editor

ผู้เขียน : editor

อัพเดท: 20 ส.ค. 2009 09.29 น. บทความนี้มีผู้ชม: 94024 ครั้ง

บทความสมชัยให้คุณ


ผู้นำ หรือ ผู้จัดการ

ผู้นำ หรือ ผู้จัดการ

ปีที่ 2 ฉบับที่ 4
30 มกราคม 2552

I have a dream that one day this nation will rise up and live out the true meaning of its creed: “We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal.” ข้าพเจ้ามีความฝันว่าวันหนึ่งประเทศนี้จะลุกขึ้นและอยู่อย่างมีความหมายที่แท้จริงของหลักความเชื่อที่ว่า: เรายึดถือสัจจะนี้ที่ประจักษ์ด้วยตนเองว่า มนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาอย่างเท่าเทียมกัน นี่คืออมตะวาจาของสาธุคุณ Martin Luther King Jr. ที่กล่าวต่อหน้าฝูงชนผิวสีจำนวนมากที่เดินทางไปชุมนุมกันหน้าอนุสรณ์ Lincoln Memorial หรือที่เรียกการเดินนี้ว่า March on Washington เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 1963 เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันในการไม่แบ่งสีผิว (Racial segregation) ในโรงเรียน สถานที่ทำงาน พื้นที่สาธารณะ และการไม่ดูถูกดูหมิ่นสีผิว (Racial Discrimination)ในสหรัฐอเมริกา Martin Luther King Jr. ถูกลอบสังหารสิ้นใจตายเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1968 ที่เมือง Memphis รัฐ Tennessee เป็นเวลาเกือบ 40 ปีต่อมา ถึงมีคนอเมริกันผิวสีชื่อ Barack Obama ทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้ เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา

"Ask not what your country can do for you; ask what you can do for your country." อย่าถามว่าประเทศสามารถทำอะไรให้ท่านได้บ้าง ให้ถามว่าท่านสามารถทำอะไรให้ประเทศได้บ้าง คืออมตะวาจาของ John F. Kennedy วัย 43 ปี ประธานาธิบดี คนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวต่อฝูงชนชาวอเมริกันในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 20 มกราคม 1961เพื่อปลุกจิตสำนึกคนในชาติให้คิดใหม่ คิดที่จะเสียสละทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติแทนการเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐบาล ประธานาธิบดี John Fitzgerald Kennedy ถูกลอบสังหารถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ที่เมือง Dallas รัฐ Texas

บุคคลทั้งสองท่านต่างเป็นผู้นำที่คนอเมริกันและคนทั้งโลกยกย่อง Martin Luther King Jr. เป็นนักบวชศาสนาคริสต์ผิวสีที่ลุกขึ้นนำการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องผิวสีของเขา ที่สังคมอเมริกันในยุคนั้นยังมีการแบ่งแยกและเหยียดหยามคนผิวสี ในฐานะที่เป็นนักบวชที่เชื่อในหลักความเชื่อศาสนาคริสต์ที่สอนว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์และมีความรักมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่แบ่งแยกสีผิว ท่านจึงร้อนรนต้องการเห็นมนุษย์ทุกชีวิตทุกผิวสีมีสิทธิเท่าเทียมกันและมีความเป็นอยู่ในสังคมอย่างเสมอภาค ชีวิตของท่านถูกปลิดด้วยกระสุนปืนแต่อุดมการณ์ที่ท่านต่อสู้ ก็เกิดผลในสังคมอเมริกันในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป

John F. Kennedy เป็นประธานาธิบดีที่นำความคิดใหม่ให้คนอเมริกันคิดถึงและเสียสละให้สังคม ทำให้หนุ่มสาวจำนวนมากทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกเกิดแรงบันดาลใจเสียสละทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมในการต่อสู้กับความยากจนและโรคร้ายที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคในยุคสมัยนั้น ด้วยความตั้งใจให้มนุษย์มีความเอื้ออาทรกันมากขึ้นแล้วสังคมจะมีความสุขสงบ ชีวิตของท่านถูกปลิดด้วยกระสุนปืนแต่อุดมการณ์ของท่านได้สืบทอดมายังคนรุ่นต่อมาไม่เฉพาะที่สหรัฐอเมริกาแต่กระจายไปทั่วโลก

ในโลกนี้ มีนักบวชในศาสนาจำนวนมากมาย ที่มีตำแหน่งศาสนศักดิ์อันสูงส่ง มีอำนาจและเงินมหาศาล และดำรงอยู่ในตำแหน่งนานปี จนบางท่านมรณภาพไปพร้อมกับตำแหน่ง แต่มีนักบวชกี่ท่านที่สามารถเป็นผู้นำที่มีผู้คนศรัทธาจำนวนมากและคำสั่งสอนของท่านมีอิทธิพลในชีวิตของสาวกผู้ติดตามไปตลอดชีวิตแม้ว่าชีวิตของผู้นำจะดับสูญไปแล้ว คนยังเคารพกราบไหว้คิดถึงความดีงามที่ท่านได้กระทำเป็นแบบอย่าง เช่นเดียวกันในโลกนี้มีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีมากมายที่มีตำแหน่ง อำนาจและ เงิน และดำรงตำแหน่งอยู่ในอำนาจเป็นเวลาหลายปี บางท่านตายไปพร้อมกับตำแหน่ง แต่จะมีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีกี่คนที่สามารถเป็นผู้นำของประชาชนจำนวนมากที่ตนปกครอง สามารถทำให้ประชาชนศรัทธาในคำพูดและการกระทำของตนไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งแล้วแต่ประชาชนยังให้ความเคารพนับถือ น่าเสียดายที่ผู้มีอำนาจวาสนาเหล่านี้หลายคนถูกประชาชนที่ตนปกครองสาปแช่งหลังจากหมดอำนาจ และบางคนต้องใช้ชีวิตชดใช้ความผิดที่กระทำอยู่ในคุก

John C. Maxwell เขียนใน Five Myths about Leadership ว่า คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจผิด (Misconception) และมีความเชื่อตามกัน (Myth) เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ (Leadership) ที่คาดเคลื่อนอยู่หลายประการ ที่พบเห็นมากที่สุดมีอยู่ 5 ประการคือ

  1. The Management Myth เป็นความเชื่อตามในเรื่องการจัดการว่า การนำและการจัดการเหมือนกันและเป็นเรื่องเดียวกัน (Leading and managing are one and the same) เพราะดูเผินๆแล้วจะเห็นว่าเรื่องการจัดการก็ต้องใช้การนำ และการนำก็ต้องใช้การจัดการเช่นเดียวกัน ภาพที่เห็นอาจจะใกล้กันมากจนดูเหมือนเป็นภาพเดียวกัน แต่จริงๆแล้วมันมีส่วนแตกต่างกัน เพราะการเป็นผู้นำ เป็นเรื่องของการโน้มน้าวหรือมีอิทธิพลเหนือความคิดของผู้ติดตาม (Leadership is about influencing people to follow) ทำให้คนยอมรับความคิดและทำตาม ส่วนการจัดการมุ่งเน้นที่การรักษาระบบและกระบวนการ (Management focuses on maintaining systems and processes) ให้ทำงานตามที่ได้กำหนดไว้ ให้สำเร็จตามระบบหรือกระบวนการ ผู้นำมุ่งทำเรื่องใหญ่และยาก คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงความคิด ทำอย่างไรให้คนเปลี่ยนความคิด จิตใจ เปลี่ยนวิถีทาง หันมาทำตามสิ่งที่ผู้นำ ชี้นำให้ทำ ส่วนผู้จัดการ มุ่งทำให้คนทำตามระบบและกระบวนการ ตามขั้นตอนให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ ตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้
  2. The Entrepreneur Myth เป็นความเชื่อในเรื่องความสามารถของการเป็นผู้ประกอบการ โดยเข้าใจกันว่า ผู้ประกอบการทุกคนคือผู้นำ (All entrepreneurs are leaders) ซึ่งไม่ใช่ความจริงเสมอไป ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะเป็นผู้มีทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งและแสวงหาโอกาสที่จะเอาประโยชน์จากการใช้ทักษะของตน (Entrepreneurs are skilled at seeing opportunities and going after them) ความสำเร็จของผู้ประกอบการในการจัดการใช้ทักษะให้ได้รับความสำเร็จในการผลิต การตลาด ทำให้ได้ผลกำไร ไม่ใช่ความเป็นผู้นำ และนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนและเป็นจุดดับของผู้ประกอบการจำนวนมากที่เข้าใจเอาเองว่าตนเป็นผู้นำ ทำให้ผลสุดท้ายนำความล้มเหลวมาสู่บริษัท
  3. The Knowledge Myth เป็นความเชื่อเกี่ยวกับความรู้ว่า ผู้มีความรู้คือผู้นำ เพราะหลายท่านมักเข้าใจอย่างที่ Sir Francis Bacon กล่าวไว้ “Knowledge is power” ความรู้คืออำนาจ แต่ในความจริงผู้มีความรู้และความฉลาดไม่ได้เป็นผู้นำทุกคน และนี่อาจจะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการพัฒนาการศึกษาของไทยก็ได้ เพราะบรรดาอาจารย์ทั้งหลายในสถาบันการศึกษามักจะสถาปนาตนเองเป็นผู้นำสังคมไปเลย เพราะเข้าใจว่าตนมีความรู้และมีความฉลาดเหนือคนอื่นที่เรียนน้อยกว่าตน ที่จริงจำนวนปีที่เรียนในมหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันการเป็นผู้นำ ความรู้ที่เรียนมามากกว่าคนอื่นอาจทำให้อาจารย์มีความสามารถในการคิดมากกว่า แต่ความสามารถในการนำที่ทำให้คนเชื่อและทำตามไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการถ่ายทอดความคิด และการทำให้คนเกิดความศรัทธาและยอมเปลี่ยนแปลง อาจารย์ส่วนใหญ่ทำการสอนได้แต่ไม่ทุกคนทำการนำได้
  4. The Pioneer Myth เป็นความเชื่อตามว่า ผู้บุกเบิกคือผู้นำ อย่างที่เราได้เห็นบางท่านอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าทฤษฏี ใครจะมาใช้วิธีตามแนวคิดตนไม่ได้ เป็นการลอกเลียน การที่มีคนเอาแบบอย่างไปทำเพื่อผลสำเร็จของตนนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาเปลี่ยนความคิดติดตามยกย่องเสมอไป เขาเพียงต้องการแค่เอาไปใช้ประโยชน์เท่านั้น การคิดเอาเองว่า เป็นผู้บุกเบิกต้องเป็นผู้นำอาจเป็นอันตราย ทำให้หลงเข้าใจผิดคิดว่าคนเชื่อ ศรัทธาและติดตามตน
  5. The Position Myth เป็นความเชื่อว่า ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งคือผู้นำ ซึ่งไม่ใช่ความจริงเสมอไป เพราะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งอาจได้ตำแหน่งมาจาก การสืบทอดตระกูล กลไกทางการเมือง ผลประโยชน์หรือ ความอาวุโส ไม่ใช่จากความสามารถในการเป็นผู้นำ เหมือนอย่างที่ Stanley Huffty กล่าวว่า “It’s not the position that makes the leader; it’s the leader that makes the position” ไม่ใช่ตำแหน่งที่สร้างผู้นำ แต่เป็นผู้นำที่สร้างตำแหน่ง ดังนั้นจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งจะเป็นผู้นำเสมอไป เพราะเขาอาจเป็นเพียงแค่ผู้จัดการเท่านั้น

บทความแสดงทรรศนะอิสระของผู้เขียน ใช้แหล่งข้อมูลสาธารณะ ไม่มีเจตนาชักชวนให้ผู้อ่านเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หรือส่งบทความต่อ หากมีความประสงค์จะเลิกรับบทความ กรุณาแจ้งให้ทราบ ขอบคุณที่อ่านและเผยแพร่ต่อ ด้วยความปรารถนาดี... สมชัย ศิริสุจินต์ sirisujin@yahoo.com


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที