TPA Magazine

ผู้เขียน : TPA Magazine

อัพเดท: 12 ก.พ. 2007 11.49 น. บทความนี้มีผู้ชม: 58196 ครั้ง

ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราต้องพูดต้องคุย เพื่อสร้างความเข้าใจต่อกันและกัน


คุณป้าอารี

เวลาที่เราเรียนภาษาต่างประเทศ แม้จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจขนาดไหน หรือคนรอบข้างชื่นชมขนาดใดก็ตาม  อย่าได้เหลิงไปตามคำชม หรือคะแนนที่ได้ทีเดียว คุณต้องได้ลองสื่อสาร กับเจ้าของภาษาตัวจริง เสียงจริงแล้วดูว่า เจ้าของภาษาเขาเข้าใจที่คุณพูดหรือเปล่า เพราะฉะนั้นวิธีหนึ่ง ที่จะทำให้เรียน หรือพูดภาษาต่างประเทศได้ดีก็คือ การมีเพื่อนเป็นคนชาตินั้น ๆ เยอะ ๆ แล้วก็หัดพูดมากๆๆ ผิดบ้าง ถูกบ้าง ก็ไม่ต้องใส่ใจไวยากรณ์มากนัก ในเบื้องต้น ขอเพียงสามารถสื่อสารให้เข้าใจเป็นใช้ได้

 
กุศโลบายการเรียน หรือการจะทำให้พูดภาษา ได้ดีข้างต้นนี้ ไม่ใช่ของดิฉันหรอกนะ  แต่เป็นคำแนะนำของอาจารย์วรินทร วูวงศ์ หรือพี่อ้อ อาจารย์สาวแสนสวย ผู้เกิดมามีบุ้ญมีบุญ หน้าตาสวยสดงดงามไม่เปลี่ยนแปลง เจอกันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พี่อ้อหน้าตาเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังเหมือนเดิม ส่วนพวกเรานี่สิ แก่แซงหน้าพี่อ้อไปหมดแล้ว ตอนที่ดิฉัน กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อ ที่เคโอนั้น พี่อ้อเพิ่งกลับมาอยู่ที่ธรรมศาสตร์ และก็มาช่วยงานที่ศูนย์ญี่ปุ่นศึกษา ซึ่งปัจจุบัน พัฒนาเป็นสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษาแล้ว พี่อ้อเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่นเหมือนกัน ได้ทุนไปเรียนตั้งแต่เด็ก ๆ จนจบมหาวิทยาลัยโอจะโนะมิซึ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสตรีล้วน ๆ แล้วก็ขึ้นชื่อลือชา ทางด้านภาษา  ว่ากันว่า ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยนี้ จบออกมาแล้ว ถ้าไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ก็ไปเป็นศรีภรรยา คู่ชีวิตขวัญใจ ของผู้บริหารเป็นส่วนใหญ่ พี่อ้อบอกว่า เมื่อไปเรียนที่ญี่ปุ่นนั้น ไม่ใช่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แต่เฉพาะตำราอย่างเดียวเท่านั้น ควรถือโอกาสศึกษาวัฒนธรรม สังคม สิ่งรอบตัว ผู้คนไปพร้อม ๆ กันด้วย เพราะนั่นเป็นประสบการณ์ ที่ไม่อาจจะเรียกให้ย้อนกลับมาได้อีก ดังนั้นเมื่อไปอยู่ญี่ปุ่น ดิฉันจึงทำตามด้วยความเคร่งครัด อย่างแรกคือ ต้องคบเพื่อนญี่ปุ่นเยอะ ๆ ต้องเข้าสังคมของคนญี่ปุ่น เพื่อสร้างความคุ้นเคยทางด้านภาษา และวัฒนธรรม ซึ่งก็สมใจนึกบางลำพู เพราะช่วงแรก ๆ ที่ไปถึงโตเกียว ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจัดงานครบรอบ (กี่ปีไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว) การก่อตั้งทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ได้เชิญนักเรียนทุนรัฐบาล จากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งนักเรียนทุนปัจจุบัน มาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน ที่โรงแรมดัง นิวโอตานิ ( New Otani) แล้วก็เชิญอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในการส่งเสริม สนับสนุนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ให้มากล่าวสุนทรพจน์ โดยมีตัวแทน นักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่นจาก ประเทศต่าง ๆ ขึ้นไปกล่าวด้วย นอกจากนั้นทางรัฐบาลญี่ปุ่น ยังเชิญชาวญี่ปุ่น ที่เกี่ยวข้อง กับวงการศึกษา มาร่วมด้วยมากมาย ดิฉันในฐานะนักเรียนทุน รัฐบาลญี่ปุ่น รุ่นปัจจุบันก็ไปด้วย ได้พบปะผู้คน มากหน้าหลายตาจากทุกมุมโลก เรียกว่าคุยภาษาญี่ปุ่นโนะ ๆ เนะ ๆ จนเมื่อยปาก เมื่อยมือ ไปเลยทีเดียว แล้วก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะสังเกตดูในงาน ทั้งผมดำ ผมแดง ตัวขาว ตัวดำ ตัวเหลือง ทุกคนล้วนแล้วแต่เปล่งวาจาออกเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น  นี่แหละ ถึงว่าเป็นความชาญฉลาด ของรัฐบาลญี่ปุ่น ในการหาพันธมิตร โดยให้ทุน เพราะผู้ที่จะได้ทุนส่วนใหญ่ ต้องเรียกว่าเป็นบุคคลชั้นหัวกะท ิของแต่ละประเทศอยู่แล้ว เมื่อมาศึกษาในญี่ปุ่น อย่างน้อย ๆ ก็จะต้องเกิดความรู้ ความเข้าใจ ในวัฒนธรรม ภาษา และแนวคิดของญี่ปุ่น รวมทั้งผลงานวิจัยของบุคคล หรือนักเรียนทุนเหล่านี้ ย่อมถือเป็นข้อมูลชั้นยอด ที่มอบให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อนำไปใช้ ในการพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์ หรือเพื่อนำไปใช้ในหลาย ๆ ด้าน ดูซิ ! หมดวาระทุนก็ได้พันธมิตรเพิ่ม แถมยังได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อีก อะไรจะคุ้มค่าปานนั้น ความจริงรัฐบาลไทย น่าจะเอาแบบอย่างบ้างนะ ให้ทุนนักศึกษาเพื่อนบ้าน ข้างเคียง เพื่อหาพันธมิตร จะได้ไม่ต้องทะเลาะวิวาท ข้ามชาติอย่างที่เป็นอยู่เนือง ๆ ในงานนี้ ขณะที่ดิฉันกำลังมองหา ที่พักด้วยความที่เมื่อย ทั้งเท้า และปากอยู่นี้ เพราะยืนจนขาแข็ง เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงแบบค็อกเทล แล้วก็ต้องส่งภาษา ญี่ปุ่นโอะ ๆ เอะ ๆ อยู่ตลอดเวลา ขากรรไกรแทบหุบไม่ลง ก็ให้มีอันซุ่มซ่าม เดินไปชนสุภาพสตรีท่านหนึ่ง (ดิฉันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ความจริงพ่อแม่ ก็อบรมมาดีนะ แต่ทำมั้ย ทำไม ช่างขยันหาเรื่องฉีกหน้าตัวเอง อยู่เรื่อยจริงๆ) ทำเอาหนังสือ หนังหา ที่หิ้วไปด้วยตกกระจาย ต้องลงไปเก็บกัน วุ่นวายทั้งคนชน คนถูกชน พอตั้งตัวได้ ก็มีอันประหลาดตา ประหลาดใจอีก ด้วยว่าสุภาพสตรีที่เคราะห์ร้าย ถูกดิฉันชนนั้น เป็นหญิงวัยกลางคน ผอมบางผมสีดอกเลา เกล้าตรึงเปรี๊ยะ หน้าตาเปื้อนยิ้มท่าทางใจดี ที่สำคัญคือแต่งชุดกิโมโนสวยมาก  เธอผู้นี้ก้มศีรษะโค้งลง รับคำขอโทษของดิฉัน ที่พูดว่า Doumo sumimasen : พร้อมตอบกลับอย่างชัดถ้อย ชัดคำว่า Iie, dou itashimashite : แปลตรงตัวก็คือ ที่ทำให้เจ็บ (ตัว / ใจ) น่ะ ไม่เป็นไร โหสิ ถ้าจะแปลอย่างสละสลวยก็คือ ไม่เป็นไรค่ะ/ครับ คล้ายๆ You’re welcome. ในภาษาอังกฤษ )
 

สุภาพสตรีในชุดกิโมโน ท่านนี้ส่งยิ้มอย่างอบอุ่นมาให้ และบทสนทนาอย่างถูกชะตา ก็เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเอง โดยดิฉันเป็นฝ่ายถูกถามว่า Anata wa doko kara kimashitaka : ( หนูมาจากที่ไหนจ๊ะ) ก็เลยต้องตอบกลับไปว่า Watashi wa Tai kara kimashita. Hajimemashite, watashi wa Tipawan to moushimasu. Douzo yoroshiku. : Tipawan  ( หนูมาจากประเทศไทย ชื่อทิพวรรณค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก) โอ้โฮ! คุณเชื่อมั้ยเพียง 3 ประโยคนี้เท่านั้น คุณป้ากิโมโน ผู้งามสง่านี้ทำตาโต แล้วอุทานว่า Maa , ojouzu! :! ( แหม ! เก่งจริง) พอได้ยินคำว่าเก่งจริง ดิฉันก็เริ่มวิตกจริต กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย แบบการสนทนากับคุณป้าร้านเค้ก ตอนหลงทางกลับหอ ด้วยกลัวว่า คุณป้ากิโมโนจะส่งภาษาเร็วปรื๋ออีก ประสาทหู และตาตื่นเต็มพิกัด แต่โชคดี คุณป้ากิโมโน พูดช้าเนิบนาบ ฟังง่าย คุณป้าแนะนำตัวเองว่าชื่อ ซากาโมโต้ ฟุมิเอะ มาจากซัปโปโร ซึ่งเป็นหมู่เกาะ แยกจากแผ่นดินใหญ่ อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น ดิฉันคะเนว่า เกือบจะติดกับอะแลสกา ของอเมริกาเสียกระมัง เพราะที่ซัปโปโรนี้ หนาวเกือบตลอดทั้งปี ขนาดหน้าร้อนของซัปโปโร อากาศยังเย็นกว่าหน้าหนาวของที่เมืองไทยเลยนะ คุณป้าซากาโมโต้เล่าว่า สามีเกี่ยวข้องกับวงการศึกษาของญี่ปุ่น เคยไปประจำที่อินโดนีเซีย และมีส่วนช่วยผลักดัน ให้เกิดโครงการให้ทุน ระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่น และรัฐบาลอินโดนีเซียหลายทุน ปัจจุบันเกษียณอายุแล้ว ซึ่งพอพูดจบ คุณป้าก็พาดิฉันไปแนะนำให้รู้จักคุณลุงซากาโมโต้ ทาดาชิ ผู้สามี เป็นชายวัยกลางคน รูปร่างขนาดมีเดี้ยม กะทัดรัด แต่ดูสมาร์ทและ ทรงภูมิมาก พวกเราคุยกันจนงานเลิกก็ลากลับ ปรากฏว่า ดิฉันลืมหนังสือ ไว้บริเวณโต๊ะ ที่ยืนคุยอยู่กับ คุณลุงคุณป้าตระกูลซากาโมโต้คู่นี้ ก็เลยย้อนกลับไปเอา พบว่าคุณป้ากิโมโนซากาโมโต้ เดินตามเอาหนังสือมาส่งให้ แล้วก็เลยขอที่อยู่ดิฉันเอาไว้ โดยคุณป้าบอกว่า ตนเองและสามี พักอยูู่่ที่โรงแรมนิวโอตานินี้ จะเดินทางกลับซัปโปโรในวันรุ่งขึ้น ดิฉันขอบคุณเรื่องหนังสือ แล้วซาโยนาระ ลากลับอย่างไม่รู้สึกสงสัยอะไรมากนัก เพียงแต่สะดุดหู ในวิธีการพูด และสะดุดตา ในกิริยามารยาทเท่านั้น เพราะคุณลุงคุณป้าคู่นี้ ดูมีวิธีพูดแตกต่าง ไปจากคนญี่ปุ่นอื่น ๆ ที่ดิฉันเคยพบ เพราะภาษาที่ใช้ มีจังหวะจะโคน และเป็นคำศัพท์ที่สุภาพเหลือหลาย

 

พูดถึงวิธีการแนะนำตัวเองแล้ว เวลาที่เราพบกัน หากเป็นการพบกันครั้งแรก ซึ่งตั้งแต่มีบุญ ได้ถือกำเนิดเกิดมาในโลก (ไม่) สวยใบนี้ ยังไม่เคยเจอะเจอกันเลยนั้น คนญี่ปุ่นจะมีวิธีการพูดที่แตกต่าง จากภาษาไทย ซึ่งมักใช้คำว่า สวัสดีแบบครอบจักรวาล โดยภาษาญี่ปุ่นจะพูดว่า Hajimemashite : ซึ่งมาจากคำว่า Hajimemasu : หมายถึงครั้งแรก เป็นคำทักทาย ที่ใช้เมื่อพบกันเป็นครั้งแรกในชีวิต อาจจะคล้าย ๆ คำว่า How do you do. ในภาษาอังกฤษ ถ้าจะให้ครบเครื่องเรื่องการทักทายกันแบบเต็มยศ เราก็มักจะตามด้วยการบอกชื่อเสียงเรียงนาม เช่น Watashi wa Tipawan desu.: Tipawan (ดิฉันชื่อทิพวรรณค่ะ) หรือถ้าจะให้สุภาพทรงภูมิหน่อยก็อาจจะพูดว่า Watashi wa Tipawan to moushimasu.:Tipawanคำว่า to ( อ่านว่าโตะ) moushimasu.: หมายถึง เรียกว่า แปลตรงตัวก็คือดิฉันเรียกว่าทิพวรรณ ซึ่งก็หมายถึงดิฉันชื่อทิพวรรณนั่นเอง แล้วตบท้ายด้วย Douzo yoroshiku:(ยินดีที่ได้รู้จัก ) รับรองได้เลยว่าถ้าคุณพูดประโยคง่ายๆ 2-3 ประโยคนี้ให้คล่องปาก จำความหมายได้ขึ้นสมอง คุณไม่มีวันแล้งเพื่อนเป็นอันขาด เพราะ 2 -3 ประโยคนี้ ถือเป็นประโยคหากินในเบื้องตนของพวกเราเหล่านักเรียนต่างชาติทั้งหลาย

 

งานเลี้ยงในวันนั้น จบลงด้วยการล่ำลาซาโยนาระหลายรอบ แล้วดิฉันก็ลืม เรื่องคุณลุงคุณป้าตระกูลซากาโมโต้ไปเสียสนิท ด้วยชีวิตต้องชุลมุน กับการเรียนภาษาญี่ปุ่น ที่ศูนย์ภาษาช่วงเช้า และบ่ายต้องไปรบราฆ่าฟัน เอ๊ย ! ต้องไปติวเข้ม กับแม่ติวเตอร์สาวแก่ ผู้รุ่มรวยความเครียด จากภาควิชาสารสนเทศ ซึ่งเป็นภาควิชา ที่ดิฉันตั้งใจจะเข้าไปเรียนต่อนี้ จวบจนกระทั่ง ปลายปีเกือบจะถึงปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่มหาวิทยาลัย กำลังจะปิดภาคเรียนฤดูหนาว ที่พวกเราเรียกว่า Fuyuyasumi:( Fuyu:หมายถึงฤดูหนาว yasumi:มาจาก yasumimasu แปลว่า หยุดหรือพัก ) ดิฉันก็ได้รับพัสดุกล่องโต ที่ระบุชื่อผู้ส่ง ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ทีแรกเข้าใจว่าน่าจะส่งผิด แต่พอดูชื่อที่หน้ากล่อง ก็เป็นชื่อ และนามสกุลของดิฉัน ไม่ผิดเพี้ยน

 

ลังเลอยู่นานกว่าจะเปิดกล่อง ซึ่งก็ประหลาดใจอย่างมาก เมื่อแกะกล่องแล้ว พบว่าข้างในมีเสื้อโค้ตอย่างดี พะยี่ห้อดังจากยุโรป แล้วก็เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ  รวมเบ็ดเสร็จเกือบ 10 ชิ้น พร้อมมีจดหมายน้อยแนบมาด้วยว่า ผู้ส่งเป็นลูกสาวของ คุณป้าซากาโมโต้ ฟุมิเอะ สุภาพสตรีในชุดกิโมโน ซึ่งดิฉันพบในงาน ที่โรงแรมนิวโอตานิ เมื่อหลายเดือนก่อน ลูกสาวคุณป้าบอกว่า ตัวคุณป้า ถูกชะตาดิฉันมาก แล้วก็เป็นห่วงว่า ดิฉันซึ่งมาจากประเทศเมืองร้อนอาจจะทนไม่ไหวกับสภาพอากาศหนาวของญี่ปุ่น โดยเฉพาะปีนี้หนาวสุดๆในรอบ 50 ปี ก็เลยไหว้วานให้เธอผู้เป็นลูกสาวซึ่งพำนักอยู่ในโตเกียวส่งเสื้อหนาวมาให้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับดิฉันบ้างไม่มากก็น้อย โอ้โฮ ! อะไรจะไม่เป็นประโยชน์ ดิฉันเป็นคนขี้หนาวจะแย่อยู่แล้ว รู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรถูก เพราะถ้าดิฉันรู้จักกับคุณป้าซากาโมโต้ผู้นี้มาก่อน ก็คงไม่ประหลาดใจขนาดนี้ แต่นี่เราพบกันเพียงชั่วโมงเศษๆเท่านั้น แล้วแถมการส่งภาษาพูดคุยในงานนั้นก็ไม่ได้สมบูรณ์อะไรนักหนา ทำไมถึงจะถูกชะตาดิฉันมากขนาดนี้ หรือหน้าตาท่าทางดิฉันคงจะน่าสงสาร ดูผอมแห้งแรงน้อย ตัวดำปี๋ เหมือนเด็กขาดอาหารเอธิโอเปียเสียก็ไม่รู้ ใจก็เลยไพล่นึกไปถึงสมัยที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่สามเสนวิทยาลัย ที่มีการเรียนเป็นรอบเช้า – บ่าย ถ้าช่วงไหนเรียนรอบเช้า ตอนบ่ายพวกดิฉันก็จะชวนกันไปดูหนังญี่ปุ่น ซึ่งมาฉายในเทศกาลหนังญี่ปุ่นที่ดุสิตฮอลล์ โรงแรมดุสิตธานี สมัยก่อนอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม แล้วยุคนั้นดาราคู่ขวัญโทโมคัทสึและโมโมเอะ พระนางคู่ฮิตของญี่ปุ่นในยุคนั้นนำแสดงด้วย ความดังของทั้งคู่เทียบเหมือนมิตร-เพชรา สมัยที่ดิฉันยังเด็ก ถ้าสมัยนี้ก็น่าจะคล้ายๆ เทย่า โรเจอร์ กับเจษฎาภรณ์ ผลดี ตอนแสดงละครด้วยกันในเรื่องปริศนาเห็นจะได้ พวกดิฉันซึ่งคลั่งดาราญี่ปุ่นอยู่แล้วก็ต้องแวบไปดู ขณะกำลังรอหนังฉายอยู่ พวกเราเกิดหิวขึ้นมา ดิฉันก็เลยขันอาสาลงมาซื้อขนมเค้กที่เบเกอรี่ชั้นล่าง ปรากฏว่าขณะที่ลังเลอยู่ ไม่รู้ว่าจะเลือกเค้กแบบไหนดี เพราะเพื่อนดิฉัน 5 – 6 คน รสนิยมคนละแบบ แล้วแถมปากแต่ละคนก็คมกริบ ถ้าเลือกไม่ดีมีหวังถูกกระหน่ำแน่ เพราะเสียตังค์แล้วไม่ได้กินของถูกปาก ชะรอยว่าสีหน้าของดิฉันคงจะดูมีกังวลหรืออาจจะแลดูเหมือนเด็กหิวไม่มีเงินจะซื้อ หนุ่มฝรั่งนายหนึ่งท่าทางใจดีทีเดียวได้เดินเข้ามาหา แล้วสั่งขนมเค้กใส่กล่องให้ดิฉันหนึ่งกล่อง ทำเอาดิฉันตกใจพูดไม่ออกบอกไม่ถูก กว่าจะนึกประโยคได้หนุ่มผู้นั้นก็เดินลับไปทางสระน้ำของโรงแรมเสียแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ที่คุณป้าซากาโมโต้ส่งของมาให้ก็ชวนให้ดิฉันคิดไปว่า โอ ! นี่สีหน้าและท่าทางของดิฉันไม่มีพัฒนาภูมิฐานขึ้นเลยรึนี่ แหม ! มันช่างเศร้าใจจริงๆ อะไรจะด้อยพัฒนาขนาดนั้น แต่มองในมุมกลับอย่างคนมองโลกในแง่ดีก็คิดว่า คงจะเป็นความมีน้ำใจของคุณป้ากิโมโนซากาโมโต้ผู้นี้มากกว่า ใครว่าคนญี่ปุ่นไร้น้ำใจ คนดีๆมีน้ำใจก็มีให้เจอะเจอเหมือนกันนะ

 

ช่วงปีใหม่ เพื่อเป็นการขอบคุณ คุณป้ากิโมโน และคุณลุงซากาโมโต้ผู้อารี ดิฉันได้ส่ง ขนมคุกกี้ขึ้นชื่อของโตเกียว ยี่ห้อโยคุโมคุ (ใครผ่านไปโตเกียว อย่าลืมแวะไปชิม อร่อยหอม หวาน มัน ใครที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วไม่เคยกินโยคุโมคุ ต้องบอกว่าไปไม่ถึงโตเกียว) ไปให้แล้วก็โทร.ไปขอบคุณ ในความใจดี ดีและเอื้อเฟื้อ ของทั้งสองท่าน แต่มีเรื่องขำ ๆ ก็คือ วันที่ดิฉันโทร.ไปนั้นเป็นวันที่ ขนมโยคุโมคุไปถึงแล้ว คุณลุงคุณป้า ก็กำลังชิมพร้อมน้ำชาพอดี ตัวคุณป้าไม่มีปัญหา แต่คุณลุงส่งเสียงอู้อี้มาตามสาย ว่าขนมอร่อยมาก แต่มันแข็งสำหรับฟันปลอมของลุงตอนนี้ ต้องทานอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่า ฟันปลอมจะหลุดเข้าคอ แทนขนมโยคุโมคุของดิฉัน

 

ดิฉันได้พบคุณลุงคุณป้าซากาโมโต้อีกครั้ง ก็ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ดอกซากุระบานในโตเกียว โดยวันหนึ่งก็มีโทรศัพท์ จากลูกสาวคุณป้า ว่าอยากให้ดิฉันมาทานข้าว กับคุณลุงคุณป้าด้วย เพราะคราวนี้ท่านลงมาโตเกียวอีก ดิฉันตกลงไปพบ ด้วยความเกรงใจ ในความอาร ีของทั้งคู่ที่มีต่อดิฉัน ซึ่งเป็นการไปพบที่สร้างความประหลาดใจ และทำให้ดิฉันหน้าแตกยับเยิน แบบหมอไม่รับเย็บเลยทีเดียว เพราะเมื่อไปถึงที่หมาย คือโรงแรมนิวโอตานิเหมือนเดิม คุณลุงคุณป้าก็พาดิฉัน ลงไปทานอาหารญี่ปุ่นที่โรงแรม ซึ่งก็ขึ้นชื่อในเรื่องความอร่อย ตลอดเวลาที่ทานอาหารกัน พวกเราก็พูดคุยด้วยความสนุกสนาน แต่อดสังเกตไม่ได้ว่า พนักงานต้อนรับของร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มาคอยดูแลอำนวยความสะดวก อยู่ถึง 6 คน แล้วแถมยืนเรียง เหมือนทหารองครักษ์ จนรู้สึกประหลาดใจ แกมอึดอัด เพราะทำให้รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว จะว่าทั้งหกคนว่างงาน เนื่องจากลูกค้าน้อยก็ไม่ใช่ เพราะสังเกตเห็น ทุกห้องมีแขกเต็มหมด หลังจากทานอาหารเสร็จ ดิฉันตามคุณลุงคุณป้ากลับขึ้นไปที่ห้องพักใหม่ ซึ่งเป็นห้องสวีทสวยมาก คราวนี้ดิฉันทนอัดอั้นใจไม่ไหว เลยต้องถามทั้งสองท่านว่า Ojisama to obasama wa doushite Tookyou ni kimashitaka . :( ทำไมคุณลุงคุณป้าถึงมาโตเกียว) ก็ได้รับคำตอบว่า Ohanami ni kimasu. : ( มาดูดอกไม้บาน) แหม ! ทำไมถึงได้เก๋ไก๋ขนาดนี้ ต้องบินมาดูดอกซากุระบาน ถึงโตเกียวเลยรึนี่ ท่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว ชะรอยสีหน้าของดิฉัน คงจะยังไม่คลายความสงสัย คุณป้าก็เลยอธิบายเพิ่มเติม พร้อมกับหยิบการ์ดใบหนึ่งมาให้ดู แล้วบอกว่า ท่านทั้งสอง ได้รับเชิญจากนายกรัฐมนตรีนากาโซเน่ ให้มาดูดอกซากุระบาน ที่สวนชินจูกุ นากาโซเน่เป็นนายกฯญี่ปุ่นที่หัวก้าวหน้า และเป็นนายกฯ คนแรกที่ยอมเปิดประเทศ ให้ต่างชาติเข้าไปทำมาค้าขาย หรือเข้าไปอยู่ในญี่ปุ่นมากขึ้น ช่วงที่ดิฉันอยู่ญี่ปุ่นตลอด 4 ปีนั้น นายกฯ นากาโซเน่ได้รับความนิยมมากพอตัวทีเดียว แล้วเหตุผลที่ได้รับเชิญ ก็เพราะคุณลุงซากาโมโต ้เคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯ ของญี่ปุ่น และเป็นผู้มีส่วนก่อตั้งทุนรัฐบาลญี่ปุ่น นอกจากนั้นคุณลุง ยังเป็นทายาทโชกุน ที่เคยเรืองอำนาจช่วงสมัยเมจิด้วย ปัจจุบันเป็นประธานบริษัทนิสสันที่ซัปโปโร และเป็นนายกภาค ของสโมสรโรตารี่ที่ซัปโปโร ทุก ๆ ปีทั้งสองท่าน จะต้องลงมาดูดอกซากุระบาน ที่โตเกียวในฐานะแขกของรัฐบาลอีกด้วย แล้วที่พนักงาน 5 – 6 คนยืนเรียงราย ประดุจองครักษ์พิทักษ์โชกุน อยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่น เมื่อสักครู่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคุณลุงเป็นหุ้นส่วนของโรงแรมดังกล่าวนี้ แล้วมาพักที่นี่เป็นประจำ ทุกครั้งที่มาเยือนโตเกียว ในฐานะแขกคนสำคัญของรัฐบาล

 

ความรู้สึกของดิฉัน เมื่อฟังคุณป้าอธิบายจบ อึ้งกิมกี่ไปเลยนะ รู้สึกตัวเองเล็กกระจิดเดียว และรู้สึกเหมือนคนหน้าแตก แถมคิดว่า ไก่น่าจะถูกปล่อยออกจากเล้าสัก 100 ตัว แบบปล่อยไก่ครั้งมโหฬารเลยก็ว่าได้ ดิฉันต้องขอโทษท่านทั้งสอง ที่ตลอดเวลาใช้ภาษาไม่สุภาพ เพราะในภาษาญี่ปุ่นนั้น กับบุคคลระดับนี้แล้ว จะต้องพูดด้วยภาษา และคำศัพท์ที่สุภาพ กว่าภาษาซึ่งใช้พูดกับเพื่อนฝูง แต่ตลอดเวลาที่ติดต่อ พูดคุยกับคุณลุงคุณป้า ดิฉันดันใช้ศัพท์แสงธรรมดา ๆ มาโดยตลอด แหม ! คิดแล้วมันน่าเขกกะโหลกตัวเองนัก ที่มีตาหามีแววไม่

 
วันนั้นคุณป้าซากาโมโต้  ปลอบใจดิฉัน ที่หน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ และปล่อยไก่ไปหลายเล้า ด้วยสร้อยไข่มุก ที่ตัวมุกวิ่งได้ไปมาบนสร้อยสีทองเล็ก ๆ น่ารัก เหมาะกับวัยรุ่นหนึ่งเส้น ซึ่งสร้อยเส้นนั้น ดิฉันใส่อยู่จนทุกวันนี้ โดยคุณป้าบอกดิฉันว่า ลูกชายคนโตของคุณป้า ก็จบจากมหาวิทยาลัยเคโอเหมือนกัน ตอนนี้ทำธุรกิจอยู่ที่ซัปโปโร และบอกว่า อยากให้ดิฉันตั้งใจเรียนมาก ๆ จะได้สอบเข้าเรียนปริญญาโทได้ ซึ่งสร้อยมุกกลิ้งนี้ให้เป็นกำลังใจในการสอบ แหม ! ดิฉันอยากได้กำลังใจอย่างนี้บ่อย ๆ จัง !!


By : เอริโกะ

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที