได้มีโอกาสมาเห็นเซนเซของฉันสอนวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมโบราณของซามูไร ให้กับนักเรียนอนุบาลและประถมตัวน้อย ๆ ในคลาสศิลปป้องกันตัว
spochan นี้แล้ว ฉันเชื่อว่า คงไม่มีใครคิดจะต่อต้านบูชิโดหรอก เพราะถ้าไปอ่านเล่มนั้นแล้วมันไม่เติมเต็ม หรือรู้สึกว่ามันสามารถถูกนำไปเป็นเครื่องมือปั่นหัวทางการเมืองได้อีก ก็อภิปรายกันอีกไม่จบสิ้น

เพราะไหนจะสอนให้เด็กรู้จักดูแลตัวเองด้วยการใส่เสื้อผ้าเครื่องแบบเองแบบซามูไรให้ถูกต้อง สอนการนั่งสมาธิ สอนการนั่งให้ตัวตรง ด้วยการใช้ดาบผ้าอัดลมดัดหลัง แล้วให้เด็กท่องอาขยานสอนเด็กสมัยที่ซามูไรใช้สอนเด็ก ซึ่งน่ารักมาก เป็นภาษาโบราณ ตอนที่ฉันได้ไปเที่ยวปราสาทเจ้าแคว้นเมืองไอสุ ฉันก็ได้ยินเสียงเด็กท่องบทนี้จ๋อยๆ เป็นแบ๊คกราวนด์ ตอนเดินผ่านห้องที่จำลองเป็นรร.ซามูไรน้อยในพิพิธภัณฑ์ของปราสาท

เด็ก ๆ ที่มาเรียนกับเซนเซฉันก็ได้ความรู้ด้านวรรณคดีและวรรณกรรม และประวัติศาสตร์ไปด้วยตอนท้ายชม.
สอนอะไรดี ๆ เสียครบเครื่องอย่างนี้ โดยเด็กๆ ไม่เบื่อเลยนี่ แถมเป็นเด็กที่รู้เรียน รู้เล่น สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน มีวินัย เผื่อแผ่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา กับเพื่อนฝูงนี่ ฉันว่าใคร ๆ ก็ชอบนะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่สังคมญี่ปุ่นกำลังย่ำแย่เรื่องความเสื่อมของคุณธรรมจริยธรรมนี่น่ะ จากผลการสำรวจน่ะนะ ความจริงมีผลสำรวจออกมาอีกอยู่เรื่อย ๆ อันล่าสุดไม่กี่เดือนนี้เองบังเอิญฉันเซฟอยู่อีกที่ แต่ทุกผลสำรวจล้วนพูดเป็นเสียงเดียว คือความเสื่อมของคุณธรรมจริยธรรมในสังคมญี่ปุ่น

ท่านล่ะ คิดเช่นไร สังคมไทยล่ะ?

ระหว่างพักครึ่งเวลา ก็เชิญดูรูปเล่นไปพลางๆ ก่อน

meditation

ภาพการนั่งสมาธิหลังการฝึกดาบซามูไรspochan ในหมู่เด็กอนุบาลและประถมญี่ปุ่นตัวจิ๋ว

recital

ภาพการท่องอาขยานของเด็กน้อยซามูไรโบราณก่อนการนั่งสมาธิ ดูท่านั่งเซนเซฉันเสียก่อน เท่และสุดยอดเป็นซามูไรเสียไม่มี

relax

ช่วงพักผ่อนหลังกิจกรรม ก่อนกลับบ้าน เซนเซเล่นบทอาจารย์ผู้มีเมตตาถามลูกศิษย์แต่ละคนว่าวันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ บ้าง เป็นการฝึกสติเด็ก และให้เด็กกล้าพูด แล้วเซนเซก็สรุปทั้งทักษะการต่อสู้ และการใช้ชีวิต และการนำไปใช้ แน่นอน มีปรัชญาเซนแทรกอยู่เสมอ

swordstraighten

ภาพนี้ไหวไปหน่อย ฉันตื่นเต้นเลยรีบงัดกล้องออกมาจากใต้พุง เพราะเซนเซลุกขึ้นมาเอาดาบอัดลมดัดหลังให้เด็ก ๆ นั่งตัวตรงพร้อมจะนั่งสมาธิให้ถูกต้อง


แถมภาพเซนเซสอนเด็ก ๆ ญี่ปุ่นในคลาสใส่ชุดให้ถูกต้องด้วยสติช้า ๆ ซึ่งแม่ ๆ ที่มาดูชอบมาก เพราะทำให้เด็กมีวินัย ไม่โยเย



เจ้าหนูน้อยตาโต เด็กน้อยที่มีน้ำใจ เขาเรียนมาก่อนคนอื่น จะคอยช่วยเหลือดูแลคนอื่นเสมอ และคอยดูแลฉันด้วย เวลาออกไปกดน้ำที่ตู้กิน ก็จะหยิบกรวยกระดาษให้ ใครที่ได้เรียนศิลปป้องกันตัวญี่ปุ่นกับอาจารย์ดี ๆ จะรู้ว่า เป็นการฝึกจิตใจมากกว่าฝึกร่างกาย และยิ่งเรียนแต่เล็ก ก็จะยิ่งดี


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ว่าไม่ได้นะว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับญี่ปุ่นต่อไป เพราะเหตุปัจจัยต่าง ๆ มันคงจะลึกล้ำกว่าที่เราจะไปคาดเดาได้ กรรมของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก แค่กรรมของคนคนเดียวก็อธิบายยากมากแล้วฉันคงไม่คิดจะไปพยายามอธิบายปรากฏการณ์ของกรรมผูกพันของคนเป็นล้าน ๆ ที่สร้างกันมาในสังคมเป็นแน่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อข่าวใหญ่ ๆ อย่างการแก้รธน. และการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้บดบังข่าวเล็กๆ สองสามบรรทัดที่ว่า สภาไดเอทได้อนุมัติร่างกม.ให้รื้อฟื้นสถานะของกระทรวงกลาโหมกลับมาเหมือนเดิมแล้ว โดยมีพิธีเปิดกระทรวงใหม่อีกครั้งเมื่อไม่กี่วันนี้เอง คือวันที่ ๙ มค.

โดยที่น่าจะหนาวเล็กน้อยก็คือ เขาเชิญผู้ที่เคยเป็นอดีตรมต.และผู้นำระดับบิ๊ก ๆ ทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่กลับมาร่วมตัดริบบิ้นงานเปิดใหม่ด้วยนี่น่ะสิ หุ หุ แต่ฉันคิดว่าเขาทำไปขู่เกาหลีเหนือเฉย ๆ กระมัง เพราะทางนั้นเอะอะอะไรก็ซ้อมยิงนิวเคลียร์มาทางทิศญี่ปุ่นอยู่เรื่อย ทางนี้เขาก็เลยใช้กุศโลบายเปิดกระทรวงกลาโหมใหม่เสียเลยรู้แล้วรู้รอด

ติดตามข่าวแล้วก็ต้องสอนใจตัวเองต่อไปว่า โลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยหรือเปล่าก็ช่างมันเถิด อย่าให้ประวัติศาสตร์ส่วนตัวเรามันซ้ำรอยเลย คือ อย่ากลับมาทุกข์แล้ว ทุกข์อีกด้วยเรื่องเดิมๆ หรือถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ก็อย่าได้แพ้กิเลสกลับมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยกิเลสตัวเดิมๆ อีกเลย ฉันคิดว่าอย่างนั้นน่ะนะ

แล้วท่านล่ะ ในฐานะนักการศึกษา ชาวเอเชีย ผู้รักศิลปวัฒนธรรม หรือ เพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที