พุทธชาด

ผู้เขียน : พุทธชาด

อัพเดท: 12 ก.ค. 2009 10.59 น. บทความนี้มีผู้ชม: 13024 ครั้ง

เที่ยวไทยช่วยชาติแบบพอเพียง


เที่ยวระหว่างทางไปเยี่ยมญาติ

ออกเดินทางจากขอนแก่นเวลา 5 ทุ่มตรง นั่งรถ บ.ชาญทัวร์ ราคา 375 บาท ขอบอกว่ารถเขาดีจริงๆ มีจอโทรทัศน์ส่วนตัว ปรับเอนได้ ไม่รบกวนคนอื่น เพราะมีคอกใครคอกเรา รถบางเที่ยวธรรมดาเหมือนทั่วๆไป แต่รถรอบ 5 ทุ่มนี่ ดีกว่า บ. อื่นๆ ที่เคยนั่งมา ของที่แจกก็พื้นๆ เค้กกล้วยหอม โอวัลตินร้อน น้ำเปล่า กาแฟซอง เพราะดึกแล้ว ไม่มีอาหารให้ อาจเป็นเพราะเบาะนั่งดี เลยหลับตั้งแต่ขึ้นรถจนรถจอดอีกครั้งเกือบถึงกรุงเทพ ตี 4 กว่าๆถึงหมอชิต เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ต่อรถไปสายใต้(ใหม้)ใหม่ เคยใช้บริการสายใต้ใหม่มาก่อนเมื่อ 8-9 ปีก่อน ตอนนี้สายใต้ใหม่ ย้ายไปอยู่ที่ใหม่แล้ว เลยต้องเรียกว่าสายใต้(ใหม้)ใหม่ จากหมอชิตขึ้นรถตู้คนละ 35 บาท ถึงสายใต้(ใหม้)ใหม่ ประมาณ 6 โมงกว่า ตีตั๋วรถ 7 โมงไปกาญจนบุรีราคา 77 บาท นั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง

รถจอดที่ บขส. กาญจนบุรีประมาณ 9 โมง เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า ล้างตา ล้างมืออีกครั้ง ไข้หวัด 2009 กำลังระบาด ต้องหมั่นล้างมือกันหน่อย ออกมาจากห้องน้ำ มีพี่สามล้อเข้ามาเสนอพาไปที่พักและส่งไปสถานีรถไฟ พี่ๆ เขาจะเอาคนละ 40 บาท ค่าไปส่ง แบบว่าเราอยากเที่ยวแบบประหยัดเลย หาวิธีอื่น นั่นคือ การนั่งรถสองแถวที่จะไปค่ายสุรสีห์สนนราคาอยู่ที่ 10 บาทต่อคน บอกพี่คนขับว่าจอดที่หน้าสถานีรถไฟ รถวิ่งออกจาก บขส. ไม่นานก็มาถึงหน้าสถานีแล้ว ดีใจสุดๆ ไม่ได้เสีย 40 บาท ลงจากสองแถวก็เข้าไปจองตั๋วรถไฟ รถไฟสายมรณะเป็นรถไฟนำเที่ยวโบกี้พิเศษ มีเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุด ไม่ได้มีทุกวัน เรามาวันอาทิตย์ก็เลยได้นั่งไปเที่ยวพอดี คนไทยคนละ 100 บาท ได้น้ำอัดลม ชา กาแฟ คุกกี้ และใบประกาศ ชาวต่างชาติคนละ 300 บาทได้กล่องๆ อะไรเพิ่มมาอีก 1 อย่าง สงสัยของที่ระลึก รถจะออกเวลา 10.30 น. มีเวลาอีกเหลือเฟือ เราเลยไปหาอะไรกิน และเดินเล่น ตรงข้ามสถานีรถไฟนี่เอง มีร้านอาหารพื้นเมือง อาหารป่าอยู่หลายร้าน เราเข้าไปลองมาร้านหนึ่ง ร้านของแม่ อาหารอร่อย ราคาไม่แพง แต่กาแฟและชา ไม่ค่อยเท่าไร แถมมีมดในชาเย็นของเราด้วย เจ้าของร้านใจดี จะทำให้ใหม่ แต่เราบอกว่า ไม่เอาแล้ว ดื่มไปเกือบแก้วแล้ว ถึงรู้ว่ามีมดในแก้ว กินข้าวเสร็จเดินไปอีกนิด มีพิพิธภัณฑ์ทางรถไฟ ไทย-พม่า ค่าเข้าก็ 100 บาท มีน้ำ ขนมกินฟรี ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ก็มีสุสานทหารสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มาที่นี่สองครั้งแล้ว มาทีไรก็เศร้า ไม่รู้เพราะอะไร อยากร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ยิ่งเวลาอ่านคำไว้อาลัยที่ครอบครัวเขียนถึงพวกทหารที่ตายแล้ว ยิ่งอยากร้องไห้ไปใหญ่เลย ทหารบางคนอายุแค่ 18 ปีเอง น่าเสียดาย ต้องมาตายเพราะสงคราม สงครามนี่มีแต่โทษ ไม่เคยให้คุณใคร ไม่เข้าใจประเทศที่ชอบผลิตอาวุธเหมือนกัน ว่าจะทำไปทำไม เกือบ 10 โมงแล้ว เรากลับไปรอรถไฟโบกี้พิเศษ หน้าสถานีมีโบกี้รถไฟเก่า อย่าลืมถ่ายรูป ทางเข้าอยู่ด้านหน้า ไม่ต้องอ้อมมาข้างหลัง เพราะไม่มีทางเข้าด้านหลัง เราคิดว่าน่าจะมีทางอ้อมไปข้างหลังเลยเดินเลยไป เข้าไม่ได้เฉย ขี้เกียจย้อนกลับไป เลยเข้าไปรอขึ้นรถที่ชานชลา วิวที่สวยๆ เขาว่ากันว่าจะอยู่ด้านซ้าย อย่าไปนั่งด้านขวาเด็ดขาด เพราะจะเสียโอกาสถ่ายรูปวิวสวยๆ ผู้โดยสารจะได้รับสติกเกอร์ติดหน้าอก ให้รู้ว่าเราคือนักท่องเที่ยว ไม่ใช่ประชาชนทั่วไป เราจะได้รับน้ำและขนม พร้อมใบประกาศ แต่ประชาชนทั่วไป จ่ายน้อยกว่า ไม่ได้รับบริการพิเศษ รถมาช้า มาถึงประมาณ 11 กว่าๆ รถไฟแล่นออกไปรับคนที่สถานีแม่น้ำแคว ข้ามสะพานแม่น้ำแคว มุ่งหน้าสู่สะพานสายมรณะ ก่อนถึงช่วงไฮไลท์ของสะพาน เราจะได้ชื่นชมกับธรรมชาติสองข้างทาง ฟ้าเป็นฟ้า ต้นไม้สีเขียวขจี แม่น้ำแควก็สวย ใส น่าดู ก่อนจะถึงช่วงที่สวยที่สุด เราจะเห็นถ้ำด้านขวามือ คือถ้ำกระแซ ชาวต่างชาติหลายคนลงไปถ่ายรูปที่สถานีนี้ เราเองไม่รู้ว่าลงแล้วจะต้องจ่ายเพิ่มไหม แล้วจะมีรถมาอีกไหม เลยไม่ได้ลงไปถ่ายรูปกับเขาบ้าง ผ่านถ้ำมาไม่นานก็จะเจอช่วงที่สวยที่สุด ด้านหน้าเป็นแม่น้ำแคว ด้านหลังเป็นผาหิน มีทางรถไฟคั่นกลาง คนสมัยก่อนเก่งมากที่ทำได้ถึงขนาดนี้ วันนี้เราได้ชื่นชมความงาม แต่เมื่อในอดีต หลายคนต้องแลกมาด้วยชีวิต หลายคนลงสถานีถัดจากทางรถไฟช่วงนี้ เพราะจะได้ไปพักที่แพริมน้ำ ราคาขั้นต้นคืนละ 1800 บาท เราไม่อยากลงกลางทาง อยากไปต่อ เห็นว่ามีน้ำตกไทรโยค(น้อย)อยู่ข้างหน้า นั่งรถต่อไปอีกหน่อย ก็ถึงสถานีน้ำตก หลังจากรถไฟจอด ทุกคนก็กรูกันไปนั่งรถสองแถว (10 บาท) เราเองไม่มีข้อมูลในช่วงนี้ เลยไม่ได้ตามเขาไป วิ่งหาห้องน้ำ ร้านอาหาร เพราะบ่าย 2 แล้ว หิวน่าดู  สั่งอาหารมากิน นั่งเล่นเพลินๆ คุยโน่นนี่ แล้วก็ถามคนที่ร้านอาหารว่ารถไฟกลับไปในเมืองหมดกี่โมง เขาบอกว่าหมดบ่าย 3 โมง 15 นาที ก็ขบวนที่คุณมานี่แหล่ะ อ้าว นี่ก็เกือบบ่าย 3 แล้ว ทำไงดี จะไปน้ำตกก็ไม่ทัน ถามเขาว่าที่นี่มีที่พักราคาไม่แพงไหม เขาว่ามีแต่ไม่น่าพัก ที่พออยู่ได้ก็ประมาณพันกว่าๆ เดี๋ยวเขาจะพาไปตะลอนหาดู ถ้าได้ที่นอน พรุ่งนี้เขาจะพาไปเที่ยววัดเสือ แต่ต้องเช่ารถ ค่าเช่ารถประมาณ 800 บาท เราเลยตัดใจ ถ่ายรูปสถานีไว้เป็นที่ระลึกแล้วก็กลับเข้าเมือง เพราะคิดว่า ถ้าเข้าไปในเมือง น่าจะมีรถนำเที่ยวของ บ. นำเที่ยว พามาเที่ยวที่วัดเสือ และราคาน่าจะถูกกว่า เพราะหารกันหลายคน กลับถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควก็เกือบค่ำแล้ว เดินหาที่พักอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่มีแผนที่ก็ลำบากอย่างนี้ คราวหน้าต้องเตรียมแผนที่ให้พร้อม ในที่สุดก็หาที่พักราคาไม่เกิน 1 พันบาทเจอ ที่พักนี้เคยลงในนิตยสารด้วย อยู่ติดแม่น้ำแควเลยชื่อ “อินจันทรี

รีสอร์ท” สไตล์ “ลอฟท์” แปลว่าดิบๆ มีแต่ปูนกับปูน ห้องก็สะอาดดี พออยู่ได้ เสียอย่างเดียวไม่มีตู้เย็น ราคาคืนละ 950 บาทรวมอาหารเช้า ก่อนนอนก็โทรไปจอง Package Tour กับ บ. KTC (Kanchanaburi Travel Center) เพื่อไปวัดเสือ มี brochure อยู่ที่ counter โรงแรม ราคาคนละ 120 บาท ถูกมาก พอหัวถึงหมอนก็หลับเลย

ตื่นเช้ากินข้าวที่โรงแรมจัดให้ ถ่ายรูปบริเวณโรงแรมฆ่าเวลาไปตามเรื่อง รถจากบ. นำเที่ยวจะมารับตอนบ่าย 2 โมง มีเวลาเหลืออื้อ เดินไปสะพาน เก็บรูปเพิ่ม เดินสำรวจรอบๆ ไปนั่งร้านกาแฟหัวมุมถนน ลงไปเดินดูร้านอาหารริมน้ำ เตรียมเสบียงแล้วกลับมา check out ออกจากโรงแรมตอนเที่ยง ฝากกระเป๋าไว้กับโรงแรม ดูเสือเสร็จแล้วจะกลับมาเอา ก่อนจะออกจากโรงแรมมีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย เจ้าของโรงแรมไม่ได้ลงทะเบียนว่าเราจ่ายเงินแล้ว ทำเอาเราหงุดหงิดนิดๆ แต่พอเขาโทรถามกันเรียบร้อย เขาบอกเราว่าเขาเข้าใจผิด เราก็เข้าใจ อย่างนี้แหล่ะ เจ้าของโรงแรม ไม่ใช่พนักงาน ไม่ค่อยทำตามขั้นตอน ลูกค้าจ่ายแล้ว ไม่ลงบัญชีว่าจ่ายแล้ว รับเงินไปเฉยๆ เพราะไม่ค่อยได้ทำอะไรตามขั้นตอน ไม่เหมือนลูกน้อง นี่ดีที่เราจำรายละเอียดได้ ว่าให้แล้ว ทอนมาเท่าไร ให้เงินที่ไหน พี่เจ้าของพูดประโยคว่าอะไรบ้าง ถึงฟื้นความจำพี่เขาได้ ฝนตกปรอยๆ ลดดีกรีความหงุดหงิดลงได้นิดหนึ่ง          

รถมารับตอนบ่าย 2 กว่าๆ ในรถมีแต่ชาวต่างชาติ มาถึงเราก็จ่ายเงิน กระโดดขึ้นรถเลย วัดเสืออยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณครึ่งชั่วโมง กำแพงอลังการงานสร้างมาก ทำจากอิฐล้วนๆ ที่ชาวบ้านแถบนี้ทำขึ้น ฝนเริ่มตกแรงขึ้น รถเข้าไปจอดหน้าประตูวัด พี่คนขับประกาศว่า This is the tiger temple. Entrance fee for Foreigner is 500 baht, คนไทย 100 บาท today, it is raining, I don’t know if you can pat the tigers. No Guarantee. ฝนตกน้อง ไม่รู้จะได้จับเสือหรือเปล่า ลองเข้าไปดูก็ได้นะ แต่ไม่รับประกัน พี่เล่นพูดแบบนี้ ชาวต่างชาติทั้งหมดในรถเลยพร้อมใจกัน รออยู่ในรถ ไม่ออกไปผจญฝนและเสือกับเราเลย พี่แกว่า น้องไปเลยนะ พี่จะรอที่นี่ 4 โมงเจอกัน น้องไกด์กับเราก็เลยเข้าไปในวัด ทิ้งให้ฝรั่งไม่ใจ นั่งรอในรถ เหมือนกับว่ามาหารค่ารถเพื่อให้เราเข้าไปดูเสือยังไงยังงั้นเลย เราต้องรักษาสิทธิของเรา มาถึงแล้ว ต้องไป พี่คนขับรถก็เตือนว่า ระวังกล้องนะเดี๋ยวจะเปียก ก่อนออกมาจากโรงแรม พี่เขาก็ย้ำนักย้ำหนาว่า ห้ามใส่เสื้อสีฉูดฉาด ห้ามใส่สายเดี่ยว ห้ามใส่กางเกง/กระโปรงสั้น เพื่อให้เกียรติสถานที่และความปลอดภัยของเราเอง เราเลยใส่แขนยาวสีกากีซะเลย น่าจะปลอดภัย

เข้าไปภายในวัด มีสารพัดสัตว์ในดู เหมือนสวนสัตว์เปิดเราดีๆ นี่เอง แต่ฝนมันตก ไม่มีเวลาถ่ายรูป และอยากจะดูเสือเลยวิ่งหน้าตั้งไปหุบเสือเพื่อถ่ายรูป พอไปถึง เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครก็อธิบายเรื่องความปลอดภัยต่างๆ อย่าเล่น อย่าส่งเสียงดัง อย่าทำให้เสือตกใจ ให้เข้าแถว เข้าไปลูบหลังเสือทีละคน เราก็รีบไปต่อแถว มีชาวต่างชาติบางคนเนียนลัดคิวเราหน้าตาเฉย ดีที่เรายังอยู่ใน mode สำรวม เพราะอยู่ในวัด เลยไม่ได้มีเรื่องกับคนที่ลัดคิว ปล่อยให้เขาลัดคิวไป 2-3 คน ถึงตาเราเข้าไปถ่ายรูปกับเสือ เจ้าหน้าที่ถามว่า ชอบเสือไหม เคยจับเสือไหม เราบอกว่าเคยจับลูกเสือ ตัวเล็กๆ ทายาให้มัน เจ้าหน้าที่บอกว่า วันนี้ถ้าจะจับต้องจับเน้นๆ อย่าจับๆ ปล่อยๆ ถ้าไม่จับก็ไม่ต้องจับเลย เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เพราะตื่นเต้น เลยจับเสือตัวแรกแบบกลัวๆ กล้าๆ เสือมันเอาหางตีมือเราเลย พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า มันคิดว่าแมลงบินมาเกาะ ถ้าจะลูบต้องลูบแรงๆ เต็มมือ เน้นน้ำหนักที่มือด้วย เราทำตาม พี่เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปให้ ออกมาดีทุกรูป ถ่ายรูปเสร็จพี่เขาก็เอากล้องให้เราคืน แล้วให้ไปยืนรวมกันกับคนอื่นๆ

ตอนสุดท้าย เจ้าหน้าที่ประกาศว่า เสือและพระอาจารย์จันทร์จะเดินทางกลับแล้ว ให้ทุกคนเดินตามหลังเสือ อย่าเดินนำหน้าเสือ เพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวมันจะตะปบเอา ทุกคนจะมีโอกาสจูงเชือกที่ล่ามเสือและถ่ายรูป แต่ให้เกาะกลุ่มกันไว้ อย่ามาอยู่หน้าเสือ ว่ายังไม่ทันจบ มีชาวต่างชาติ 2-3 คนวิ่งออกไปถ่ายรูป ถูกเจ้าหน้าที่ว่าเอา if you want to stay here the rest of your life.. go ahead.. do whatever you want. ชาวต่างชาติทำท่าหงุดหงิด จริงๆ ไม่ต้องทำท่าหงุดหงิดก็ได้ ถ้าแน่จริง ก็ทำตามใจตัวเองไปเลย อันนี้ไม่แน่เท่าไร ทำท่ากระฟัดกระเฟียดแล้วก็กลับมาเข้ากลุ่ม

หลังจากถ่ายรูปจูงเสือเสร็จก็ 4 โมงพอดี กลับไปที่รถด้วยความชื่นบาน ชื่นชมรูปถ่ายที่ถ่ายมา ได้ยินเสียงฝรั่งบ่นอยู่ข้างหลังรถว่า I felt like I paid for their van จริงๆ ด้วยเจ๊ ถ้าไม่มีเจ๊ หนูคงต้องจ่ายค่ารถประมาณ 1 พันบาท นี่ดีนะมีเจ๊มาหารด้วย หนูเลยได้จ่าย 120 บาทเอง เรื่องของเรื่องคือเจ๊ไม่ใจนี่นา มาถึงปากทางเข้าแล้ว ไม่เข้า ใครจะไปตัดสินใจให้ได้ สุดท้ายต้องมานั่งรอเกือบ 2 ชั่วโมงแล้วก็กลับเข้าเมืองเฉยๆ      รถต้องวิ่งไปส่งผู้โดยสารตามโรงแรมที่ไปรับมาทีละคน แต่ฝรั่ง (ขี้บ่น) บอกพี่คนขับว่า I want to go to downtown พี่คนขับบอกว่า o.k. o.k. แล้วมุ่งหน้ามาทางโรงแรมของเรา ฝรั่งบ่นอีกว่า I said I want to go to downtown. Why you have to come this way. พี่คนขับบอกว่า I know. ฝรั่งบ่นต่อ but why you come this way. เกือบจะตอบไปแล้วว่า because my hotel is on this way. แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องเลยสงบปากสงบคำ

รถแล่นมาถึงโรงแรม เราถามพี่คนขับว่า ติดรถไป บขส. ด้วยได้ไหม พี่เขาว่าได้ แต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 20 บาท ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราเลยวิ่งลงไปเอากระเป๋าแล้วกระโดดขึ้นรถพี่ทันที ฝรั่งเห็นว่าทำได้ ก็เลยทำมั่ง ให้ไปส่งที่โรงแรมแล้วก็ขึ้นไปเอากระเป๋า กลับมานั่งรถเพื่อไป บขส. กลับกรุงเทพเหมือนกัน ฝรั่งสองคนที่จะไปในเมืองเริ่มหงุดหงิด เพราะรอนานไม่ถึงตัวเมืองสักที พอไปถึงตัวเมือง พี่คนขับขอคนละ 20 บาท ฝรั่งไม่พอใจ บอกว่า you did not tell us.. you will charge extra. คนขับไม่สนใจ ยื่นมือไปรอรับเงิน ฝรั่งต้องจ่าย เราว่าสมเหตุสมผลดีออก ตามเอกสารของบ.บอกว่ารับที่โรงแรม ส่งที่โรงแรม ไม่ได้บอกว่ารับที่โรงแรม ส่งที่อื่นสักหน่อย ถ้านั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือสามล้อก็ 40 บาทแล้ว ซื้อตั๋วกลับกรุงเทพเที่ยว 6 โมงเย็น มีเวลาเดินสำรวจรอบๆ บขส. กินข้าวเย็น ร้านอาหารหน้า บขส. ตอนเย็นก็ใช้ได้ ก๋วยจั๊บอร่อยเลยทีเดียว กินเสร็จ เข้าห้องน้ำ ห้องท่า รถมาก็ขึ้นรถ ถึงแถวปิ่นเกล้าประมาณ 3 ทุ่มเพราะฝนตก รถก็เลยติด

ต่อรถแท็กซี่ไปเยาวราช พี่คนขับทำเสียว แกบอกว่าเยาวราชไม่เห็นมีไร ที่พักก็แพง อาหารก็ไม่ค่อยมี ทำไมไม่ไปข้าวสาร พี่เคยไปเยาวราชตอนกลางคืน มันเงียบๆนะ เราไม่เชื่อพี่เค้า เพราะเห็นรายการท่องเที่ยวพาไปกินอาหารตอนกลางคืนออกบ่อย ทั้งรายการพี่วรุฒ ทั้งรายการพี่ตี๋อ้วน พอเลี้ยวรถเข้าเยาวราชเท่านั้นแหล่ะ พี่แกถึงกับร้อง โห มีของเยอะเหมือนกันเนาะ ไม่ต้องมาเนาะเลยพี่ นี่ถ้าหนูเชื่อพี่ หนูก็ไม่ได้มาแล้วซิ เราเคยมาเยาวราชแต่ตอนกลางวัน ไม่เคยมาตอนกลางคืน ไฟแสงสีเหมือนที่ฮ่องกงยังไงยังงั้นเลย ร้านรวงก็จัดเหมือนๆ กัน ลงจากรถจ่ายพี่เค้าไป 90 บาท เดินหาที่พักตามระเบียบ ห้องพักที่นี่แพงเหมือนกัน ห้องถูกสุด 570 บาท แพงสุดก็หลายพัน เราอยากพักที่ถูกสุด แต่ห้องเต็ม เลยได้มาพักที่ห้องราคา 890 บาทที่โรงแรมไชน่าทาวน์ไม่รวมอาหารเช้า ห้องเก่า พออยู่ได้ ถ้ามีเงินมากกว่านี้หน่อยอยากไปอยู่โรงแรมฝั่งตรงข้าม ไชน่าอินท์ พี่พนักงานต้อนรับนิสัยดีมาก แนะนำเราทุกอย่าง ที่ไหนมีอะไร โรงแรมไหนถูกโรงแรมไหนแพง ค่าห้องที่นี่ราคา 1990 บาท เห็นมีแต่ฝรั่งเดินเข้าๆออกๆ หลังจากเรา check in วางกระเป๋าแล้วก็ออกไปกินข้าว มื้อนี้หรูหน่อยเพราะมาถึงเยาวราช ปู กุ้ง หูฉลาม เอามาเรียงรายอยู่ตรงหน้า ที่นอนเราไม่เน้น เราเน้นเรื่องอาหารการกิน กินของคาวเสร็จก็ตามด้วยของหวาน ที่นี่มีให้เลือกหลากหลาย บัวลอยน้ำขิง และแปะก๊วยเด็ดอย่าบอกใคร บัวลอยเหมือนจะละลายในปากเลยทีเดียว กินเสร็จก็กลับเข้าโรงแรม กินยาแก้ไข้เพราะตากฝนมาทั้งวัน นอนเอาแรงเพื่อไปตะลุยเยาวราชตอนกลางวันต่อไป

เยาวราชตอนเช้ากับตอนกลางคืนต่างกันมาก ตอนเช้าไม่มีอะไรกินเลย เราเลยเดินสำรวจถนนถัดไป ถนนสายนี้มีวัดชื่อดัง วัดมังกรกมาลาวาส เล้งเน่ยยี่ ใครๆก็พากันมาขอพรที่นี่กันทั้งนั้น กินข้าวเช้าเสร็จเราเลยแวะไหว้พระสักหน่อย คนเยอะจริงๆ มาจากหลายจังหวัด สังเกตได้จากป้ายทะเบียนรถ เราทำบุญ ไหว้พระ ขอพร แล้วก็เดินตัดกลับมาที่เยาวราช check out นั่งรถเมล์เที่ยวกรุงเทพ นั่งไปสายใต้ (ใหม้) ใหม่ แล้วก็นั่งกลับไปหมอชิต

ถึงหมอชิตจองตั๋วรถไปสวรรคโลก มีรถตอน 5 ทุ่ม ฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่ข้าง 7-11 ใบละ 30 บาท ขึ้นรถเมล์ไปกินข้าวเย็นและเที่ยวสยาม กินชาบู ชาบูหัวละ 299 บาท เดินเที่ยวทุกห้างในละแวก 3 ทุ่มนั่งรถไฟฟ้าไปสถานีหมอชิต หารถเมล์กลับจากรถไฟฟ้าหมอชิตไปหมอชิตยากมาก รออยู่นานกว่าจะได้ขึ้น รถฟรีจากภาษีประชาชน 4 ทุ่มเราถึงหมอชิต นั่งรอรถไปอีก 1 ชั่วโมง

รถออกจากกรุงเทพ 5 ทุ่ม ระหว่างทางมีคนไม่เกรงใจชาวบ้าน คุยโทรศัพท์เสียงใส ตั้งแต่ 5 ทุ่มถึงตี 1 ยังคุยไม่ยอมหยุด คนคุยเรียกตัวเองว่าน้องอ้อ เรานั่งฟังตลอดทาง ตัดพ้อต่อว่าปลายสายอย่างไม่เกรงใจใคร ไม่มีมารยาททางสังคมอย่างแรง พอรถจอดพักกลางทาง เราก็แอบไปดูหน้าคุณน้องอ้อ เห็นเป็นพี่สาวอายุประมาณ 40 ปีคนหนึ่ง เสียงกับใบหน้า ไม่เข้ากันเลย เสียงเด็กมากๆ จนเราคิดว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ไม่มีมารยาทเลย คุยเสียงดังกังวาน ทุกคนได้ยินกันหมด พอเห็นหน้าแล้ว สลดใจ เป็นผู้ใหญ่แต่ไม่มีมารยาท เอาเหอะ อาจจะมีปัญหาใหญ่ในชีวิตที่ถ้าไม่คุยวันนี้อาจจะถึงชีวิตได้กระมัง พอพักกินก๋วยเตี๋ยว เข้าห้องน้ำกลับมา พี่แกก็หยุดคุยแล้ว ขอบคุณสวรรค์ เราถึงได้นอนพักผ่อนได้

6 โมงครึ่งถึงอำเภอสวรรคโลก ร้านส่วนใหญ่ยังไม่เปิด เราอาศัยปั๊มน้ำมันเป็นที่ล้างหน้า ล้างตา แปรงฟัน เรียกความสดชื่นกลับมา เดินไปดูรถที่จะไปอำเภอศรีนคร ยังไม่มา ได้ยินว่าจะมาประมาณ 10 โมง เราเลยเดินสำรวจแถวๆตลาด แล้วหาข้าวกิน ไม่น่าเชื่อ อาหารที่นี่ถูกแสนถูก กาแฟเย็นแก้วละ 10 บาท ขนมก้อนละ 5 บาท ข้าวและก๋วยเตี๋ยว 10 บาทยังมีให้เห็น  9 โมงแล้ว ไม่มีอะไรทำ เห็นร้านท็อปเจริญเปิดเลยเอาแว่นตาไปล้าง บัตรสมาชิกที่ขอนแก่นใช้ได้ทั่วประเทศ ที่นี่เขาบริการดีจริงๆ ไม่เชียร์ให้เราซื้อใหม่ด้วย ล้างแว่นและเปลี่ยนตรงที่กดจมูกให้ฟรี ถึงเวลารถออก มีผู้โดยสารแค่ 4 คน นอกนั้นเป็นของที่ร้านต่างๆ ฝากให้ลุงคนขับซื้อแล้วไปส่งให้ ถึงอำเภอศรีนครประมาณ 11 โมง เหนื่อย นอนพักที่บ้านของคุณแม่คุณตอย

บ้านของคุณแม่เป็นร้านขายของชำ 1 คูหา สะอาดมากๆ ไม่มีฝุ่นเลย ก่อนไปถึง เรากะว่าจะไปช่วยจัดของ ทำความสะอาดบ้าน ล้างห้องน้ำ ทำตัวให้เป็นประโยชน์สักหน่อย แต่นี่คุณแม่ทำไว้สะอาดเอี่ยมแล้ว เราเลยไม่มีอะไรทำ ช่วยหยิบจับเล็กๆ น้อยๆ มาถึงบ้านคุณแม่ประทับในความสู้ชีวิตของคุณแม่มาก หลังจากคุณพ่อเสียไป คุณแม่ก็เลี้ยงลูกคนเดียว ไม่มีใครช่วยเลี้ยง คุณแม่รักลูกชายคนเดียวคนนี้มาก ดูได้จากรูปที่แม่ติดไว้เต็มบ้าน มีรูปตั้งแต่เด็กจนถึงปริญญาโท คุณตอยคือความภูมิใจของแม่

ศรีนครเป็นอำเภอเล็ก คุณตอยมีญาติทางพ่ออยู่ที่นี่ 2-3 คน คนสำคัญที่เราต้องมาเยี่ยมคราวนี้คือ คุณย่าของคุณตอย คุณย่าท่านอายุมากแล้ว ประมาณ 90 กว่าๆ ช่วงนี้เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อยๆ เราเองเป็นหลานสะใภ้ ยังไม่มีโอกาสได้มากราบท่านเลยสักครั้ง คุณอาที่อยู่กับคุณย่าก็พยายามให้เรามาเยี่ยมท่านให้ได้ ก่อนที่จะสายเกินไป ตอนแรกคิดว่ากำลังถูกกดดัน แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ว่าจำเป็นต้องมาจริงๆ คุณย่าให้สร้อยทองรับขวัญเราด้วย คุณย่าหลงๆลืมๆ หลับๆ ตื่นๆ แต่ก็ยังมีกะใจให้ของคู่แต่งงานใหม่ ซึ้งใจจริงๆ เราได้มีโอกาสดูแลไม่นาน และคุยกับท่านไม่รู้เรื่อง เพราะท่านพูดแต่ภาษาจีน แต่ก็สุขใจที่ได้มาเยี่ยมท่าน  คุณอาของคุณตอยเป็นคนขำๆ พูดจาตรงไปตรงมา คุณอาบอกว่า ถ้าไม่มาครั้งนี้ ไม่เจอแล้ว ขอบคุณคุณอาด้วยที่เร่งให้เรามา  ก่อนลากลับบ้านคุณอายังซื้ออาหารเย็นให้เราสองคนอีก บอกว่าคุณแม่ไม่ทานข้าวเย็น อาเลยหาของให้  อยู่เมืองเล็กๆ ก็ดีอย่างนี้ ทุกคนรู้จักกันหมด กลับบ้าน เก็บของช่วยคุณแม่ อาบน้ำ คุยกัน ก่อนนอนเราเช็ค email ทางมือถือ เห็นว่าที่ทำงานมีปัญหา เลยตัดสินใจกลับวันถัดมา

ตอนเช้าตื่นประมาณ 6 โมงครึ่ง คุณอาเอาอาหารมาส่ง รถจะออกจากศรีนครไปสุโขทัยตอน 8.30 น. ไม่มีเวลาไปลาใครเลย กินข้าวเช้าเสร็จ ลาคุณแม่แล้วมาซื้อตั๋วรถราคา 70 บาทนั่งรถมาถึงสุโขทัยตอนเกือบ 11 โมง มีรถไปขอนแก่นตอนบ่าย 2 โมง เราเลยมีเวลาเหลือ 3 ชั่วโมง ไปไหนดี นั่งรถจาก บขส. ไปเมืองเก่าสุโขทัย 20 บาท เช่ารถจักรยานปั่นเที่ยว 100 บาท ถ่ายรูป ได้ไปวัดศรีชุมที่มีพระพุทธรูปสวยสุดๆ พักกินก๋วยเตี๋ยว แวะถ่ายรูปที่เจดีย์สรศักดิ์ที่มีช้างล้อมรอบเจดีย์แล้วกลับมานั่งรถสองแถวเพื่อกลับ บขส. รอรถมาตอนบ่ายสอง ค่ารถคนละ 275 บาท รถมาสาย มาเกือบบ่ายสาม นั่งรถกลับมาถึงขอนแก่นตอน 3 ทุ่ม เหนื่อย แต่สนุกและคุ้ม ทั้งหมดนี้ใช้เงินไปเฉลี่ยคนละ 750 บาทต่อวัน          
ดูรูปได้จาก http://amai420.spaces.live.com/


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที