วิยา

ผู้เขียน : วิยา

อัพเดท: 05 เม.ย. 2013 09.53 น. บทความนี้มีผู้ชม: 4245 ครั้ง

ลุ้นไปกับคามวรักของพวกเขาทั้ง5หนุ่มแห่งวังจุฑาเทพ


คุณชายปวรรุจ ตอนที่1

                ละครเรื่องคุณชายธราธร กำลังมาถึงตอนจบของความรักระหว่างพี่ชายใหญ่  , น้องมะปราง , ม.ล. เกษรา  ,และอาจารย์ชินกร ได้บทสรุปความรักของพวกเขากันแล้ว แล้วมีละครเรื่อง คุณชายปวรรุจ มาฉายแทน  เป็นความรักของพี่คนที่2 นั้นคือคุณชายปวรรุจ  และหม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา จะเป็นอย่างไรนั้นเราไปติดตามชมกันเลยคะ วันนี้เรานำเสนอละครเรื่องคุณชายปวรรุจ ตอนที่  1  2  3  เป็นการเรียกน้ำย่อยกันคะ

ตอนที่  1

ช่วงตอนกลางวันของวันหนึ่ง ในปี พุทธศักราช 2501 แลเห็นเครื่องบินกำลังแลนดิ้งลงที่บริเวณลานจอดในท่าอากาศดอนเมือง
       
       ปวรรุจ รัชชานนท์ และรณพีร์ ยืนหล่อรอรับคุณชายธราธรอยู่ที่โถงผู้โดยสารขาเข้า เห็นผู้โดยสารทั้งไทยและต่างชาติกำลังทยอยกันออกมา
       “นายสั่งของอะไรจากพี่ชายใหญ่บ้าง” รัชชานนท์เอ่ยถาม
       “ช็อคโกแล็ตดาร์คดาร์คจากแฮร์ร็อดด์ น้ำหอมชาแนลอีกหลายขวด” รณพีร์ตอบ
       ปวรรุจสัพยอก “ช็อคโกแลตไว้กินเอง แต่น้ำหอมไปฝากสาวที่ไหน”
       “บอกเสียก็จืดหมดซีครับ ฮ่ะฮ่ะ” รณพีร์หัวร่อ
       “ไม่พ้นสาวๆ จากเบียร์ฮอลล์นั่นแหละครับ” รัชชานนท์ว่า
       “แล้วหนึ่งในนั้น ใช่น้องรัมภา ด้วยรึเปล่า” ปวรรุจซัก
       คุณชายรณพีร์หน้าเจื่อนไป “พี่ชายครับ น้องรัมภา ผมเห็นทีจะขอตัว ไม่ไหว เจอกันทีไร คุณเธอพูดไม่หยุดปากเป็นชักยนต์ จนผมเอือมเป็นที่สุด”
       “แต่เขาสวยถูกใจนายไม่ใช่เหรอ” ปวรรุจถาม
       “ก็สวยเก๋ละครับ แต่นิสัยไม่สมกับความสวยเลย”
       
       อิ่ม และอั๋น ปรากฎตัวอยู่อีกด้านหนึ่งของโถงเดียวกัน
       อิ่มอยู่ในชุดหรู ส่วนอั๋นแต่งตัวเรียบร้อย ใส่แว่นหนาดูท่าทางคงแก่เรียน เดินแทรกกลุ่มคนที่มารอรับผู้โดยสาร
       “ทางนี้ค่ะพี่อั๋น” อิ่มเรียก
       “จะแทรกเข้ามาทำไมอิ่ม เบียดกันขนาดนี้ เดี๋ยวคุณป้าผ่านGate ออกมาก็เจอกันเองแหละ” อั๋นตำหนิ
       “ไม่ได้มาดูคุณป้าค่ะ อิ่มจะมาดูคุณชายธราธร เห็นว่าเธอกลับมาจากอังกฤษเที่ยวบินนี้พอดี”
       “จะดูไปทำไม ไม่ใช่ดาราสักหน่อย”
       “ถึงไม่ใช่ดาราก็เหมือนดาราค่ะ ตั้งแต่คุณชายทั้งห้า บุกป่าไปช่วยพิทักษ์สมบัติชาติจากโจรฝรั่งคราวนั้น ก็ดังเป็นพลุ จนคำว่า “ห้าสิงห์จุฑาเทพ” กระฉ่อนไปทั้งพระนคร ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ทั้งรวย ทั้งเท่ห์ แบบนี้ ยังไงอิ่มก็ต้องขอยลโฉมตัวจริงให้ได้ค่ะ”
       อั๋นส่ายหน้า อิ่มเบียดไปกระแทกสองสาว เอื้อย และอ้าย จนทั้งสองเซไป
       อ้ายร้อง “ว้าย”
       แต่อิ่มกลับทำไม่รู้ไม่ชี้
       “อะแฮ่ม คุณคะ เข้ามาเบียดฉันกับน้อง ตามมารยาทแล้ว ควรจะขอโทษนะคะ” อ้าย
       อิ่มแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “อุ๊ย…พูดกับฉันเหรอ”
       อ้ายชักฉุน “อ้าว ก็พูดกับคุณน่ะซี ไม่รู้ตัวเหรอคะว่าคุณมากระแทกฉันกับน้องจนเซ”
       “ไม่รู้ตัวจริงๆ ค่ะ เพราะเบียดคนเข้ามาตั้งไกล ไม่เห็นมีใครเซ ก็มีแต่เธอกับน้อง ปัญหาอยู่ที่สรีระของเธอแล้วละ ไม่ใช่ฉัน” อิ่มบอก
       อ้ายฉงน “สรีระของฉัน ทำไม”
       “ก็ผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้น่ะซี” อิ่มบอก
       อั๋นหันมาหา “อิ่ม ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้น”
       “แล้วไม่นึกบ้างเหรอว่าเธอก็อวบอ้วนเกินกว่าจะมาแทรกตัวเบียดชาวบ้านเขา สรีระเธอนั่นแหละมีปัญหา” อ้ายไม่ไว้หน้า
       อิ่มฉุน “ฉันน่ะเหรออ้วน ขอโทษค่ะ กรุณาใช้คำให้สุภาพหน่อย อย่างฉันเขาเรียกว่าอวบอิ่ม กำลังดี”
       อ้ายหยัน “เหรอ กำลังดีไว้เจียวน้ำมันหมูขายละมั้ง”
       อิ่มทำแก้มพองลม ปากจู๋ อันเป็นอาการประจำเวลาโกรธหรือหิว อ้ายหัวเราะหน้าอิ่ม
       “หนูอ้าย อย่าไปต่อปากเลย” เอื้อยปราม
       “ยาย ยาย กุ้งแห้ง ยายกระดูกเดินได้” อิ่มเอาคืน
       “ฉันกระดูก หล่อนก็ต้องเป็นปลาปักเป้าพองลม” อ้ายไม่ยอม
       อิ่มร้อง “ว้าย” เพราะนึกภาพไม่ออก “พี่อั๋น....เป็นยังไงปักเป้าพองลม”
       “ไม่รู้ ไม่เคยเห็น” อั๋นว่า
       อ้ายพูดใส่หน้า “ลองส่องกระจกดูหน้าตัวเองซี นี่...ทำให้ดูก็ได้ เมื่อกี้เธอทำหน้าอย่างนี้”
       ว่าพลางอ้ายทำปากพองลม แล้วยื่นปากจู๋ออกมาเลียนแบบอิ่ม อิ่มลืมตัวทำแก้มพองลม และปากจู๋ตาม อ้ายกลั้นหัวเราะ
       อิ่มรู้สึกตัว เปลี่ยนสีหน้าทันควัน “ว้าย หยาบช้า หยาบคาย ถ้าฉันเป็นผู้ดีน้อยกว่านี้สักนิด ฉันจะประณามหล่อนว่า ยายไหปลาร้าบาน”
       “ถ้าฉันเป็นไห เธอก็ต้องเป็นโอ่ง” อ้ายไม่ลดรา 
       “ว้าย....ยายกุ้งเสียบ ยายกุ้งแห้งเยอรมัน ยายพยาธิตัวแบน”
       อั๋นดุ “คุณอิ่ม พอเถอะ ไปได้แล้ว”
       อั๋นดึงคุณอิ่มแยกไป อิ่มยังบ่นบ้า อ้ายมิวายตะโกนตาม
       “ลานะคะ คุณตุ่มแตกมาแลกตุ่มดี”
       “หนูอ้าย ไปหาเรื่องยายนั่นทำไม” เอื้อยเอ็ดเอา
       “ก็มาหาเรื่องเราก่อน คนอะไรไม่มีมารยาท”
       เอื้อยมองอ้ายดุๆ แต่แล้วกลับหัวเราะคิกออกมาพร้อมกัน
       
       ด้านสามคุณชายแห่งจุฑาเทพยังคุยกันต่อ
       “นายอย่ามาทำพูดไป ย่าเอียดกับย่าอ่อนให้เราคบกับสาวๆ เทวพรหมไว้ เพราะยิ่งพี่ชายใหญ่เอาตัวรอดไปได้กับน้องมะปราง ก็ถึงคราวนายกับฉันแล้วละ” รัชชานนท์เย้า
       “อ้าว...แล้วพี่ชายรุจกับ พี่ชายภัทรล่ะครับ” รณพีร์ท้วง
       “ชายภัทรก็ต้องคบกับคุณมารตีไง ส่วนฉัน สบายตัว เพราะสาว ๆ เทวพรหมหมดสต็อกแล้ว อีกอย่างย่าอ่อนคงไม่เห็นว่าฉันคู่ควรกับสาวเทวพรหมคนไหนเสียด้วย เพราะ...”
       ขณะพูดถึงตรงนี้สีหน้าปวรรุจสลดลงนิดหนึ่ง น้องทั้งสองมองอย่างเข้าใจ
       ปวรรุจปรับกลับมายิ้มเหมือนเดิม “ฉันต้อยต่ำเกินไปสำหรับสาวๆ เทวพรหม”
       “เฮ้อ...ย่าอ่อนก็ยังตั้งแง่กับพี่ชายรุจเหมือนเดิม เมื่อไหร่ท่านจะเลิกมองพี่ชายอย่างอคติเสียที” รัชชานนท์ว่า
       ปวรรุจโอบน้องชาย
       “ไม่เป็นไรหรอกชายเล็ก ยังไงพี่ก็รู้ว่า ที่จริงแล้วย่าอ่อนก็รักพี่ รักไม่แพ้พวกนายหรอกน่ะ”
       ทั้งสามยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ
       ห่างออกไปอีกมุม อิ่ม และอั๋นเดินตรงมา
       อิ่มบ่นบ้าไม่เลิก “แหม....ยังด่ายายไหปลาร้าบานนั่นไม่สะใจ พี่อั๋นไม่น่าดึงอิ่มออกมา
       เลยนะคะ อุ๊ย...”
       อิ่มชี้ไปเบื้องหน้า อั๋นมองตาม
       “อะไรน้องอิ่ม”
       “คุณชายจุฑาเทพค่ะ”
       อั๋นขยับแว่นมอง “อ๊ะ ออกมาจากเกทแล้วเหรอ”
       “ไม่ใช่คุณชายธราธรค่ะ แต่น้องๆ คุณชายยืนอยู่ตรงนั้นทั้งสามคนเลย”
       ขาดคำอิ่มถลาเข้าไปหาทันที สามหนุ่มตกใจเล็กน้อย อิ่มถอนสายบัว อั๋นตามมาหน้าตื่นๆ
       “สวัสดีค่ะ คุณชายปวรรุจ คุณชายรัชชานนท์ คุณชายรณพีร์” อิ่มเรียกอย่างกันเองมาก
       “เออ....สวัสดีครับ โปรดแนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยนะครับ” รัชชานนท์งงไม่ต่างจากอีกสองหนุ่ม
       “หม่อมฉันชื่ออิ่มเพคะ นี่พี่ชายหม่อมฉัน พี่อั๋น”

ปวรรุจจะห้ามไม่ให้อิ่มพูดราชาศัพท์
       
       “เออ คือว่า...”
       ถูกอิ่มสวนออกมา “เราเป็นหลานของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์เพคะ วันนี้หม่อมฉันมารับคุณป้าหญิงอารี ภริยาท่านลุงค่ะ คุณชายทั้งสามมารอรับคุณชายธราธรจากอังกฤษใช่ไหมเพคะ”
       สามหนุ่มมองหน้ากัน งงกับราชาศัพท์ของอิ่ม รณพีร์ยิ้มอย่างสนุก
       “ทำไมคุณรู้เรื่องของเราเยอะจังครับ”
       อิ่มยิ้มปลื้มตาเป็นประกาย “ฮิฮิ เพราะอิ่ม ตามข่าว “ห้าสิงห์จุฑาเทพ” ตลอดเวลาน่ะซีเพคะ ทั้งข่าวจากสยามนิกร ศรีสัปดาห์ ทั้งยังออกข่าวโทรทัศน์อีก แหมปลื้มจริงๆ ที่เจอองค์จริงของคุณชาย ทรงสิริโฉมงดงามทั้งสามพระองค์เลยหล่อกว่าซาล มิเนโออีก”
       อิ่มหมายถึงดาราวัยรุ่นฝรั่งชื่อดังแห่งยุค 
       สามหนุ่มยิ่งสะดุ้งกับราชาศัพท์
       “เออ คุณอิ่มครับ ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์หรอกครับ เพราะเราเป็นแค่...” ปวรรุจพูดไม่ทันจบ
       อิ่มแทรกขึ้นอีก “อุ๊ย อย่าถ่อมองค์ซีเพคะ แหม....ทรงน่ารักจริง ๆ”
       อั๋นเตือนน้อง “คุณอิ่ม...เขาไม่ใช้คำ...”
       อิ่มไม่รู้ฟัง “พี่อั๋นคะ เราทูลคุณชายเลยดีไหม ที่เราสองคนจะเสด็จไปเรียนต่อที่สวิตพร้อมกันในเดือนหน้า”
       คุณชายรณพีร์ตกใจ “หา...“เสด็จ” เหรอครับ”
       “เพคะ หม่อมฉันกับพี่ชายอั๋นจะเสด็จไปในเดือนหน้านี้ คุณป้ามาคราวนี้มารับเราเสด็จไปพร้อมกันเลย” อิ่มเจื้อยแจ้วสนุกปาก
       รัชชานนท์กระซิบ “พี่ชายครับ ผมว่าเราไปรอตรงทางออกดีกว่า ก่อนที่เหาจะขึ้นหัวเราทั้งสามคน”
       รณพีร์เอาด้วย “ใช่ ใช่ ขอตัวก่อนนะครับ ขอเราเสด็จไปทางนู้นก่อน”
       สามหนุ่มรีบแยกไปทันที กลั้นหัวเราะกันใหญ่
       “อ้าว....ไปไหนเพคะ เราเสด็จตามเถอะพี่อั๋น”
       “คุณอิ่ม พอแล้ว ไม่ต้องไปไหนแล้ว ไปไหนก็ทำเสียเรื่อง” อั๋นเอ็ดเอา
       “เสียเรื่องยังไง”
       “คุณอิ่มใช้ราชาศัพท์มั่วไปหมดแล้ว กับคุณชาย ยศหม่อมราชวงศ์พูดปรกติไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ แล้วหนำซ้ำคุณอิ่มเป็นสามัญชน ไปใช้คำว่า “เสด็จ” กับตัวเองได้ยังไง”
       อิ่มจ๋อง “อ้าว...อิ่มไม่รู้นี่”
       “อายเขาจะแย่ คุณชายเขาถึงหนีไปหมดแล้ว”
       อิ่มเบะหน้า “อิ่มไม่รู้จริง ๆ...พี่อั๋นคะ อย่าดุอิ่มซีคะ ยิ่งดุอิ่มยิ่ง...”
       “ยิ่งอะไร”
       “ยิ่งทรงหิวค่ะ”
       อั๋นถอนใจเฮือกใหญ่ อิ่มทำหน้าปลาปักเป้าอีกครั้ง
       
       สามคุณชายหัวเราะร่วนกัน ยังขำอิ่มไม่เลิก สามหนุ่มเดินผ่านหน้าเอื้อยและอ้าย ทั้งสองสาวมองอย่างตะลึง
       “อุ๊ย คุณชายจุฑาเทพ” อ้ายตาเป็นประกายวิบวับ
       “หล่อกว่าในรูปอีก” เอื้อยยิ้มพราย
       “เข้าไปขอลายเซ็นไหมหนูเอื้อย”
       “เอาซี แต่เดี๋ยว รอให้ท่านหญิงเด็จมาถึงก่อนดีกว่า”
       “ทำไมล่ะ”
       “จำไม่ได้เหรอว่าท่านหญิงเคยเล่าว่าคุณชายทั้งห้าเคยเป็นสหายสนิทกับท่านหญิงเมื่อสมัยเด็กๆ ไง เห็นว่ามาเล่นที่วังอรุณรัศมิ์ของท่านหญิงบ่อยๆ”
       อ้ายนึกได้ “จริงด้วย เดี๋ยวค่อยแนะนำตัวนะ อุ๊ย คุณชายหล่อกันทุกคน ฉันสวยรึยังหนูเอื้อย”
       “สวย แต่น้อยกว่าเอื้อยนิดนึงค่ะ”
       อ้ายเอ็ดขำๆ “เซี้ยว”
       สองสาวหยิบกระจกมาสำรวจหน้าตัวเองกัน
       
       ปวรรุจ รัชชานนท์ และรณพีร์ มาหลบอยู่มุมหนึ่ง ยังหัวเราะระรื่น
       “คุณอิ่มนั่นบอกว่าเป็นหลานท่านทูตไทยที่เบิร์น ที่พี่จะต้องไปทำงานด้วย งั้นก็ต้องเป็นหลานคุณลุงพลเทพน่ะซี” ปวรรุจว่า
       “อย่าไปเชื่อเลยครับ ตอนนี้ข่าวพวกเราในหน้าสังคมกำลังกระฉ่อน มีพวกแอบอ้างเป็นคนใหญ่คนโตเข้ามาตีสนิทกับพวกเราเป็นประจำ” รัชชานนท์บอก
       รณพีร์เห็นด้วย “ใช่ครับ ที่กรมถึงกับมีคนโทรมาแอบอ้างเป็นนายพัน รู้จักกับท่านพ่อเป็นการส่วนตัว พูดไปพูดมา ที่แท้จะมาขอเงินน่ะครับ บอกว่าท่านพ่อติดหนี้บุญคุณแกอยู่” 
       “อ้าว...ก็เหมือนคุณลุงเทวพันธ์น่ะซี”
       “ใช่แล้วครับ”
       ชายพีร์และชายเล็กหัวเราะลั่น ปวรรุจส่ายหน้ายิ้ม ๆ
       
       บริเวณทางเดินหน้าเกท ผู้คนที่รออยู่หน้าประตูต่างชูป้ายเรียกทั้งลูกค้าและญาติโยม เพราะผู้โดยสารทยอยออกมาจากเกท
       “หนูอ้าย ออกมากันแล้ว” เอื้อยตื่นเต้นมากมาย
       “อุ๊ย นั่นไง ท่านหญิงรสา” อ้ายร้องบอก
       
       ท่านหญิงรสาที่อ้ายเอ่ยถึงและมารอรับ แท้จริงคือ หม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์ ธิดาของพระองค์เจ้าฉัตรอรุณ อรุณรัศมิ์ แห่งวังอรุณรัศมิ์ กำลังเดินมาดสง่าตรงมาตามทางเดิน ท่านหญิงรสาอยู่ในชุดแจ๊คเก็ตเข้ารูป ยุคปลาย 50’s ดูสง่างาม ถือกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมมาด้วย
       วรรณรสายิ้มร่าเมื่อเห็นสองแฝดโบกมือให้
       “ท่านหญิง” อ้ายโบกไม้โบกมือ
       วรรณรสาวิ่งมาหาสองสาว กอดกันแน่น
       “ดีใจเหลือเกิน รสากลับบ้านแล้วนะ”
       “เวลคัมโฮมเพคะ” เอื้อยทักทาย
       “บอกแล้วไง ไม่ต้องใช้ศัพท์สูง หญิงอยากเป็นคนธรรมดาสามัญ”
       “ได้เพคะ อุ๊ย ได้ค่ะ”
       “หนูเอื้อย หนูอ้ายเป็นยังไงบ้าง”
       “สบายดี ท่านหญิงล่ะ ปีนังเป็นยังไง” อ้ายยิ้มทักทายไถ่ถาม
       “หญิงอยู่ปีนังมาสิบปี ตั้งแต่คอนแวนต์ถึงคอลเลจ แทบหลับตาเดินในยอร์ชทาวน์ได้ทั้งย่านแล้ว เบื่อจะตาย ไม่เคยดีใจอะไรเท่ากับได้กลับบ้านเลย เอ....แล้วเดี๋ยวเราจะกลับยังไง”
       “นายเวทย์มารอรับแล้ว” อ้ายบอก
       “เด็จพ่อไม่มาเหรอ”
       อ้ายบอกอีก “ท่านรออยู่ที่วังค่ะ เตรียมงานต้อนรับท่านหญิงอยู่”
       “หืมม์....ต้องเตรียมการต้อนรับอะไร” วรรณรสามีสีหน้าฉงน
       “ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เห็นบอกว่าคืนนี้จะมีเซอร์ไพรส์ท่านหญิง”
       
       วรรณรสายิ้มกริ่ม ท่าทีนึกสนุก

ธราธรยืนอยู่กับน้องทั้งสามตรงทางเดินยาว รัชชานนท์และรณพีร์กำลังดูของฝากจากอังกฤษ ชายพีร์หยิบกล่องโมเดลเครื่องบินเล็กปีกสองชั้น สมัยรุ่นสงครามโลกครั้งที่ 1 ออกมา หัวเราะชอบอกชอบใจ
       
       “พี่ชายใหญ่ ขอบคุณมากครับ นี่แหละของโปรดผม จะแขวนไว้เหนือเตียงนอน ดูทุกวัน”
       “ให้มันจริงเถอะนายพีร์ กลับมานอนบ้านให้ได้ทุกวัน ไม่ใช่หายไปสามวันกลับมาทีนึง”
       คุณชายรณพีร์หัวเราะระรื่น ธราธรหันมาทางปวรรุจ สีหน้าเคร่งขึ้นนิดหน่อย
       “น้องมะปรางเป็นยังไงบ้างครับ” ปวรรุจเอ่ยถาม
       “งอแงไม่อยากให้พี่กลับ บอกว่ากลัวเหงาอยู่คนเดียว วันมาส่งเลยร้องไห้ขี้มูกโป่ง” ธราธรยิ้มพรายพูดถึง ม.ล.ระวีรำไพ หรือ น้องมะปราง อย่างเป็นสุข
       ปวรรุจหัวเราะ “เด็กไม่เคยจากบ้านก็อย่างนี้แหละครับ”
       ธราธรหน้าเครียดอยู่ “เออ...ชายรุจ พี่มี...”
       รัชชานนท์ร้องขัดขึ้น พร้อมหยิบกล่องโคโลญจน์สำหรับผู้ชายขึ้นมา
       “พี่ชายรุจ นี่น่าจะของฝากของพี่นะครับ”
       “มีของฝากให้ผมด้วยเหรอครับ”
       ปวรรุจยิ้มแย้ม เข้าไปดูของทันที ธราธรถอนใจเพราะเรื่องที่จะพูดคือเรื่อง...วาดดาว
       อีกด้านของโถง แลเห็นวรรณรสา อ้าย และเอื้อย เดินมาด้วยกัน
       
       วรรณรสา เอื้อย และอ้ายกำลังเดินมา เอื้อยกับอ้ายหยุดชะงักเมื่อมองมาที่กลุ่มคุณชายทั้งสี่
       “ท่านหญิง หยุดก่อน” อ้ายเรียกไว้
       “มีอะไร” วรรณรสาแปลกใจ
       “โน่นค่ะ ห้าสิงห์จุฑาเทพ ท่านหญิงรู้จักไม่ใช่เหรอคะ” เอื้อยพยักเพยิดไปทางหนุ่มๆ
       วรรณรสามองตรงมาที่กลุ่มคุณชาย แต่สายตานั้นจับจ้องอยู่แต่ที่ปวรรุจแต่เพียงผู้เดียว ท่านหญิงตะลึงไป เพราะปวรรุจเป็นคุณชายคนเดียวที่รสาคุ้นเคยมากที่สุด
       “ท่านหญิง เป็นอะไรน่ะ” เอื้อยสงสัยท่าที
       วรรณรสาไม่ตอบ ได้แต่ตะลึงนิ่ง และรำพึงออกมา
       “พี่ชายรุจ”
       อ้ายและเอื้อยมองตามไป
       
       ส่วนปวรรุจยังสนใจกับของฝากอยู่ ไม่รู้ว่าวรรณรสากำลังจ้องมองมายังตน
       “โคโลญจน์กลิ่นโปรดของผมเลย ขอบคุณมากครับ”
       ธราธรมองน้องชายอย่างลำบากใจ ดึงปวรรุจแยกมาหน่อยหนึ่ง
       “ชายรุจ พี่มีเรื่องจะบอก”
       “มีอะไรเหรอครับ” ปวรรุจฉงน
       “ขึ้นเครื่องมา มีคนรู้จักเดินทางมาจากอังกฤษด้วย”
       “ใครครับ”
       ธราธรถอนใจ “คุณวาดดาว”
       ปวรรุจหน้าเจื่อนไปทันที
       “เธอกลับมากรุงเทพฯ”
       “ใช่...”
       “แล้วพี่ได้คุยกับเธอรึเปล่าครับ”
       “คุยกันนิดหน่อย” ธราธรบอก
       “งั้นเธอก็ยังอยู่ในแอร์พอร์ท”
       ปวรรุจเหลียวมองไปทางทางออกของผู้โดยสารทันที สายตาผ่านไปทางวรรณรสาพอดี
       
       ปวรรุจเหมือนมองมาทางวรรณรสา ท่านหญิงนิ่งงันไป ปวรรุจเดินตรงมา
       “ท่านหญิง เขาเดินตรงมาแล้ว” อ้ายกระซิบบอก
       เอื้อยตื่นเต้น “มาหาท่านหญิงด้วย”
       วรรณรสาเตรียมพร้อมจะยิ้มให้ปวรรุจ แต่ไม่ทันรู้ได้ว่า เบื้องหลังนั้น ร่างงามของวาดดาวกับป้าสมร ที่กำลังยืนอยู่ห่างออกไป
       ปวรรุจเดินตรงมา วรรณรสายิ้มให้ แต่ปวรรุจหน้าเคร่ง เดินผ่านไป อย่างไม่สนใจ เพราะมองไม่เห็น วรรณรสาผิดคาด ยิ้มค้าง อ้าย กะเอื้อยตะลึง วรรณรสาเหลียวมองตามไป จึงพบว่า...ปวรรุจเดินตรงไปหาหญิงสาวสวย ที่ยืนอยู่กับสมร
       “อ้าว...คุณชายคนนั้น” อ้ายงง
       “เขาไม่เห็นท่านหญิงหรอกหรือ” เอื้อยก็เช่นกัน
       วรรณรสาทั้งเจื่อน ทั้งอาย
       “ใช่....เขาไม่เห็นหญิง ไปเถอะ”
       วรรณรสาเดินนำออกไป อ้าย และเอื้อยตาม
       
       ปวรรุจเดินตรงไปหาวาดดาว แต่ถูกกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาขวางเสียก่อน
       “วาดดาว วาดดาว”
       วาดดาวและสมรหันมาเห็นปวรรุจ วาดดาวมีสีหน้าตกใจ แล้วรีบออกจากทางเข้าไปกับสมรทันที กลืนหายไปกับกลุ่มนักท่องเที่ยว
       พอปวรรุจฝ่ากลุ่มมาได้ วาดดาวหายไปเสียแล้ว ปวรรุจวิ่งออกประตูไปเร็วรี่
       
       ปวรรุจวิ่งออกมาด้านหน้า พบว่าวาดดาวและสมรกำลังขึ้นรถส่วนตัว ปวรรุจวิ่งตรงมา
       “วาดดาว วาดดาว”
       แต่รถแล่นออกไปเสียแล้ว ปวรรุจวิ่งตามไม่ทัน
       ปวรรุจร้องเรียก “วาดดาว”
       ปวรรุจมองตามรถไป ด้วยความสงสัย งุนงง และเจ็บปวดวาบขึ้น เบื้องหลังปวรรุจเวลานั้น รถของวรรณรสา อ้าย และเอื้อยแล่นออกมาจากทางจอดวีไอพี นายเวทย์เป็นคนขับ รถผ่านปวรรุจไป วรรณรสามองผ่านหน้าต่างออกมา เห็นปวรรุจยืนหน้าเศร้าอยู่
       
       วรรณรสานึกสงสาร ละสายตาจากปวรรุจ แล้วทอดถอนใจกับตัวเอง

 ไม่นานต่อมา วรรณรสาก้าวเข้ามาในโถงของวังอรุณรัศมิ์ พบว่าโถงกลางวังตกแต่งด้วยดอกกุหลาบขาวสะอาดตาไปทั่วทั้งห้อง 
       
       วรรณรสาและ อ้าย เอื้อยก้าวเข้ามา ฝาแฝดสาวอมยิ้ม ขณะที่วรรณรสายิ้มปลื้มสุดๆ
       “ยังกะสวรรค์”
       “เสด็จประทับในลิฟวิ่งรูมเพคะ ท่านหญิง” เอื้อยบอก
       วรรณรสายิ้มพราย ก้าวเข้าห้องนั่งเล่นด้านใน
       ครู่หนึ่งวรรณรสาก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น ซึ่งตกแต่งสวยงามด้วยเครื่องเรือนยุควิคตอเรียน ผสมกับความเป็นโมเดิร์น ลวดลายของอาร์ตเดคโค่ สวยหวานไปทั้งห้อง ปนความเคร่งขรึมอยู่ในที
       กระจกด้านหนึ่งมองออกไปเห็นสวนสวยด้านนอก ยิ่งดูสดชื่นมากขึ้น วรรณรสาพบเสด็จพ่อ พระองค์เจ้าฉัตรอรุณ อรุณรัศมิ์ กำลังรินเครื่องดื่มอยู่มุมห้อง
       “เด็จพ่อ”
       “หญิงแต้ว” ท่านชายฉัตรอรุณยิ้มเบิกบาน
       วรรณรสาวิ่งเข้าไปกอดทันที
       “คิดถึงบ้าน คิดถึงเด็จพ่อเหลือเกิน”
       วรรณรสาสะอื้นออกมาเบาๆ
       “พ่อก็คิดถึงหญิงแต้ว กลับบ้านเสียทีนะลูก”
       รสาเงยหน้าขึ้นมองเด็จพ่อทั้งน้ำตา
       “หญิงเรียนจบแล้ว หญิงไม่ไปไหนอีกแล้วเพคะ”
       วรรณรสาทรุดตัวลงกับพื้น แล้วก้มกราบเสด็จพ่อ พระองค์เจ้าฉัตรอรุณปลาบปลื้มพระธิดาเป็นอย่างยิ่ง
       ขณะเดียวกัน สี่คุณชายกลับถึงวังจุฑาเทพสักพักแล้ว และเวลานี้ ธราธร พุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์ อยู่ในห้องใต้โดม ของตึกโดม นั่งประชุมด้วยกัน ทุกคนล้วนมีสีหน้าเป็นห่วง ปวรรุจทั้งสิ้น
       “อยู่แต่ในห้องน่ะครับ ไม่ออกมาเลยตั้งแต่บ่ายแล้ว” รัชชานนท์เอ่ยขึ้น
       รณพีร์เสริม “พี่ชายโทรศัพท์หาคุณวาดดาวตลอดเลยครับ แต่ทางนั้นไม่รับสาย”
       ย่าอ่อนถือขนมเดินตรงมาที่หน้าห้องใต้โดม แจ๋วถือของตามมาด้วย ประตูห้องเปิดแง้มอยู่
       ส่วนในห้องยังเครียดกันอยู่เช่นเดิม
       “มันบังเอิญ หรือชะตาฟ้าดินกลั่นแกล้งครับ ต้องให้คุณวาดดาวมาเจอพี่ชายรุจที่สนามบินแบบนี้” รณพีร์ว่า
       ย่าอ่อนได้ยินชื่อวาดดาว ถึงกับอุทานออกมา
       “ตาเถรยายชี”
       แจ๋วต่อทันที ด้วยตกใจ “บนเข้าผีตีเข้าพระ”
       ย่าอ่อนเอ็ดเบาๆ “นังแจ๋ว” พลางจุ๊ปาก แล้วแอบฟัง
       รัชชานนท์ออกความเห็นต่อ “นั่นซี แล้วก็ยังหนีหน้าพี่ชายรุจอีกด้วย เหมือนทำผิด หรือปิดบังอะไรสักอย่าง”
       “เป็นผมนะ รักจริงขนาดนี้ ผมไม่รออยู่หรอก ผมบุกไปถึงบ้านคุณวาดดาวแล้ว” รณพีร์ว่า
       “ใช่ พูดกันให้รู้เรื่อง รักกันอยู่ดีๆ ทำไมถึงมาทิ้งกันเสียได้ จะบอกเหตุผลสักนิดก็ไม่มี” รัชชานนท์ฮึดฮัดอยู่นั่น
       พุฒิภัทรมองหน้าธราธร เหมือนรู้เรื่องราวดีกันแค่สองคน
       “เอาไงดีครับ พี่ชายใหญ่”
       “ปล่อยชายรุจไปก่อน ให้เขาอยู่กับตัวเองสักพัก พอคลายใจแล้วค่อยเจรจากัน”
       ย่าอ่อนทำท่าจะผละไป
       “ไม่ได้การแล้ว”
       แจ๋วงง “อ้าว คุณท่านขา ไม่เอาขนมเข้าไปให้คุณชายเหรอคะ”
       “แกเอาเข้าไปเอง แล้วไม่ต้องบอกนะว่าฉันแอบฟังอยู่”
       “ไม่บอกค่ะ แล้วคุณท่านจะไปไหนล่ะคะ”
       “ไปแอบฟังอีกห้อง เอ๊ย ไม่ใช่ แกอย่าถามนักเลย สอดรู้สอดเห็นดีนัก”
       ย่าอ่อนเอ็ดแจ๋ว แล้วรีบแยกไป
       แจ๋วบ่นงึมงำตามหลัง “อุ๊ย ว่าเราสอดรู้ แล้วคุณท่านล่ะคะ พิโธ่พิถัง”
       
       เวลาเดียวกันที่บ้านวาดดาว ซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กในร่มไม้ครึ้ม เสียงกริ่งโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นดังขึ้นอีก สมรมองมาที่โทรศัพท์อย่างกังวลใจ แล้วมองไปยังวาดดาวที่กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทาง กริ่งโทรศัพท์เงียบไปแล้ว
       “หนูวาด ไม่รับสายเสียหน่อยเหรอ โทร.มาเป็นสิบครั้งแล้วนะ”
       “ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะป้า”
       “แต่หนูก็ควรจะบอกเขาเสียหน่อย อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการล่ำลา”
       “หนูบอกลาเขาไปแล้วทางจดหมายเมื่อปีที่แล้ว”
       “แต่ไม่ได้บอกเหตุผลนี่จ๊ะ” สมรท้วง
       “หนูจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังทีหลัง...ถ้ามีโอกาส”
       วาดดาวทอดถอนใจ
       
       ด้านปวรรุจมองโทรศัพท์อย่างเจ็บปวดใจ ก่อนจะเหม่อลอยทอดสายตามองไปไกลนอกหน้าต่าง
       ย่าอ่อนแอบมองเข้าไปในห้องปวรรุจ เห็นปวรรุจนั่งทอดถอนใจอยู่หน้าโทรศัพท์
       “เรื่องใหญ่ละทีนี้”
       ย่าอ่อนรีบผละไป
       ภายในห้อง ปวรรุจหยิบจดหมายวาดดาวเมื่อปีที่แล้วออกอ่าน เป็นจดหมายที่ส่งมาจากอังกฤษ
       ลายมือในกระดาษสวยเป็นระเบียบ ปวรรุจอ่านความระหว่างบรรทัด ราวกับมีเสียงวาดดาวมาอ่านให้ฟังข้างหู
       “คุณชายรุจคะ ดิฉันเขียนจดหมายฉบับนึ้ขึ้นเพื่อบอกลาคุณ นับจากที่ดิฉันกลับมาที่อังกฤษและได้ทบทวนไตร่ตรองดูอย่างรอบคอบแล้ว พบว่าตัวเองไม่เหมาะสมและคู่ควรกับความเป็นจุฑาเทพ ของคุณแม้สักนิด ดิฉันต้อยต่ำเกินไปค่ะ ขอให้เรื่องรักของเราจบลงเท่านี้ จะจดจำประสบการณ์ดี ๆ ของเราไว้ไม่มีวันลืม
       รัก วาดดาว”
       ปวรรุจอ่านซ้ำ ยิ่งอ่านก็ยิ่งไม่เข้าใจ และเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่แล้วปวรรุจก็เก็บจดหมายลงลิ้นชัก สงบสติอารมณ์
       
       สักครู่ก็ผลุนผลันออกจากห้องไป

รณพีร์เดินลงมาจากชั้นบน โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนมองตาม จนเมื่อกำลังจะออกจากโถง จึงมีมือเหี่ยวๆ ตะปบเข้าที่ไหล่ของรณพีร์จัง ชายพีร์สะดุ้งโหยง ร้องลั่น 
       
       “เฮ้ย ผีจับไหล่”
       “ผี เผอ ที่ไหน ย่าเอง” ย่าอ่อนนั่นเอง
       “โธ่ คุณย่าครับ ทำไมมาเงียบๆ ผมตกใจหมด” รณพีร์บ่น
       “ต้องมาเงียบๆ เพราะย่ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องถามแก”
       “เรื่องอะไรครับคุณย่า”
       “เรื่องแม่วาดดาว วาดเดือนอะไรนั่น เห็นว่ากลับมาเมืองไทยแล้วเจอชายรุจเข้าเสียด้วย แล้วชายรุจก็กำลังเขี่ยถ่านไฟเก่าให้มันลุกโพลงขึ้นอีก ใช่ไหม” หญิงชราถามเป็นชุด
       รณพีร์รู้ทัน “แอบฟังพวกเราคุยอีกแล้วใช่ไหมครับ”
       “ใช่...เอ๊ย ไม่ใช่ แค่บังเอิญได้ยินย่ะ บอกความจริงย่ามาทั้งหมดเดี๋ยวนี้”
       “โธ่ ผมก็แค่คนเห็นเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ย่าอ่อนไปถามพี่ชายรุจเองดีกว่าครับ”
       “อุ๊ย...ไปถามรายนั้นคงรู้ความจริงหรอกนะ อมพะนำเก่งอย่างกะอะไรดี บอกมา ชายรุจเจอแม่วาดเดือนนั่นแล้วเกิดอะไรขึ้น”
       รณพีร์ส่ายหน้า “ไม่ทราบครับ”
       ย่าอ่อนมองหน้ารณพีร์ แล้วมารยาใส่ ปากสั่นทำท่าจะร้องไห้
       “ชายพีร์ เดี๋ยวนี้ชายพีร์ไม่รักย่าแล้วใช่ไหม เห็นชายรุจดีกว่าย่าแล้ว” ย่าอ่อนเรอออกมา “เอิ้ก...ใช่...ย่ามันแก่กะโหลกกะลา ไม่มีใครเขาสนใจ แม้แต่หลานที่ย่ารักที่สุดอย่างชายพีร์ก็ยังรังเกียจรังงอน”
       รณพีร์ใจหาย “คุณย่าครับ ทำไมพูดอย่างนั้น”
       “ไม่ต้องพูดแล้ว เอิ้ก...ย่าไม่น่าอยู่มาจนทุกวันนี้เลย น่าจะตายๆ ไปซะ”
       ย่าอ่อนผละจากรณพีร์ จะเดินไป แล้วทำท่าซวนเซ
       “ย่าครับ นั่งก่อน”
       รณพีร์ประคองย่าอ่อนที่ทำท่าจะเป็นลมลงนั่งที่โซฟา ล้วงหยิบยาดมมาดมพลางระบดระบายต่อ
       “ย่าจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ที่อยากรู้เรื่องหลานๆ ก็เพราะรักและเป็นห่วง แต่ชายพีร์ใจร้ายไม่เล่าให้ย่าฟัง ก็ไม่เป็นไร ให้ย่าตายตาหลับไม่ลงอย่างนี้แหละ” ย่าอ้อนสำทับด้วยการทำตาเหลือก “เอิ้ก...”
       รณพีร์ใจอ่อนตามเคย “คุณย่าครับ เล่าก็ได้ครับ ย่าอยากรู้อะไรล่ะครับ”
       ย่าอ่อนหายใจรวยริน แต่มีแรงถามเป็นชุด “ชายรุจเจอแม่นั่นแล้วคุยอะไรกันบ้าง ท่าทีเป็นยังไง แม่ผู้หญิงแสดงอาการอะไร แล้วเรื่องบังเอิญรึเปล่าที่ไปเจอกันที่สนามบินน่ะ เล่าให้ละเอียดนะลูก”
       
       ทางด้านวรรณรสาอยู่ในห้องส่วนตัว เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองแสนสบาย ทิ้งตัวลงนอนเอกเขนกอยู่กับโซฟายาวริมหน้าต่างห้อง พลางทอดสายตามองลงไปเห็นสวนสวยเบื้องล่าง อ้ายและเอื้อยกำลังทานของว่างที่โต๊ะเล็ก
       “ท่านหญิง เตรียมการสำหรับชีวิตอะไรไว้บ้าง”
       “เตรียมจะนอน เที่ยว กิน ปาร์ตี้ ช้อปปิ้งให้สนุกทุกวัน ให้สมกับที่ถูกขังมานานตลอดการเรียนที่ปีนัง”
       “แล้ว…ไม่คิดเรื่อง...แต่งงานบ้างเหรอคะ” เอื้อยมีท่าทีเกรงใจขณะถาม
       วรรณรสาลุกนั่งหน้าเครียดขึ้นมา “บ้า...หญิงยังไม่คิดตอนนี้หรอก หนูเอื้อยหมายถึงพี่ชายทัศน์น่ะเหรอ”
       “ก็ใช่น่ะซีคะ พูดราวกับลืมพระคู่หมั้นไปแล้ว ท่านชายภาณุทัศนัย ผู้สง่างามและหล่อเหลา” เอื้อยว่า
       “อนาคตเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศใดประเทศหนึ่งของยุโรป” อ้ายเสริม
       “เฮ้อ...หญิงยังไม่คิดเลย”
       “ก็ควรจะคิดได้แล้ว เพราะดูเหมือนเสด็จพ่อจะทรงเตรียมการบางอย่างไว้ให้ท่านหญิงด้วยนะ” อ้ายบอก
       “อื้อ...จะเตรียมการอะไรได้ พี่ชายทัศน์อยู่ที่สวิตฯ อีกอย่าง...กับพี่ชาย หญิงเองก็ไม่ค่อยสนิทด้วยสักเท่าไหร่”
       อ้ายแปลกใจ “ทำไมล่ะคะ”
       “ก็ไม่ค่อยได้เจอกันน่ะซี หญิงเรียนปีนัง จะได้พบพี่ชายก็ตอนกลับมาช่วงปิดภาค แถมตอนหลังๆ พี่ชายไปเป็นเลขาที่ยุโรป ยิ่งได้พบกันน้อยมาก ครั้งสุดท้ายพี่ชายไปเยี่ยมหญิงที่ปีนังเมื่อปีที่แล้ว ได้พบกันช่วงสั้นๆ เท่านั้นเอง” วรรณรสาเล่าละเอียด
       “หนูอ้ายไม่เห็นเป็นอุปสรรคเลย ถ้ารักกันเสียอย่าง ว่าแต่...ท่านหญิงรักท่านชายแค่ไหนเอ่ย”
       อ้ายและเอื้อยหัวเราะคิกคัก ส่วนวรรณรสาหน้าแดง
       “ไม่รู้ สนิทด้วยตอนเด็กๆ โตขึ้นก็ยังนับถือเป็นพี่ชาย ยังไม่รู้เลยว่าใช่ความรักรึเปล่า”
       พลางวรรณรสาถอนใจ ทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง อ้าย เอื้อยมองหน้ากันยิ่งสงสัยใคร่รู้
       
       ทางด้านรณพีร์เล่าทุกอย่างที่ได้ยิน ได้ฟังที่ดอนเมืองทั้งหมดให้ย่าอ่อนฟังโดยละเอียด หญิงสูงวัยฟังความทั้งหมดด้วยอาการครุ่นคิด
       “นี่ละครับเรื่องทั้งหมด คุณวาดดาวรีบขึ้นรถหนีพี่ชายไปเลย”
       ย่าอ่อนลุกพรวดยืนขึ้นทันที รณพีร์สะดุ้งลุกตาม
       “นังกะแหร่ง”
       “อะไรครับย่าอ่อน”
       “มารยาสาไถยนัก ยายวาดดาวคนนี้ ไม่ได้เรื่องแล้ว”
       ย่าอ่อนผลุนผลันออกไปทันทีหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง รณพีร์บ่นกับตัวเอง
       
       “โธ่...กระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที เลิกเป็นลมแล้ว”

ครู่ต่อมาย่าอ่อนรีบเดินข้ามสวนจากตึกใหญ่ ตรงไปยังเรือนหม่อมเอียด ปากก็บ่นไปด้วยตลอดทาง 
       
       “นี่แหละที่โบราณเขาว่า “ปิดควันไฟไม่มิด ไม่ควรคิดจะกั้นกาง เปรียบชายรักกับนาง ถึงจะปิดไม่มิดควัน” เชอะ”
       ย่าอ่อนตรงเข้าไปในเรือนทันที อย่างร้อนใจ ถลาเข้ามานั่งที่ชานเรือน
       หม่อมเอียดกำลังทานของว่างอยู่ สมศรีกำลังปรนนิบัติใกล้ชิด ย่าอ่อนหอบตัวโยน หม่อมเอียดทักอย่างรู้ทัน
       “เอ้า แม่อ่อน หอบกระเส่ามาเชียว มีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
       “มีเรื่องซีคะคุณพี่ เรื่องใหญ่ด้วย คืออย่างนี้ค่ะ...”
       สมศรีหูผึ่ง กะขอฟังเต็มที่ ย่าอ่อนมองหน้าเขม็ง
       “ยายศรี ไปช่วยยายสายในครัว วันนี้ต้มกะทิสายบัว เคี่ยวให้หัวกะทิแตกมันนะยะ อย่าให้เละเหมือนคราวก่อน”
       “เจ้าค่ะ”
       พอสมศรีลับตัวออกไป ย่าอ่อนพูดเสียงกระซิบ
       “คุณพี่...วันนี้ชายรุจไปเจอใครที่สนามบินรู้ไหมคะ”
       “ฉันไม่ได้จับยามสามตา จะไปตรัสรู้ได้ยังไงล่ะ”
       “แม่วาดดาวค่ะ”
       ผู้เป็นพี่สาวนิ่งฟัง ครุ่นคิดบางประการ แล้วถามออกมา
       “แล้วแม่วาดเขาว่ายังไง”
       “เห็นว่ายังไม่ทันได้เจรจาอะไร แม่นั่นก็ขึ้นรถไปเสียแล้ว”
       “แล้วชายรุจ”
       “ทางเราก็ยังอาลัยอาวรณ์กันไม่ลืมน่ะซีคะ ชายรุจโทร.หาแม่นั่นตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่แม่เจ้าประคุณไม่รับสาย” ย่าอ่อนเล่า
       “ทำไมล่ะ”
       “อิฉันก็ไม่ทราบหรอกค่ะ แต่ถ้าให้เดา ก็คงเล่นองค์ทรงเครื่อง ปั่นหัวชายรุจเล่นนั่นแหละ”
       “แม่วาดดาวคงเรียนจบจากอังกฤษแล้วซีนะ ถึงกลับมาเมืองไทย”
       “ใช่ค่ะ คงจัดฉากขึ้นมา เห็นชายใหญ่ไปส่งน้องมะปรางที่อังกฤษ ก็เลยวางแผนซื้อตั๋วเรือบินกลับมาพร้อมกับชายใหญ่ หวังจะได้มาเจอกับชายรุจ แล้วก็ได้เจอสมใจจริงๆ นี่คงวางแผนจะรื้อฟื้นความรักความหลังกันขึ้นมาอีก” ย่าอ่อนเดาเรื่องเอาเองหมด
       “เอ๊ะ เขาจะทำไปทำไม ก็แม่วาดเขาเป็นคนบอกเลิกชายรุจไปเองไม่ใช่เรอะ”
       “ถ้าน้องเดาไม่ผิด ตอนที่บอกเลิกน่ะ คงเป็นจังหวะที่กลับไปเรียนต่อพอดี คงเจอรักใหม่กับฝรั่งหัวทองเข้า แล้วตอนนี้ไอ้ฝรั่งมันคงเบื่อเฉดหัวทิ้ง ก็เลยต้องซมซานกลับเมืองไทย เลยจะกลับมาคืนดีกับชายรุจใหม่ เพราะรู้ว่าทางเราน่ะ ยังรักยังหลงไม่ลืมหูลืมตา” ท้ายประโยคอดค่อนขอดเหน็บแนมหลายชายคนรองไม่ได้
       “เธอก็อย่างเพิ่งคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะไป”
       “อุ๊ย...ไม่ผิดไปจากที่น้องว่าหรอกค่ะคุณพี่”
       “ฉันแปลกใจจัง แม่อ่อนดูจะไม่สนใจเรื่องคู่หมายของชายรุจไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้เป็นห่วงเป็นใยนัก”
       ย่าอ่อนเก้อไป “ก็...ที่น้องห่วงเพราะกลัวได้สะใภ้ไม่สมฐานะจุฑาเทพน่ะซีคะ ไม่ใช่เรื่องอื่น”
       “อ้อ นึกว่าทำเป็นรังคัดรังแคชายรุจไปอย่างนั้น ที่แท้ก็รักไม่แพ้หลานคนอื่น อาจจะรักมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ จริงไหม” หม่อมเอียดเหน็บเอา
       “อุ๊ย...คุณพี่นี่พาลจัง น้องไม่ใช่พวก เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงหรอกนะคะ”
       ย่าอ่อนค้อนพี่สาว หม่อมเอียดอมยิ้มขำ จนย่าอ่อนเกิดอาการเขินเล็กๆ เสไปหยิบขนมกลีบลำดวนใส่ปากเคี้ยวเล่น
       
       ขณะเดียวกันธราธรยังนั่งคุยกับพุฒิภัทรเรื่องวาดดาวอยู่ในห้องใต้โดม
       “เท่าที่นายเล่ามา พี่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมวาดดาวถึงทิ้งชายรุจไปมันไม่มีเหตุผลเลยนี่นา”
       คุณชายพุฒิภัทรผุดสีหน้าดูแคลนขึ้นเล็กน้อย เมื่อนึกถึงวาดดาว
       “ความไร้เหตุผลเป็นธรรมชาติประจำตัวผู้หญิงอยู่แล้วละครับ”
       ธราธรถอนใจกับความคิดดูแคลนผู้หญิงของน้องชาย
       ระหว่างนั้นรัชชานนท์และรณพีร์เข้ามาสมทบ
       “พี่ชายครับ วันนี้เราทานมื้อค่ำเป็นอะไรกันแน่ อาหารไทยหรือฝรั่ง” รัชชานนท์ถาม
       “ทำไมล่ะ” พุฒิภัทรสงสัย
       “ได้กลิ่นทั้งกะทิสายบัว ทั้งสเต็กน่ะซีครับ”
       ธราธรฉงน “สเต็กเหรอ แล้วใครทำสเต็ก อย่าบอกนะว่าป้าสาย”
       “ป้าสายทำไม่เป็นครับ คนทำเป็นมีคนเดียว...พี่ชายรุจ” รณพีร์บอก
       ทั้งหมดมองหน้ากัน ต่างนึกขึ้นได้ว่าปวรรุจยังเศร้าอยู่จะทำสเต็กได้ยังไง ทุกคนวิ่งออกจากห้องไปในทันที
       
       พริบตาเดียว คุณชายทั้งสี่วิ่งมาที่ห้องครัวฝรั่งในวัง แล้วก็เบรคจนแทบชนกัน เพราะพบว่าในครัวยามนั้นปวรรุจที่มีผ้ากันเปื้อนคาดตัวกำลังเตรียมทอดเนื้อสเต็กจี่บนกระทะ บนโต๊ะมีเครื่องทำน้ำจิ้มแจ่ววางอยู่เพียบ
       ทุกคนเห็นปวรรุจกำลังทำครัวขมักเขม้น ไม่เห็นแววเศร้าอย่างที่เป็นอยู่ก่อนหน้าแม้สักนิด ทั้งสี่มองหน้ากันอย่างประหลาดใจ ปวรรุจกำลังชิมเครื่องปรุง เงยหน้ามาเห็นทั้งสี่หนุ่ม
       “มาพอดีเลย มาช่วยชิมหน่อยครับว่าจิ้มแจ่วนี่พอดีแล้วหรือยัง” 
       ทั้งสี่เข้ามาในห้องครัว พุฒิภัทรมองพี่ชายรองด้วยสายตาพินิจ
       “ชายรุจ” ธราธรเอ่ยขึ้น
       “ครับ” ปวรรุจขานรับ ตายังจดจ่ออยู่กับงานในมือ
       “นาย...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
       ปวรรุจงงๆ “ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ สบายดี”
       บรรยากาศเงียบงันไป คุณชายรุจยังปรุงอาหารต่อไม่ได้สนใจพี่น้องทั้งสี่ รัชชานนท์และรณพีร์เลยทำเฮฮาอย่างเสแสร้ง รัชชานนท์เริ่มก่อน
       “พี่ชายรุจลงครัวเองเลยนะครับ แหม กลิ่นสเต็กของโปรดของพวกเรา ลอยไปถึงชั้นบน ต้องรีบวิ่งลงมาดู”
       รณพีร์เสริม “ลาภปากพวกเราวันนี้ ลองชิมนะครับพี่”
       “ได้เลย” ปวรรุจว่า
       รัชชานนท์และรณพีร์เข้าไปจิ้มสเต็กกับน้ำจิ้มแจ่ว
       “อื้อฮือ ฝีมือไม่มีตก งั้นซี้...เพื่อนๆ ที่อังกฤษถึงชมเปาะว่าฝีมือแจ่วสเต็กพี่ชายรุจเป็นหนึ่งในยอดยุทธจักร”
       “เพื่อนๆ ติดใจกันทุกคน ทั้งพี่ปกรณ์ พี่มานพ พี่ขรรค์ชัย คุณวาดดาว อุ๊ย...”
       รัชชานนท์พูดแล้วชะงักไป รณพีร์สำลักสเต็กออกมา ทว่าปวรรุจไม่มีอาการผิดสำแดงใด ๆ ยังปรุงอาหารไปเรื่อย เห็นเพียงสายตาเจ็บแปลบวูบขึ้น ธราธรและพุฒิภัทรมองน้องทั้งสองอย่างปราม ๆ
       “ให้ชายรุจทำสเต็คให้เสร็จก่อน พอจัดขึ้นโต๊ะแล้วค่อยมาทาน ตอนนี้อย่ารบกวนเลยดีกว่า”
       “ไม่ได้รบกวนอะไรหรอกครับพี่ชายใหญ่ จะทานตอนนี้เลยก็ได้ เพราะผมทำเสร็จแล้ว” ปวรรุจบอก
       “อย่าฝืนเลยชายรุจ เรารู้ว่านายกำลังท้อใจเรื่องคุณวาด” พุฒิภัทรยิงตรง
       “ฉันไม่ได้ฝืนอะไร” ปวรรุจบอกเรียบๆ
       “แต่เก็บตัวเองเงียบอยู่เป็นชั่วโมง นายคงต้องการเวลาทบทวนตัวเองอีกหน่อยละมัง” พุฒิภัทรว่า
       “ไม่จำเป็นแล้วชายภัทร...หมดเวลาสำหรับการท้อใจใดๆ แล้ว ตอนนี้มาทานสเต็กกันให้อร่อยดีกว่า ขอเชิญทุกคน” ปวรรุจยิ้มร่า
       “ยินดีอย่างยิ่งครับ” รณพีร์ยิ้มร่า
       รัชชานนท์และรณพีร์ช่วยกันยกจานสเต็กและเครื่องเคียงไปที่โต๊ะทานอาหาร ธราธรและชายภัทรมองหน้ากัน
       “ชายรุจคงทำใจได้แล้วละ”
       
       ธราธรว่าพลางเข้าช่วยอีกคน เหลือเพียงพุฒิภัทรที่มองพี่ชายรองอย่างรู้ดีว่า ปวรรุจเพียงแค่กลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเองเท่านั้น

ฟากวรรณรสาเดินออกมาส่งอ้ายและเอื้อยที่หน้าตึกใหญ่วังอรุณรัศมิ์ รถส่วนตัวของสองสาวจอดรออยู่แล้ว 
       
       “ท่านหญิง แล้วพรุ่งนี้จะมารับนะ เราไปกินหมี่ที่เยาวราชกัน” อ้ายบอก
       เอื้อยตาม “แล้วเลยไปกินไอศกรีมที่หน้าเฉลิมกรุงด้วย”
       “อยากกินๆ อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ”
       สองสาวขึ้นรถไป วรรณรสาโบกมือ นายเวทย์เดินไปปิดประตูรั้วบ้าน หญิงรสาเดินกลับเข้าตึกไป
       
       เย็นนั้นวรรณรสาเดินเข้ามาที่หน้าห้องทรงอักษร ได้ยินเสียงเสด็จพ่อกำลังพูดโทรศัพท์กับใครสักคน หญิงรสาแง้มประตูเข้ามาฟัง
       “เด็จมาถึงแล้วเหรอ อืมม์ ถ้าชายยังเหนื่อยอยู่ก็ไม่เป็นไร พักผ่อนก่อนก็ได้ อะไรนะ...ไม่เหนื่อย ฮ่ะฮ่ะ ก็ดี งั้นก็รีบเด็จมาให้ทันอาหารค่ำเลยก็แล้วกัน ตกลงนะ”
       ฉัตรอรุณวางหู หันมามองธิดา
       “รับสั่งกับใครอยู่เพคะ”
       ฉัตรอรุณไม่ตอบ “ไม่มีอะไรหรอก นั่งก่อนซีหญิงแต้ว พ่อมีเรื่องจะคุยกับลูก”
       วรรณรสาลงนั่งตรงข้าม
       “เรื่องอะไรคะ”
       “เรื่องชายทัศน์ เรื่องการเสกสมรส”
       วรรณรสาอึ้งไป
       “ปีนี้เป็นปีที่เหมาะที่สุด หญิงแต้วของพ่อเรียนจบแล้ว พอดีกับท่านชายทัศน์จะหมดโพสท์ จะกลับจากสวิตมาอยู่เมืองไทยปีนี้เหมือนกัน พ่อกับเสด็จลุงเลยคุยกันว่า น่าจะถึงเวลาที่ลูกทั้งสองควรจะเสกสมรสกันได้แล้ว”
       วรรณรสาท้วง “เด็จพ่อ แต่ลูกยังไม่อยากแต่ง ประทานเวลาลูกอีกสักปีสองปีไม่ได้เหรอคะ”
       “หึหึ เฉาตายกันพอดี ทำไมต้องรอด้วยล่ะ” ฉัตรอรุณเย้า
       “ลูกยังไม่รู้จักท่านชายดีพอ ชันษาท่านชายห่างจากลูกตั้งสิบปี อีกอย่างลูกยังไม่รู้เลยว่าลูก “รัก” ท่านชายรึเปล่า” วรรณรสาว่า
       ฉัตรอรุณหัวร่อ “ฮ่ะฮ่ะ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกหญิงแต้วของพ่อ อยู่กันไปก็รักกันเองแหละ เอาอย่างนี้ คืนนี้ลูกดินเนอร์กับพ่อ แล้วพ่อจะให้ลูกได้พูดคุยกับชายทัศน์เป็นการส่วนตัว”
       “หืมม์....โทรศัพท์ข้ามทวีปเลยเหรอคะ งั้น...เด็จพ่อต้องประทับอยู่กับลูกด้วยนะ”
       “ได้ซี”
       ฉัตรอรุณหัวเราะอย่างมีเลศนัยบางประการ
       
       ตกตอนกลางคืน คุณชายทั้งห้า สังสรรค์กันอยู่ภายในห้องอาหารวังจุฑาเทพ เห็นรัชชานนท์ และรณพีร์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางอิ่มแปล้ ธราธร กับพุฒิภัทรนั่งจิบเครื่องดื่มกันอยู่ โดยมีปวรรุจเป็นคนผสมเครื่องดื่มให้ตามปรกติ
       “อิ่มมากเลยครับ โอย...แทบคลาน” รัชชานนท์ว่า
       “อย่าเพิ่งคลานพี่ชาย อย่าลืมคืนนี้เรามีแดนซ์ ก็อง ก็อง” รณพีร์บอก
       รัชชานนท์ฉงน “อะไรของนาย ก็อง ก็อง”
       รณพีร์ลุกขึ้นมาทำท่าเต้นระบำ can can พร้อมฮัมทำนองไปด้วย
       “อ้อ มูแลงรูจ” ธราธรว่า
       “ครับ เที่ยวกันเถอะ ฟังเพลงเพราะๆ ดูของสวยๆ งามๆ คลายเครียด นะครับ พี่ชายรุจว่าไง”
       “วันนี้เหนื่อย อยากอยู่กับบ้านมากกว่า” ปวรรุจปฏิเสธ
       “พรุ่งนี้ฉันเข้าเวรเช้า” พุฒิภัทรไม่เอาด้วย
       ธราธรจะปฏิเสธบ้าง รัชชานนท์ดักคอ
       “พี่ชายใหญ่ไม่ต้องพูดเลยครับ ตั้งแต่พี่ชายมีน้องมะปราง พี่ไม่เคยเที่ยวอีกเลย”
       รัชชานนท์และรณพีร์หัวเราะเบา ๆ
       “รู้ก็ดีแล้ว ถ้าจะไปกันสองคน อย่ากลับดึกนักก็แล้วกัน มีงานเช้าด้วยกันทั้งคู่นี่”
       “ครับผม ไปครับพี่ชายเล็ก”
       สองหนุ่มกอดคอกัน แล้วฮัมเพลงพร้อมเต้นระบำแคน แคน ออกจากห้องไป ธราธรเหลียวมามองหน้าปวรรุจ
       “ขึ้นไปคุยกันที่ห้องโดมก่อนไหม ชายรุจ ตั้งแต่กลับมาจากดอนเมืองเรายังไม่ได้คุยกันเลย”
       “ผมตามขึ้นไปก็แล้วกัน ขอจัดการในครัวก่อน”
       ปวรรุจพูดพลางหลบสายตาพี่ชาย แล้วกลับไปที่ครัว พุฒิภัทรสบตากับธราธร อย่างพอจะรู้สภาวะของปวรรุจเป็นอย่างดี
       
       ขณะเดียวกันฉัตรอรุณและวรรณรสาคุยหัวเราะกันเบาๆ ระหว่างร่วมรับประทานอาหาร มื้อค่ำ แลเห็น นมแจ่ม บัว และหนุ่ม มหาดเล็กคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ
       “ถ้าท่านแม่ของลูกยังทรงพระชนม์ชีพ และได้ทอดเนตรลูกตอนนี้ ท่านคงมีความสุขมากที่เห็นลูกหญิงของท่านเติบใหญ่งดงามถึงเพียงนี้”
       วรรณรสาหน้าแดง “เด็จพ่อรับสั่งอะไรไม่รู้ หญิงไม่เห็นตัวเองงดงามตรงไหน ตอนอยู่ปีนัง ทุกคนเข้าใจว่าหญิงเป็นสาวจีนมาจากซัวเถาด้วยซ้ำ เอ...แล้วเมื่อไหร่จะให้หญิงได้โทร.ทางไกลกับพี่ชายทัศน์ล่ะเพคะ”
       “เอาอย่างนี้หญิงแต้ว พ่อไม่ได้ยินหญิงแต้วเล่นไวโอลินมานานแล้วเล่นให้พ่อฟังหน่อยนะ”
       วรรณรสายิ้ม หันไปมองทางประตู มหาดเล็กของวังเดินเข้ามาวางกล่องไวโอลินรอท่าอยู่แล้ว หญิงรสาเดินไปหยิบไวโอลินขึ้นมา
       “เด็จพ่อ จะทรงโปรดฟังเพลงอะไรดีเพคะ”
       “ขอเพลงนี้ละกัน ชั่วฟ้าดินสลาย” ฉัตรอรุณบอก
       วรรณรสายิ้มรับ ลองเล่นเทียบคีย์ดูก่อน แล้วเริ่มบรรเลงเพลงอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
       
       ฉัตรอรุณยิ้มและเคลิบเคลิ้ม ไปกับเสียงเพลง

ที่หน้าห้องอาหาร นมแจ่ม กับบัวสาวใช้ต้นห้อง และหนุ่มมหาดเล็ก ยืนฟังอย่างเคลิ้มคล้อยเช่นกัน
        
       “ท่านหญิงทรงดนตรีเพราะเหลือเกินนะคะ นมแจ่ม”
       “เมื่อเด็กๆ ฉันนี่แหละที่เคี่ยวเข็ญท่านหญิงให้ทรงเข้าเรียนชั่วโมงดนตรี ดูสิ...ไม่เสียแรงเคี่ยวเข็ญ ทรงเล่นได้ไพเราะเพราะพริ้งขนาดนี้”
       แจ่มยิ้มอย่างภูมิใจ หนุ่มมหาดเล็กเหลือบไปแล้วสะดุ้ง
       “นมครับ ดูซีครับ ใครเสด็จมา”
       แจ่ม กับบัวหันไปมอง แล้วสะดุ้งเช่นกัน เมื่อเห็นร่างของชายสูงศักดิ์คนหนึ่งก้าวเข้ามา ทั้งสามทำความเคารพทันที
       
       วรรณรสายังเล่นไวโอลินต่อเนื่อง โดยไม่รู้ตัวว่า ร่างของ หม่อมเจ้าภานุทัศนัยเข้ามายืนอยู่เบื้องหลัง ท่านชายทัศน์ดูงดงามหล่อเหลาในมือถือช่อกุหลาบสวยช่อใหญ่
       ฉัตรอรุณยิ้มทักทายให้ภานุทัศนัย ท่านชายทัศน์ค้อมคำนับ วรรณรสาเล่นเพลงจบท่อน ฉัตรอรุณปรบมือ พร้อมๆ กับภานุทัศนัย
       “ดีใจจังที่ทรงโปรด” 
       วรรณรสานิ่งไปเพราะเสียงปรบมือดังมาจากด้านหลัง วรรณรสาหันไป หม่อมเจ้าภาณุทัศนัย ยิ้มให้ หญิงรสาตะลึง ท่านชายทัศน์ตรงมาหา ทักทายเสียงหวาน
       “หญิงแต้ว”
       “พี่ชายทัศน์”
       “งดงามเหลือเกิน น้องหญิงของพี่”
       ชายทัศน์ก้าวเข้ามาหาวรรณรสา แล้วดึงมือขึ้นจุมพิต ท่ามกลางความชื่นมื่นของทุกคน
       “อะไรงดงามเพคะ” วรรณรสาถาม
       “ทุกอย่างค่ะ ทั้งเสียงเพลง และน้องหญิง” ภานุทัศนัยมองตาซึ้งๆ
       วรรณรสาเขินอาย
       “รับดอกไม้จากพี่ด้วย ทั้งๆ ที่ความงามของมันไม่ได้แค่ครึ่งของความงดงามที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพี่ตรงนี้” ชายทัศน์ป้อคำหวาน
       “ขอบทัยเพคะ”
       “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
       “ยินดีต้อนรับกลับบ้านเช่นกัน ชายทัศน์ มา...ร่วมโต๊ะกันก่อน” ท่านชายฉัตรอรุณเยื้อนยิ้มสีหน้าเบิกบาน
       มหาดเล็กเข้ามาเลื่อนโต๊ะให้ บัวสาวใช้เตรียมจัดจานช้อนอีกที่หนึ่ง
       ฉัตรอรุณถามต่อ “ลงเครื่องมาตอนไหนล่ะ”
       “เมื่อเย็นกระหม่อม เข้าวังแล้ว กระหม่อมก็รีบตรงมาวังอรุณรัศมิ์ทันที”
       “อ้อ นี่เด็จพ่อกับพี่ชายทรงวางแผนหลอกหญิงใช่ไหมคะ ไหนว่าจะให้หญิงโทร.ทางไกลคุยกับพี่ชายที่สวิต” วรรณรสาตัดพ้อ
       “พ่อไม่ได้ปดสักนิด เรื่องโทร.ทางไกลเป็นเรื่องที่หญิงแต้วนึกเอาเอง เพียงแต่พ่อไม่ได้บอกเท่านั้นว่า ชายทัศน์จะเด็จกลับเมืองไทยวันนี้ เพื่อกลับมาพบลูก”
       วรรณรสามองหน้าภานุทัศนัย ท่านชายทัศน์ยิ้มให้อย่างอบอุ่นจนท่านหญิงรสาสะเทิ้น
       
       ตกตอนกลางคืน ปวรรุจรุจเดินจากหน้าห้องตัวเอง ตรงมาทางห้องใต้โดมของวังจุฑาเทพ ซึ่งเปิดไฟสว่างไสว ได้ยินเสียงคุยกันแว่วดังมา
       ซึ่งภายในห้องธราธรนั่งคุยกับพุฒิภัทรเพียงลำพังสองคน
       “ผู้หญิงเป็นเพศที่เข้าใจยากที่สุดในโลก ผู้ชายที่ยึดมั่นในเหตุและผลอย่างชายรุจคงไม่มีวันเข้าใจความไร้เหตุผลของผู้หญิงอย่างคุณวาดดาวแน่ๆ”
       ปวรรุจขมวดคิ้ว ฟังต่อ
       “นายคิดว่าคุณวาดดาวไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ” ธราธรว่า
       “แน่นอนครับ” พุฒิภัทรยืนยัน
       จังหวะนี้ ชายรุจเดินผ่านมาที่หน้าห้องโดมพอดี และได้ยินเข้า /
       “ผมยังไม่เห็นเหตุผลใดๆ ที่เธอจะเลิกรักชายรุจ ทั้งๆ ที่วันที่เธอมาที่นี่ หม่อมย่าเอียดก็ยังเห็นดีเห็นงาม และยังสัญญาว่าจะจัดผู้ใหญ่ไปสู่ขอทันทีที่เธอเรียนจบ”
       “ใช่ นายเคยบอกฉันว่าได้ยินย่าเอียดพูดอย่างนั้น”
       ประตูเปิดเข้ามาทันที ทั้งสองหันไปมอง เห็นปวรรุจยืนหน้าสนเท่ห์มองมา ถามเสียงเครียด
       “มีอะไรที่นายรู้ แต่ฉันยังไม่รู้บ้าง ชายภัทร”
       พุฒิภัทรอึ้งไป
       “เล่ามาทั้งหมด” ปวรรุจบอก
       พุฒิภัทรมองหน้าพี่ชายใหญ่ ธราธรพยักหน้าให้ ชายภัทรยังอึดอัดอยู่
       “ฉันไม่คิดว่าฉันควรจะเล่า”
       ปวรรุจพูดเสียงกร้าว “นายต้องเล่า เพราะฉันอยากรู้ว่าทำไมนายคิดว่าวาดดาวไม่มีเหตุผล”
       
       สองคุณชายเผชิญหน้ากัน

บรรยากาศในห้องโถงใต้โดมของวังจุฑาเทพเวลานั้นดูตึงเครียด ปวรรุจ และพุฒิภัทรเผชิญหน้ากันอยู่อย่างนั้น ธราธรมองหน้าน้องทั้งสอง ก่อนจะพยักหน้าให้พุฒิภัทร
       
       “พูดไปเถอะชายภัทร”
       “ก็ได้ครับ ฉันตัดสินจากที่ฉันได้ยินได้ฟัง เหตุการณ์วันที่นายพาวาดดาวมากราบหม่อมย่าที่นี่”
       
       เหตุการณ์ในห้องรับแขกวังจุฑาเทพ ตอนกลางวันวันนั้นวาดดาวนั่งเคียงอยู่ข้างปวรรุจ พูดคุยสนุกสนานกับธราธร รัชชานนท์ รณพีร์ และพุฒิภัทรที่นั่งห่างออกมา มองวาดดาวอย่างพินิจ แลเห็นว่าปวรรุจมีความสุข และภาคภูมิใจในตัววาดดาวมาก
       ในเวลาต่อมา ขณะที่ปวรรุจและวาดดาวเดินเล่นในสวนฝรั่งของวัง สมศรีเข้ามาเรียนให้เข้าพบหม่อมย่าเอียด
       ครู่ต่อมาวาดดาวก้มลงกราบทั้งหม่อมเอียดและย่าอ่อน ที่เรือนของหม่อมเอียด สองคนมองวาดดาวอย่างปราณี ปวรรุจอยู่ด้วย ธราธรและพุฒิภัทรตามมาเป็นเพื่อน วาดดาวเล่าเรื่องราวตัวเองตามที่หม่อมเอียด และย่าอ่อนซักประวัติ
       
       ขณะที่พุฒิภัทรเดินออกจากเรือนหม่อมเอียด ผ่านศาลากลางสวน และเห็นหม่อมเอียดกำลังคุยส่วนตัวกับวาดดาว
       
       พุฒิภัทรเล่าเรื่องราวในวันนั้น ที่ยังแช่มจัดอยู่ในห้วงมโน
       “ตอนที่กำลังออกมาจากเรือนหม่อมย่า ฉันได้ยินหม่อมย่าพูดกับวาดดาว”
       
       “ถ้ารักกันจริง และเธอทำให้ชายรุจมีความสุข ฉันก็ยินดีที่จะต้อนรับเธอมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของเรา”
       วาดดาว ไหว้ “ขอบคุณค่ะหม่อมย่า”
       “ขออย่างเดียวให้เธอเรียนให้จบเสียก่อน นี่ยังเหลืออีกปีเดียวใช่ไหม” หม่อมเอียดถาม
       “ใช่ค่ะหม่อมย่า”
       “ดีแล้ว...เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะจัดผู้ใหญ่ไปสู่ขอตามธรรมเนียม”
       “กราบหม่อมย่าค่ะ”
       วาดดาวกราบหม่อมย่าแทบตัก หม่อมย่าลูบเรือนผมของวาดดาวอย่างเอ็นดู พุฒิภัทรมองภาพเบื้องหน้าอย่างสุขใจแทนพี่ชาย
       
       พุฒิภัทรเล่าเรื่องจบลง ปวรรุจนิ่งฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยขึ้น
       “ฉันก็ไม่เห็นว่าวาดดาวจะเป็นอะไรอย่างที่นายกล่าวหา”
       “นายอย่าให้ความรักมันมาบังตาหน่อยเลย ทั้งๆ ที่หม่อมย่าเห็นชอบความรักของนายกับวาดดาวขนาดนี้ จะมีเหตุผลอะไรได้ที่วาดดาวจะทิ้งนายไป นอกจาก...”
       “นอกจากอะไร” ปวรรุจซักทันที
       “นอกจากวาดดาวไม่ได้รักนายจริงน่ะซี แล้วบางทีเธออาจจะมีผู้ชายคนอื่น” พุฒิภัทรว่า
       “ไม่จริง” ปวรรุจเถียง
       “ชายรุจ นายน่ะยังอ่อนหัดกับผู้หญิงอยู่มาก โดยเฉพาะผู้หญิงเจนจัดแบบวาดดาว” พุฒิภัทรเสริม
       ปวรรุจฉุน “อย่าดูถูกวาดดาวแบบนั้น วาดดาวไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่นายคิด”
       “นายเมื่อนายหลอกตัวเองแบบนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้ว”
       พุฒิภัทรเดินออกจากห้องไปทันที ธราธรถอนใจ มองหน้าน้องชาย
       “พี่น้องอย่ามาขัดใจกันด้วยเรื่องแบบนี้ นายคิดว่าเหตุผลที่วาดดาวทิ้งนายไปคืออะไร”
       “เธอบอกมาในจดหมายว่า เธอต้อยต่ำเกินไปสำหรับความเป็นจุฑาเทพของผม”
       “เป็นเหตุผลที่อ่อนด้อยเหลือเกิน พี่เห็นว่านายน่าจะรับฟังความคิดของชายภัทรบ้าง”
       “ทำไมครับ”
       “พี่ยังไม่ได้เล่าใช่ไหมเรื่องที่พี่เจอวาดดาวบนเครื่อง”
       ปวรรุจนิ่งรอฟัง
       
       ภาพเหตุการณ์ในเครื่องบินตอนกลางคืนผุดขึ้นมาในความคิดคุณชายใหญ่
       ขณะที่ธราธรกำลังลุกจะไปทำธุระที่ห้องน้ำ เจอเข้ากับวาดดาวที่เดินสวนมาพอดี วาดดาวตกใจ ธราธรเองก็แปลกใจไม่น้อย
       “คุณชายใหญ่”
       “คุณวาดดาว สวัสดีครับ”
       วาดดาวรีบไหว้ “สวัสดีค่ะ”
       “คุณวาดเรียนจบแล้วใช่ไหม”
       “ค่ะ จบแล้ว แต่ยังไม่กลับเมืองไทย ตอนนี้ฉันทำงานที่ร้านอาหารคนไทยที่อังกฤษ”
       ธราธรฟังแล้วงง “อ้าว...ตอนนี้คุณกำลังกลับเมืองไทยอยู่นะครับ”
       วาดดาวหลบตา ไม่กล้าบอกว่าตนจะกลับไปแต่งงาน
       “อ้อ...ค่ะ ฉันกลับมาแค่ช่วงสั้นๆ เพื่อจะกลับไปอีก และคงอยู่ต่างประเทศถาวร”
       ธราธรไม่กล้าซักถามอะไรต่ออีก
       วาดดาวเป็นฝ่ายถาม “เออ...คุณชายรุจเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหมคะ”
       “ครับ สบายดี ชายรุจกำลังจะเดินทางไปสวิต”
       วาดดาวมีสีหน้าแปลกใจ “เหรอคะ ไปเที่ยวหรือทำงาน”
       “ทำงานครับ เตรียมการประชุมระดับประเทศที่เจนีวา”
       วาดดาวชะงัก กำลังคิดเรื่องการแต่งงานที่ตนจะไปอยู่ที่สวิตเช่นกัน
       “คุณวาดดาว...ชายรุจยังคิดถึงคุณอยู่” ธราธรเอ่ยขึ้น
       วาดดาวเจ็บวูบขึ้นมา “ปีก่อน ฉันเขียนจดหมายไปบอกแล้วนี่คะว่า ความสัมพันธ์ของเราต้องยุติลงเท่านี้”
       “ตราบใดที่คุณยังไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงให้เขาฟัง ชายรุจไม่มีวันตัดคุณไปจากใจเขาได้”
       “บอกคุณชายด้วยว่าให้ลืมเรื่องของเราไปเสียเถอะค่ะ มันไม่มีค่าอะไร”
       “คุณบอกกับชายรุจเองดีกว่านะครับ”
       “ไม่ค่ะ ฉันคงไม่พบเขาอีกแล้ว ขอให้เรื่องจบลงเท่านี้เถอะ ขอตัวนะคะ”
       
       วาดดาวขอตัวแล้วแยกไป ธราธรมองตามพลางคิดในใจ คงช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

ได้ฟังที่พี่ชายเล่า ปวรรุจถึงกับนิ่งงัน สีหน้างุนงงและเหน็ดเหนื่อย 
       
       “ไปอยู่ต่างประเทศถาวร หมายความว่าอะไรครับพี่ชายใหญ่”
       “คิดได้อย่างเดียว เธอคงแต่งงาน” ธราธรลำบากใจ แต่ต้องพูด
       ปวรรุจนิ่งงันไป
       “พี่กับชายภัทรได้วิเคราะห์เรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายภัทรถึงพูดออกมาแบบนั้น อย่าโกรธกันเลยนะ”
       ปวรรุจเสียงเครือ “ไม่หรอกครับพี่”
       “พี่รู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่ชายรุจต้องทำใจ เข้มแข็งไว้”
       “ครับ”
       ปวรรุจสุดจะกลั้นน้ำตาไหลพรากออกมา แต่รีบเบือนหน้าหลบธราธร
       “ผมคงหลอกตัวเองอย่างที่ชายภัทรว่า มันเป็นสิ่งผมคิดอยู่ทุกวัน เขาคงมีรักใหม่ แต่ผมก็ปฏิเสธตัวเองมาตลอดว่ามันไม่ใช่ เขายังรักผมอยู่ ผมไม่กล้าที่จะคิดว่าเขามีชายอื่น” ปวรรุจสารภาพ
       “ความจริงมันเหมือนบาดแผล จะเยียวยามันได้ ก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแผลก็ไม่มีวันหาย” ธราธรปลอบน้อง
       “ครับพี่”
       ปวรรุจร้องไห้ออกมา ธราธรสงสารนักดึงน้องชายเข้ามากอดไว้ ชายรุจร้องไห้สะอื้นกับไหล่แข็งแรงของพี่ชายใหญ่
       
       ต่างจากบรรยากาศในห้องนั่งเล่นวังอรุณรัศมิ์ยามนั้น วรรณรสาและภาณุทัศนัยคุยกันอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสวยงาม มือถือเครื่องดื่มกันทั้งคู่ หญิงรสายังเขินอาย
       “ยังไงกันคะ พี่ชายทัศน์ เด็จกลับมาเมืองไทยครั้งนี้เพียงเพื่อมาพบหญิงจริงๆ หรือ”
       “หึหึ เด็จพ่อพูดเอาใจหญิงน่ะ ที่จริงพี่กลับมาด้วยเรื่องงาน”
       “หญิงว่าแล้วเชียว งานอะไรคะ”
       “เตรียมการประชุมโลกที่เจนีวา เรื่องกฎหมายทางทะเล พี่อยู่แค่ช่วงสั้นๆ สองสามวันเท่านั้น แล้วต้องรีบกลับไปเตรียมงานต่อที่สวิต”
       “ประทับอยู่แค่สองสามวันเองหรือคะ”
       “ค่ะ แต่ก็ดีใจเหลือเกินที่ได้พบหญิงแต้ว ไม่ต้องห่วงนะ เราจะใช้เวลาสามวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด พรุ่งนี้พี่จะมารับไปเหวยมื้อค่ำและฟังเพลงเพราะๆ กัน”
       “ค่ะ”
       “อ้อ พี่มีของขวัญให้หญิงแต้วด้วย รู้ว่าหญิงแต้วจะต้องโปรด”
       ภาณุทัศนัยเดินไปหยิบกล่องของที่วางแอบไว้มุมห้อง มาส่งให้ เมื่อวรรณรสาเปิดกล่องออก พบว่าเป็นตุ๊กตาไบลด์ ลิลลี่ ดอลล์ ผมสีบลอนด์ทองสวย ปากแดงเป็นรูปกระจับ”
       “อุ๊ย...ไบลด์ ลิลลี่”
       “จำได้ไหม ที่หญิงแต้วบอกว่าอยากได้เหลือเกิน ก่อนมาพี่แวะไปที่เยอรมันพอดี ก็เลยซื้อมาฝาก”
       “พี่ชายคะ หญิงบอกพี่ชายเมื่อหลายปีมาแล้ว ยังทรงจำได้อีกหรือคะ”
       “สิ่งที่หญิงบอกพี่ทุกอย่าง พี่ไม่เคยลืม”
       “ตอนนั้นหญิงยังเด็ก ยังอยากเล่นตุ๊กตา แต่ตอนนี้หญิงโตแล้วนะคะ”
       “จริงซีคะ พี่ลืมไปเลย หญิงแต้วไม่ใช่น้องหญิงองค์น้อยของพี่อีกแล้ว แต่ก็กรุณารับไว้เถอะนะ เพราะพี่ตั้งชื่อให้เธอแล้ว”
       “ชื่ออะไรคะ ก็ชื่อ ไบลด์ ลิลลี่อยู่แล้ว”
       “ไม่...ตัวนี้ชื่อ “หนูแต้ว” สำหรับหญิงแต้วของพี่”
       วรรณรสาหยิบไบลด์ ลิลลี่ออกมาดูอย่างชื่นชม
       “ค่ะ...หนูแต้ว”
       วรรณรสายิ้มเปี่ยมสุข ภาณุทัศนัยยิ้มอบอุ่น
       
       ตอนกลางวัน วันรุ่งขึ้น มีการจัดประชุมขึ้นที่ห้องประชุมของกระทรวงการต่างประเทศ วังสราญรมย์
       ผู้ร่วมประชุมมี ท่านอธิบดีเชษฐา ภาณุทัศนัย ปวรรุจ ปรีชาและทีมคณะที่จะเดินทางไปเตรียมการประชุมที่เจนีวาอีกสามสี่คน เป็นชายล้วน มีเลขาสาวช่วยบันทึกวาระการประชุมอีกนางหนึ่ง เอกสารวางกองเต็มตรงหน้าทุกคน ปวรรุจมองภาณุทัศนัยด้วยสีหน้าปลาบปลื้มในความสง่างามสมชายชาตรีราชนิกุลหนุ่ม
       เชษฐาเริ่มการประชุม
       “ท่านชายทัศน์เสด็จกลับมากรุงเทพฯ พอดี ผมก็เลยทูลเชิญท่านชายทรงอบรมพวกคุณให้เตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการไปเตรียมการประชุมกฎหมายทางทะเลครั้งนี้ เป็นพระกรุณาของฝ่าบาทอย่างยิ่ง”
       “ไม่เป็นไรมิได้ พวกคุณคงอ่านเอกสารเรียบร้อยแล้วนะ มีข้อสงสัยอะไรรึเปล่า” ภาณุทัศนัยว่า
       “กระหม่อมติดใจคำศัพท์สองคำ คือ ทะเลอาณาเขต กับคำว่า ทะเลหลวง น่ะครับ ท่านชายทรงกรุณาอธิบายให้กระจ่างสักหน่อยแล้วแต่จะโปรด” ปรีชาเอ่ยขึ้น
       ท่านชายทัศน์หัวเราะ
       “ใช้คำปรกติสามัญเถอะครับ ไม่ต้องใช้คำหรู ขนาดนั้น เราจะต้องทำงานร่วมกันที่เจนีวาอีกร่วมเดือน ถือว่าคนกันเองก็แล้วกัน ท่านอธิบดีด้วยนะครับ”
       ทุกคนยิ้มกับความมีไมตรีของภาณุทัศนัย ท่านอธิบดีเชษฐายิ้มหน้าบ้าน ปวรรุจยิ่งเป็นปลื้มท่านชายทัศน์มากยิ่งขึ้น
       
       ขณะเดียวกันสามสาว วรรณรสา อ้าย และเอื้อย ต่างกำลังทานอาหารจีนอย่างเอร็ดอร่อยที่ภัตตาคารจีนในเยาวราช
       “หญิงขอบอกเลยนะ อาหารจีนเยาวราชของเรานี่แหละที่อร่อยที่สุด ไม่ว่าจะที่ฮ่องกง มาเก๊า หรือมาเลย์ ไม่มีใครสู้ของไทยได้” วรรณรสาเอ่ยขึ้น
       “อุ๊ย จริงเหรอ หนูอ้ายไม่รู้หรอก เพราะไม่เคยไปกินที่เมืองไหน นอกจากเยาวราชกับราชวงศ์”
       วรรณรสาหัวเราะคิกคัก
       “อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องซีท่านหญิง ยังเล่าไม่จบเลย เมื่อคืนท่านชายตรัสกับท่านหญิงว่ายังไงอีก หลังจากเซอร์ไพรส์ด้วยการเด็จมาหาจากสวิต” เอื้อยถาม
       “ไม่ตรัสว่ายังไง แต่...มีของขวัญที่พี่ชายทรงซื้อมาจากเยอรมัน เห็นแล้วอย่าอิจฉานะ”
       
       สองแฝดอยากรู้ ลุ้นเต็มที่

วรรณรสาหยิบตุ๊กตาไบลด์ ลิลลี่ ออกมาจากกระเป๋าสองแฝดอุทานลั่น 
       
       “ไบลด์ ลิลลี่”
       ทั้งคู่รับตุ๊กตามาดู
       “สวยที่สุดเลย ผมบลอนด์เหมือนของจริงด้วย” อ้ายตื่นเต้นสุดๆ
       “ท่านทรงตั้งชื่อประทานด้วย ชื่ออะไรรู้ไหม”
       สองแฝดส่ายหน้า
       “ชื่อ...หนูแต้ว”
       สองแฝดส่งเสียงชอบใจ
       “พี่ชายทัศน์ยังทรงจำได้ว่าหญิงอยากได้ ไบลด์ ลิลลี่ เมื่อหลายปีก่อน สมัยยังเรียนไฮสกูลอยู่เลย”
       “ทรงจำแม่นยำขนาดนี้ แสดงว่า...ทรงรักท่านหญิงมากๆ คงรักมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์แน่ ๆ” เอื้อยยิ้มพราย
       “จริงเหรอ” วรรณรสาเคลิ้มฝัน “นี่ใช่ไหมที่เรียกว่า...ความรัก”
       วรรณรสารู้สึกหวามไหวขึ้นในใจ
       
       การประชุมเสร็จสิ้น บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมทยอยกันออกจากห้อง ท่านอธิบดีเชษฐานำออกไป เหลือปวรรุจที่กำลังเก็บเอกสาร และภาณุทัศนัย ที่กำลังเก็บเอกสารเช่นกัน ชายรุจตรงเข้าไปหาท่านชายทัศน์ แนะนำตัว
       “ฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่ได้แนะนำตัวให้ฝ่าบาท...”
       “อ้าว...ผมบอกแล้วไง ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ พูดปรกติธรรมดานั่นแหละ ผมไม่ถือ” ภาณุทัศนัยว่า
       “ขอบพระทัย...เออ ขอบคุณครับ ผมขอแนะนำตัวก่อน ผมหม่อมราชวงศ์ปวรรุจ จุฑา...”
       ภาณุทัศนัยโบกมือทันที
       “ไม่จำเป็นเลยคุณชาย ตอนนี้สังคมกรุงเทพฯ มีใครบ้างที่ไม่รู้จัก “ห้าสิงห์จุฑาเทพ” ผมรู้จักคุณดี คุณชายปวรรุจ คุณชายลำดับสองของจุฑาเทพ”
       “เหรอครับ ผมนึกว่าท่านชายอยู่ที่สวิตมานาน คงไม่รู้จักผมหรือตระกูลผมสักเท่าไหร่”
       “ถึงจะอยู่สวิต ผมก็ตามข่าวคราวเมืองไทยตลอดนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
       ภาณุทัศนัยยื่นมือมาให้จับ ปวรรุจจับมือท่านชายทัศน์อย่างปลื้มปิติ
       “เป็นความกรุณาของท่านชายมากครับ ที่ให้เกียรติผมขนาดนี้ ที่จริงผมเองก็ขอแสดงความยินดีกับท่านชายด้วยเช่นกัน”
       “เรื่องอะไรมิทราบ”
       “เรื่องพระคู่หมั้นของท่านชายไงครับ หม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์...ท่านหญิงแต้ว”
       ภาณุทัศนัยยิ้มเจื่อน
       “พูดเหมือนคุณรู้จักหญิงแต้วอย่างนั้น”
       “ครับ เคยรู้จักตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว เพราะผมเคยตามคุณย่าไปเที่ยวที่วังอรุณรัศมิ์อยู่บ่อยๆ ไปเป็นเพื่อนเล่นของท่านหญิงน่ะครับ”
       น้ำเสียงภาณุทัศนัยหยันนิดๆ “เป็นเพื่อนเล่นงั้นหรือ” 
       “ใช่ครับ”
       “แล้วตอนนี้ล่ะ”
       “ไม่ได้เจอท่านหญิงอีกเลย คงจำกันไม่ได้แล้วละครับ”
       ภาณุทัศนัยมองปวรรุจอย่างประเมินบางอย่าง
       “ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยเถิด ว่าท่านหญิงวัยเด็กในมุมมองของคุณเป็นอย่างไร เชิญที่ห้องผมดีกว่า”
       “ครับ”
       
       ฝ่าย วรรณรสา อ้าย และเอื้อย คุยกันต่อพร้อมรับประทานทานไปด้วย
       “เดี๋ยว ท่านหญิง ยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ท่าอากาศยานให้เรารู้เลย” อ้ายถามขึ้น
       “หืมม์ เรื่องอะไรเหรอ”
       เอื้อยรีบบอก “ก็เรื่องพี่น้องจุฑาเทพน่ะซีคะ คนที่ท่านหญิงเรียกว่า “พี่ชายรุจ” น่ะ”
       “อ๋อ....คุณชายปวรรุจ” วรรณรสาว่า
       “เขาจำท่านหญิงไม่ได้หรอกเหรอ” อ้ายแปลกใจ
       “คงอย่างนั้นมั้ง เพราะเราไม่ได้เจอกันอีกเลยตั้งแต่ที่คุณชายไปเรียนต่อที่อังกฤษกันหมด คุณย่าอ่อนก็ไม่ได้มาเยี่ยมหญิงอีกเลย”
       “ใครเป็นใครงงไปหมดแล้ว คุณย่าอ่อนคือใครคะ”
       วรรณรสารำลึกถึงความหลังในวัยเด็ก
       
       เมื่อยี่สิบปีก่อน หม่อมเจ้าหญิงวริษา ที่ยังสาวสวย นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนสวยของวังอรุณรัศมิ์ พระองค์เจ้าฉัตรอรุณอุ้มท่านหญิงแต้ว หรือ วรรณรสา ชันษาขวบกว่าๆ อยู่ในอ้อมอก แลเห็นย่าอ่อนนั่งรับใช้ท่านหญิงอย่างใกล้ชิดอยู่ข้างๆ
       นมแจ่มรับวรรรสามาอุ้มแทน แล้ววางบนบนเบาะรถเข็น มีข้าราชบริพารทั้งชายและหญิงคอยดูแลอีกหลายคน บรรยากาศอบอุ่นงดงาม
       
       เสียงวรรณรสาบรรยาดังขึ้น
       “คุณย่าอ่อนเคยเป็นพระพี่เลี้ยงของท่านแม่มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จนกระทั่งท่านแม่ทรงจากหญิงไป คุณย่าอ่อนก็ลาออกจากวัง แต่ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนหญิงเสมอ เพราะท่านรักหญิงมาก”
       
       อีกเหตุการณ์ต่อมาที่วรรณรสาจดจำได้แม่
       ย่าอ่อนในวัยวันที่ดูแก่กว่าเดิมอีกนิด ยืนยิ้มอยู่ที่สนามหน้าตึกวังอรุณรัศมิ์ เข้ากอดท่านหญิงวรรณรสาในวัยหกขวบ
       วรรณรสาอยู่ในชุดน่าเอ็นดู ข้างๆ เห็นนมแจ่ม และบัวสาวใช้ต้นห้องดูแลอยู่ มีถุงของฝากวางเต็มพื้น
       เสียงวรรณรสาเล่าบรรยายดังขึ้น “มาทีไร คุณย่าก็จะพาหลานชายของย่าอ่อนทั้งห้าคนมาเป็นเพื่อนเล่นของหญิงเสมอ เพราะท่านกลัวว่าหญิงจะเหงา” 
       “ท่านหญิงแต้วของหม่อมฉัน ทอดเนตรซีเพคะ ดูว่าวันนี้มีใครมาเป็นเพื่อนเล่นท่านหญิงบ้าง”
       วรรณรสามองตรงไป แล้วทำหน้าเบื่อ ย่าอ่อนกวักมือเรียกคุณชายทั้งห้า
       “มาเร้วหนุ่มๆ”
       ที่ข้างรถหรู คุณชายทั้งห้า แต่งตัวเรียบร้อย สวมกางเกงขาสั้น ผูกหูกระต่าย ใส่เอี้ยม แต่งตัวแต่งชุดเป็นเสื้อทีมทั้งห้าคน ไล่ตั้งแต่ธราธรวัย 13 ปวรรุจ และพุฒิภัทร วัย 12 เท่ากัน รัชชานนท์ วัย11 และรณพีร์วัย10 ขวบ คุณชายทั้งห้าเดินตรงมาพร้อมกันทั้งทีม ด้วยลีลาเฉพาะตัว
       ธราธรเดินอย่างองอาจมั่นคง ขนาบด้วยปวรรุจ และพุฒิภัทร ที่ดูสุขุม ส่วนรัชชานนท์ที่ดูซุกซน คอยวิ่งไล่จับรณพีร์ที่วิ่งหายไป ดึงให้มาเข้าทีมอีกครั้ง
       
       ภายในร้านอาหารจีน อ้ายและเอื้อยฟังแล้วต่างอุทานออกมาพร้อมกัน
       “เด็กพวกนั้นคือคุณชายจุฑาเทพ”
       “คุณย่าอ่อนเป็นคุณย่าของคุณชายทั้งห้า” เอื้อยตื่นเต้น
       “ใช่จ้ะ หญิงถึงรู้จักคุณชายตั้งแต่สมัยเด็กไง”
       “แล้วทำไมต้องทำพักตร์บึ้งตึง ไม่โปรดหรอกหรือคะ” อ้ายถาม
       “ฮึ...เด็กผู้ชายน่าเบื่อจะตาย”
       
       ภาพครั้งวัยเด็กผุดขึ้นในความคิดของวรรณรสาหลังประโยคนั้น

 ครั้งนั้นที่สนามหน้าวังอรุณรัศมิ์ เด็กชายทั้งห้ามายืนเรียงแถวตรงหน้าวรรณรสา คุณชายทั้งห้ามองท่านหญิงอย่างรำคาญ วรรณรสาเองก็มองทั้งห้าอย่างรังเกียจ เสียงย่าอ่อนเอ็ดขึ้น
       
       “อ้าว...หนุ่มๆ ทำไมเสียมารยาทอย่างนี้ ถวายบังคมท่านหญิงซี”
       นั่นแหละทั้งห้าถึงยอมคำนับ วรรณรสาค่อยยิ้มออก แต่แล้วก็สะดุ้ง เพราะรณพีร์แลบลิ้นใส่ แถมรัชชานนท์หัวเราะร่าชอบอกชอบใจ ท่านหญิงหน้าง้ำ
       
       เวลาต่อมา พี่น้องทั้งห้ากำลังสนุกสนานเมามันด้วยการเล่นปาลูกบอลอยู่ในบึงน้ำกว้างในสวนของวัง ส่งเสียงเอะอะ รณพีร์และรัชชานนท์ใส่ห่วงยางอยู่ในน้ำตื้น
       วรรณรสากอดตุ๊กตากระต่ายตัวเก่าไว้ มองเหล่าเด็กชายเล่น และอยากลงไปเล่นบ้าง แต่ไม่มีใครชวนลูกบอลกระเด็นมาใกล้หญิง ปวรรุจวิ่งมาเก็บลูกบอลแล้วปากลับไป
       “หญิงอยากลงไปเล่นบ้าง”
       “ไม่ได้ ท่านหญิงห้ามลงน้ำเด็ดขาด”
       “แล้วทำไมพวกพี่ชายถึงลงได้”
       “หม่อมเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแออย่างท่านหญิง”
       ชายรุจจะวิ่งไป หญิงแต้วรีบพูด
       “ยังไปไหนไม่ได้นะ พี่ชายรุจต้องเล่นกับหญิง”
       “ไม่”
       “ถ้าไม่ หญิงจะไปฟ้องคุณย่าอ่อนว่าพี่ชายรุจดื้อกับหญิง”
       ชายรุจนิ่งอึ้งไป หญิงแต้วหน้าเชิดเต็มที่
       
       ในเวลาเดียวกันปวรรุจกำลังเล่าเรื่องในอดีตให้ท่านชายฟัง ในห้องทำงานของชายทัศน์ ที่มีห้องเชื่อมไปยังห้องเก็บเอกสารด้านใน
       “ครับ ที่พวกเราสนุกกันเพราะเราเล่นกันเองมากกว่า ท่านหญิงไม่ได้ทรงเล่นกับพวกเราเลย”
       ทัศน์มองรุจอย่างประเมิน มีแววไม่พึงใจอยู่นิดๆ “แล้วพอหญิงแต้วขู่อย่างนั้นคุณทำยังไง”
       ปวรรุจเจื่อนไปนิดหน่อย นึกถึงคำพูดของวรรณรสาแล้วสะเทือนใจวูบขึ้นมาเล็กๆ
       “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็ต้องยอมเล่นกับท่านหญิงจนได้”
       “เล่นอะไรกัน”
       “ขี่ม้าส่งเมืองน่ะครับ”
       ชายทัศน์หัวเราะ ปวรรุจหัวเราะตาม ไม่ทันรู้ว่าสายตาของชายทัศน์นั้นมีแววดูถูกเล็กๆ
       
       ฟากอ้ายและเอื้อยฟังเรื่องของสองคนอย่างรื่นรมย์
       เอื้อยซักถามต่อ “ตกลงคุณชายรุจเป็นคนเดียวที่ยอมเล่นกับท่านหญิงเหรอคะ”
       “ใช่”
       “แค่ขู่ว่าไปฟ้องคุณย่าอ่อนก็ยอมแล้ว” อ้ายซักอีก
       “จริงๆ ไม่ใช่แค่เท่านี้หรอก หญิงพูดมากกว่านั้นอีก”
       “พูดว่าอะไรคะ” อ้ายอยากรู้เต็มทน
       ใบหน้าวรรณรสาสลดลงไปนิดหนึ่ง เมื่อนึกถึงภาพจำที่เกิดขึ้นที่บึงน้ำในสวนอรุณรัศมิ์ครั้งอดีต
       
       วันนั้นวรรณรสาหน้าเชิด พูดชัดถ้อยชัดคำอย่างวางอำนาจ
       “พี่ชายรุจต้องรับใช้หญิง เพราะพี่ชายรุจเป็นคนรับใช้ คุณย่าอ่อนบอกว่าแม่ของพี่ชายรุจก็เป็นคนรับใช้เหมือนกัน”
       ปวรรุจโกรธตัวสั่น พูดเสียงดัง
       “หม่อมไม่ใช่คนรับใช้ ถึงจะทรงเป็นเจ้าหญิงหน้ามอมมาจากไหน ก็ใช่ว่าจะมาออกคำสั่งกับหม่อมได้”
       “อย่ามาขึ้นเสียงนะ คุณชายคนรับใช้ คุณชายก้นครัว”
       ปวรรุจโมโหดึงกระต่ายจากมือของวรรณรสา ท่านหญิงพยายามแย่งคืน
       “เอาคืนมานะ”
       ปวรรุจขู่ “ถ้าว่าหม่อมอีก หม่อมจะฉีกกระต่ายเน่านี่ทิ้ง แล้วหม่อมจะไม่พูดกับท่านหญิงอีกเลยแม้แต่คำเดียว หม่อมจะถือว่า ท่านหญิงเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แต่หม่อมเป็นประชาชนต่ำต้อย หม่อมจะไม่อาจหาญพูดด้วยเลยตลอดชีวิต”
       วรรณรสาตะลึงไป แล้วสะอื้นออกมา ปวรรุจมองอย่างตกใจ
       “ท่านหญิงอย่าร้องนะ เอ้า คืนแล้ว”
       ปวรรุจส่งกระต่ายเน่าคืนให้วรรณรสา แต่ท่านหญิงยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เหมือนเดิม
       “อ้าว...คืนแล้วทำไมท่านหญิงยังทรงร้องไห้อยู่ล่ะ”
       “ก็พี่ชายจะไม่พูดกับหญิงแล้ว พี่ชายใจร้าย”
       ปวรรุจนิ่งงันไปเพราะวรรณรสาห่วงเรื่องไม่พูดด้วย ยิ่งกว่าห่วงตุ๊กตากระต่าย ชายรุจใจอ่อนยวบลง
       “หม่อมพูดด้วยก็ได้ แต่ท่านหญิงอย่าทรงเรียกหม่อมว่า คุณชายก้นครัวอีก”
       “ไม่พูดอีกแล้ว หญิงขอโทษพี่ชาย”
       ปวรรุจยิ้มออก โค้งคำนับให้ “ขอบพระทัยฝ่าบาท ท่านหญิงทรงอยากเล่นอะไรดี”
       “ขี่ม้าส่งเมือง”
       วรรณรสายิ้มหน้าบานแฉ่ง
       
       ไม่นานต่อมาวรรณรสาขี่หลังปวรรุจวิ่งไปรอบๆ สนาม วรรณรสาหัวเราะเอิ๊กอ้ากชอบใจ ปวรรุจพลอยหัวเราะตาม
       วรรณรสายังรำลึกถึงความหลังอย่างสุขใจ
       “น่ารักจัง คุณชายปวรรุจ” เอื้อยว่า
       อ้ายคาใจเรื่องเมื่อวาน “แต่เมื่อวานคุณชายกลับมองท่านหญิงเหมือนอากาศธาตุ”
       “เขาคงลืมไปหมดแล้วละ เพราะจากนั้นไม่นานเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย หลังจากท่านพ่อและหม่อมทั้งสี่ของคุณชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตพร้อมกัน คุณชายก็ถูกส่งตัวไปเรียนต่อที่อังกฤษ”
       เอื้อยท้วง “แต่ท่านหญิงยังจำคุณชายได้”
       “หญิงไม่เคยลืม “พี่ชายรุจ” หรอก แต่ทางเขาคงจำหญิงไม่ได้อีกแล้ว”
       วรรณรสายิ้มเศร้าๆ ให้กับอดีต 
       “ผู้ชายลืมง่ายจริง ๆ ท่านหญิงลืมเรื่องนายคุณชายก้นครัวคนนี้ดีกว่า แล้วเรามาหาเรื่องสนุกๆ ทำกัน” อ้ายว่า
       “เรื่องอะไรเหรอ” วรรณรสาตื่นเต้น 
       อ้ายกระซิบข้างหู วรรณรสาหัวเราะพยักหน้าเห็นด้วย
       
       เอื้อยเนื้อเต้นอยากรู้ด้วย “หนูอ้าย บอกบ้าง อยากรู้”

ทางด้านปวรรุจเล่าเรื่องวรรณรสาทั้งหมดจบลงพอดี ภาณุทัศนัยถามขึ้น
       
       “แล้วตอนนี้ถ้าคุณชายเจอหญิงแต้ว จะยังจำได้อยู่รึเปล่า”
       “ไม่แน่ใจครับ เพราะตอนนั้นท่านหญิงยังเด็กเหลือเกิน ชันษาคงไม่เกินเจ็ดขวบ”
       “อืมม์ ผมไม่รบกวนคุณชายแล้ว กลับไปทำงานเถอะ”
       “ครับ”
       ทั้งสองลุกจากเก้าอี้ ปวรรุจทำความเคารพแล้วจะออกจากห้องไป ท่านชายทัศน์เอ่ยขึ้น
       “อ้อ ขอบอกอะไรอย่างคุณชาย”
       “ครับ”
       “กับผม ผมอนุญาตแล้วให้ใช้คำสามัญ แต่กับหญิงแต้ว คุณชายควรจะพูดถึงอย่างให้เกียรติในพระยศของท่านหญิง เข้าใจว่าเป็นเพื่อนเล่นมาตั้งแต่สมัยเด็ก แต่ก็ไม่ควรพูดถึงโดยขาดความเคารพแบบนี้”
       ปวรรุจอึ้งไปทันที พูดไม่ออก ภาณุทัศนัยมองมาอย่างเย็นชา ปวรรุจคำนับ พูดเสียงหยันนิดๆ
       “เป็นความเลินเล่อของกระหม่อมเอง ฝ่าพระบาทโปรดประทานอภัย”
       ปวรรุจมองตอบด้วยสายตานิ่งอย่างหยั่งไม่ถึง ก่อนที่จะออกจากห้องไป ภาณุทัศนัยรู้ว่าถูกหยันเข้าแล้ว สีหน้าเครียด
       
       ขณะเดียวกันที่ห้องโถงกลางบ้านคุณนายทองสุข มีโต๊ะตั้งอยู่สองสามโต๊ะ ขาไพ่นั่งเต็มทุกโต๊ะ ที่พื้นมีวงไพ่เล่นไพ่ตอง ย่าอ่อนนั่งกับ คุณนายทองสุข คุณนายสดใส และคุณนายมิ่ง ถือไพ่ในมือรอบสุดท้ายแล้ว ไพ่กองกลางเหลือน้อยลงทุกที ถึงคราวย่าอ่อนจะต้องทิ้งไพ่ ทองสุขถือไพ่เต็มมือ เตรียมน็อคมืด
       “ทิ้งดี ๆ นะคะคุณนาย อิชั้นรออยู่”
       “เฮ้อ...แจกไพ่ยังไง ไม่มีไพ่สวยเล้ย ตานี้ท่าจะเหลว เอ้า ทิ้งแล้ว”
       ย่าอ่อนทิ้งไพ่ ทองสุขร้องเอะอะ
       “ฮะเหย ฮะเหย คุณนายโง่เจ้าค่ะ อิชั้นน็อคมืดในมือ คุณนายต้องเสียสองต่อนะเจ้าคะ รอบวงเลยด้วย”
       “เฮ้ย” ย่าอ่อนหงุดหงิด “เสียมาตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้มือไม่ขึ้นเลย”
       “มือไม่ขึ้น หรือว่าสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคะคุณนาย เห็นเหม่อไปถึงไหนๆ ไม่นับพ่งนับไพ่เลย อิชั้นเลยพลอยเสียไปกับเขาด้วย” สดใสบ่นว่า
       “มีเรื่องกลุ้มใจน่ะซี” ย่าอ่อนบอก
       มิ่งสนใจ “เรื่องอะไรเหรอคะ”
       “เรื่องคู่ครองของหลานชายฉันนี่แหละ”
       “เอ๊ะ คุณชายทั้งห้า ยกเว้นคุณชายธราธร คุณนายก็จับคู่ให้หมดแล้วนี่คะ” ทองสุขแปลกใจ
       “ยังค่ะ ยังมีคุณชายรุจ อีกคนไง” สดใสรู้ดี
       “เมื่อก่อนไม่เห็นกลุ้ม แล้วตอนนี้มากลุ้มเรื่องอะไร” ทองสุขสงสัย
       ย่าอ่อนถอนใจยาว “เฮ้อ...ชายรุจกำลังกลับไปหาแม่คนรักเก่าเขาน่ะซี”
       คุณนายทั้งสามมองหน้ากัน
       
       ปวรรุจผู้เป็นต้นเหตุการเสียไพ่ของย่าอ่อน กำลังค้นหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเล อยู่ที่ชั้นหนังสือในห้องสมุดกระทรวง ได้ยินเสียงคุยเบาๆ อยู่ตรงสุดทางเดิน ปวรรุจรุจเดินผ่านมาเห็นภาณุทัศนัยกับปรีชา คุยกันเสียงเบาๆ พอได้ยิน อยู่ที่โต๊ะด้านใน
       “คุณชายรุจใช้เส้นสายรึเปล่า ถึงได้รับเลือกให้ไปทำงานที่สวิตครั้งนี้” ภาณุทัศนัยปรารภ
       “เปล่าครับ คุณชายรุจทำงานดีมาก ทางผู้ใหญ่และท่านอธิบดีก็ลงความเห็นว่าคุณชายเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงที่จะทำงานนี้ ท่านชายมีปัญหาอะไรเหรอครับ” ปรีชาแปลกใจ
       “เปล่า ผมแค่กลัวเรื่องประวัติส่วนตัวเท่านั้นเอง”
       “ทำไมเหรอครับ”
       “คุณก็รู้ใช่ไหม ว่าคุณชายคนนี้ ชาติกำเนิดไม่ได้เหมือนพี่ๆ น้องๆ เพราะเกิดจากแม่ที่เป็นต้นห้องของเมียใหญ่อีกที สรุปก็คือ เป็นลูกจากเมียคนใช้ นั่นเอง”
       ปวรรุจนิ่งงันไป ไม่นึกว่าราชนิกุลรูปงามที่ตนปลาบปลื้ม จะพูดออกมาเช่นนี้
       “แต่ยังไงคุณชายก็เป็น หม่อมราชวงศ์ นะครับ”
       “โดยตามลำดับชั้นก็ใช่ แต่ลูกคนใช้ ก็เป็นคนใช้อยู่วันยังค่ำ ไม่งั้นเขาจะเรียกกันในวงสังคมเหรอว่า “คุณชายก้นครัว” หรือว่าคุณไม่เคยได้ยิน”
       ปวรรุจโกรธ เม้มปากแน่น
       “ก็เคยได้ยินครับ แต่ทางผู้ใหญ่ไม่มีใครเห็นว่าจะเป็นปัญหาอะไรกับการทำงาน”
       ภาณุทัศนัยยังตั้งแง่ “ทางเราไม่เห็น แต่ฝรั่งเขาเห็น โดยเฉพาะเจ้าทางยุโรป บางสมาคม
       น่ะ ถ้าเขาสืบประวัติทั้งทางพ่อแม่ รู้ว่าไม่ได้สืบสายเลือดเจ้ามาจริงๆ เขาจะคัดออกจากกลุ่มไปเลย ไม่มีวันได้เข้าสมาคมชั้นสูงกับเขาหรอก”
       “เหรอครับ”
       “ถ้าเป็นผม คุณชายคนนี้ประวัติไม่ผ่าน ไม่น่าไปร่วมงานสำคัญระดับโลกแบบนี้ ไม่รู้ทางผู้ใหญ่คิดอะไรกันอยู่”
       ปวรรุจเดินเลี่ยงออกมา พยายามระงับอารมณ์เต็มที่
       
       ที่วงไพ่บ้านคุณนายทองสุข ย่าอ่อนถือไพ่ชุดใหม่ เช่นเดียวกับขาไพ่ทุกคน
       “เอ...แล้วสาวๆ ตระกูลเทวพรหม ไปข้างไหนเสียหมดล่ะคะ” สดใสเอ่ยขึ้น
       “หมดกรุแล้วน่ะซี ถึงขั้นต้องจับคู่หลานสาว อย่างหม่อมหลวงศินีนุชให้คู่กับชายเล็ก ตอนนี้ไม่มีลูกมีหลานของเทวพรหมคนไหนคู่กับชายรุจอีกแล้ว” ย่าอ่อนบ่น
       ทองสุขหัวเราะคิก “ที่ไม่หาให้ก็เพราะเห็นชายรุจเป็น ชายก้นครัว ไม่ใช่เหรอคะ”
       ย่าอ่อนฉุน “นี่ไม่ต้องมาค่อนฉันหรอก แม่ทองสุข ก็มันลูกแม่ช้องนาง ลูกคนใช้
       จะมาตีเสมอพี่ๆ น้องๆ เขาได้ยังไง ว่าแต่ตอนนี้เถอะ ฉันกลุ้มใจกลัวว่าชายรุจจะกลับไปคืนดีกับยายวาดดาว แม่สาวนอกนั่น”
       “เอ...เดี๋ยวนะคะคุณนาย เท่าที่อิชั้นจำได้ น่าจะมีหลานของเทวพรหมหลงเหลืออยู่นะคะ”ทองสุขบอก
       ย่าอ่อนสนใจ “หา....ยังเหลือเหรอ ใคร”
       “ก็น้องชายคนสุดท้องของคุณชายเทวพันธ์น่ะซีคะ รู้สึกจะชื่อ วรพันธ์อะไรนี่ละค่ะ เห็นว่าไปได้เมียเป็นสาวชาวบ้าน อยู่หัวเมืองทางใต้ มีลูกสาวอยู่คนค่ะ” ทองสุขบอก
       “ลูกสาว ถ้าอย่างนั้นก็ยังเหลือหม่อมหลวงอีกคนน่ะซี”
       “คงอย่างนั้นมังคะ”
       ย่าอ่อนทิ้งไพ่ลงกลางวงทันที
       “อ้าว ไม่เล่นต่อเหรอคะคุณนาย” มิ่งแปลกใจ
       “เลิกก่อน ต้องรีบไปรายงานคุณพี่ ฉันไปละ”
       “เดี๋ยวค่ะ แล้วหนี้ที่ต้องจ่ายอิชั้นล่ะ” ทองสุขทวง
       “จดไว้ก่อน แล้วมาใช้วันหลัง”
       ย่าอ่อนออกจากเรือนไป คุณนายสดใส เปิดไพ่ย่าอ่อนออกดู แล้วตบเข่าฉาดใหญ่
       
       “ว่าแล้วเชียว ไพ่เข้าคู่ไม่ได้ เลยรีบเผ่น”

 

เวลาต่อมาเพียงไม่นาน ย่าอ่อนกำลังรายงานเรื่องที่ฟังมาจากวงไพ่ บ้านคุณนายทองสุขต่อหม่อมเอียดที่มีสีหน้าฉงน 
       
       “มีทายาทอีกคนเหรอ แม่อ่อนไปเอาข่าวนี้มาจากไหนล่ะ”
       “แม่ทองสุขเขาเล่าค่ะ”
       ย่าอ่อนพูดเท่านั้นก็ชะงักไป หลบตาพี่สาว
       “อ้อ ไปบ้านแม่ทองสุขเขามาอีกละซี เสียไปเท่าไหร่ล่ะ”
       “เปล่านะคะคุณพี่ น้องไปเจอเขาที่ตลาดต่างหาก ไม่ได้ไปได้เสียอะไรกับเขาสักหน่อย แล้วคุณพี่จะเอายังไงดีคะ เรื่องหม่อมหลวงคนนี้”
       “ก็ไปถามไถ่คุณเทวพันธ์เขาให้รู้เรื่อง แล้วค่อยตกลงกัน”
       “ขอบคุณค่ะคุณพี่ งั้นน้องถือว่าคุณพี่อนุญาตแล้วนะคะ จะได้จัดการเสียให้เรียบร้อย แม่หัวนอกนั่นจะได้เลิกรากันไปเสียที”
       “แม่อ่อน แล้วถ้าเกิดชายรุจกับแม่วาดดาวเขารักกันจริงล่ะ”
       “อุ๊ย...รักกันจริงก็ไม่ได้หรอกค่ะ ทางเราเป็นหม่อมราชวงศ์ จะไปดองกับลูกพ่อค้าวาณิชได้ยังไง ยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งแห่งหนอะไรไม่มีสักอย่าง”
       ย่าอ่อนว่าพลางค้อนลมแล้งตามประสา หม่อมเอียดมองน้องสาวอย่างขำๆ
       
       ด้านปวรรุจยังค้นเอกสารต่อ พยายามไม่คิดเรื่องที่ถูกภาณุทัศนัยนินทาว่าร้ายและดูแคลน และกำลังเปิดประตูด้านในเข้าไปในห้องเอกสารสำคัญ
       ขณะที่ปวรรุจกำลังค้นเอกสารอยู่ ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะแว่วมาจากประตูด้านที่เชื่อมต่อกับห้องทำงานของภาณุทัศนัย
       “ท่านชายขา อย่ามาปดสมรเลย ไม่เชื่ออีกแล้วละ”
       “ทำยังไงล่ะ สมรถึงจะเชื่อฉัน”
       ปวรรุจมองจากบานเกล็ด แลเห็นสายสมร สาวสังคมแต่งหน้าแต่งตัวหรู กำลังนั่งเบียดอยู่กับเก้าอี้ทำงานของภาณุทัศนัย แขนโอบรอบคอชายทัศน์อยู่
       “ก็ต้องอยู่กับสมรตลอดสามวันที่ท่านชายอยู่พระนครน่ะซีคะ”
       “อย่าลืมนะที่รัก ว่าฉันต้องแบ่งเวลาให้คู่หมั้นฉันบ้าง”
       “ฮึ...งั้นสมรไม่เชื่อท่านอีกแล้ว”
       สายสมรลุกไปที่หน้าต่าง ทำท่างอน ชายทัศน์เปิดลิ้นชัก แล้วหยิบสร้อยมุกออกมาจากกล่อง เดินมาเบื้องหลังสมร แล้วคล้องสร้อยมุกให้ที่คอ
       “อุ๊ย...อะไรคะ”
       “ของขวัญให้เธอไง ชดเชยกับเวลาที่ฉันให้เธอได้ไม่เต็มที่ ไง...เชื่อใจฉันบ้างแล้วหรือยัง”
       “ท่านชายขา”
       สายสมรดูสร้อยมุกอย่างปลาบปลื้ม แล้วหันมาโอบกอด และจูบปากท่านชายทัศน์อย่างดูดดื่ม
       ปวรรุจผละจากการแอบดูทันทีด้วยความตกใจ 
       
       แขเลขาหน้าห้องภาณุทัศนัยกำลังพิมพ์งานอยู่ วรรณรสาเดินหยุดตรงมาหน้าห้อง แขเงยหน้าขึ้นมอง วรรณรสายิ้มให้
       “สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ”
       “เออ...ดิฉันมาพบท่านชายทัศน์ค่ะ”
       แขขมวดคิ้วทันที พูดเสียงห้วน “เออ นัดไว้รึเปล่า”
       “ไม่ได้นัดค่ะ”
       “จะให้ทูลท่านว่าใครขอพบ”
       วรรณรสาเจื่อนๆ ไปกับท่าที
       “บอกว่าฉันชื่อรสาค่ะ”
       แขมองรสาเท้าจรดหัว เพราะคิดว่าคงเป็นนางโลมมาพบอีกนาง
       “รอสักครู่ เพราะท่านชายมีแขก”
       แขผายมือไปที่เก้าอี้มุมโถง วรรณรสาเดินไปนั่งอย่างงง ๆ ในท่าที แขมองมาอีกอย่างดูแคลน ก่อนเปิดประตูเข้าไป
       
       แขเดินมาหน้าห้อง เคาะประตูเบาๆ ภายในห้อง ภาณุทัศนัยกำลังหัวเราะชนแก้วกับสายสมรอย่างครึกครื้น
       “ท่านชายคะ”
       ท่านชายทัศน์มีสีหน้าหงุดหงิด ขณะเดินมาเปิดประตู
       “มีอะไร”
       “มีสาวมารอพบอีกนางนึงค่ะ” แขว่า
       “ใคร ฉันไม่ได้นัดไว้นี่”
       “ไม่ทราบค่ะ”
       “ชื่ออะไร”
       “บอกว่าชื่อรสาค่ะ”
       ภาณุทัศนัยตกใจมาก “หา...รสา! ท่านหญิงวรรณรสาใช่ไหม”
       “หา...ท่านหญิงเหรอคะ”
       ภาณุทัศนัยหันมามองดูสายสมร ที่กำลังดึงเสื้อผ้าให้เข้าที่
       
       ท่านอธิบดีเชษฐาเดินผ่านมาพอดี วรรณรสานั่งอยู่ เชษฐาเขม้นมอง
       “เออ....ท่านหญิงวรรณรสาใช่ไหมกระหม่อม”
       “ค่ะ” วรรณรสางงๆ
       “คงทรงจำกระหม่อมไม่ได้ กระหม่อมอธิบดีกองยุโรปเชษฐา ฉัตรชัย”
       วรรณรสาลุกขึ้นเมื่อท่านอธิบดีทำความเคารพ
       “ท่านอธิบดี รู้จักฉันเหรอคะ”
       “รู้จักดีเชียวกระหม่อม เพราะหม่อมเคยพบท่านหญิงเมื่อสองปีก่อนที่งานการกุศลที่วังอรุณรัศมิ์ ท่านหญิงทรงไวโอลีนได้ไพเราะเหลือเกิน”
       “ขอบคุณค่ะ”
       “ท่านหญิงเด็จมาพบท่านชายทัศน์ใช่ไหมกระหม่อม”
       “ค่ะ แต่เห็นว่าพี่ชายมีแขกอยู่”
       “เอ...หม่อมไม่เห็นมีใคร เชิญท่านหญิงเด็จเข้าเฝ้าเลยดีกว่า”
       “ค่ะ”
       
       ส่วนภาณุทัศนัยรู้ก็เอะอะใส่คุณแข
       “ไปบอกท่านหญิง ว่าฉันไม่อยู่”
       “แต่ดิฉันบอกไปแล้วว่าท่านชายอยู่นี่คะ”
       “เอ...จะเอาไงดี”
       “ก็ไม่เห็นต้องทำยังไง ก็ทูลเชิญท่านหญิงเด็จเข้ามาเลยซีคะ” สายสมรสอดขึ้น
       ภาณุทัศนัยตวาด “เธอ หุบปาก! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
       สมรสะบัดหน้าใส่ท่านชายทัศน์
       เสียงประตูโถงหน้าเปิดเข้ามา แขหันไปมอง
       “คุณพระ ท่านอธิบดีนำเสด็จท่านหญิงเข้ามาแล้วค่ะ”
       “ไปรับหน้าไว้ก่อน”
       
       ภาณุทัศนัยปิดประตูทันที

อธิบดีเชษฐาพาวรรณรสามาถึงหน้าห้องภาณุทัศนัยแล้ว แขรีบไหว้ขอโทษขอโพย
       
       “ท่านหญิง ประทานอภัยหม่อมฉันด้วยเพคะไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านหญิงคือ ท่านหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์”
       “ไม่เป็นไร เพราะฉันก็ไม่ได้บอกเธอนี่”
       “อ้าว...แล้วท่านชายมีแขกอยู่รึไง”
       “ค่ะ....” แขปด
       “งั้นรายงานท่านเลยซี” เชษฐาเร่ง
       “ถ้ามีงานอยู่ ฉันรอก่อนก็ได้ค่ะ” วรรณรสาว่า
       “อย่างน้อยทูลให้ท่านทรงทราบก่อนก็ดีนะครับ”
       แขลังเล
       “ค่ะ ค่ะ จะเข้าไปทูลเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
       แขรีบผลุบกลับเข้าห้องไป
       
       แขเข้ามาในห้องขณะที่ท่านชายทัศน์ กำลังหาทางออกอยู่
       “ท่านชายคะ ท่านอธิบดีให้ท่านหญิงรออยู่หน้าห้องค่ะ”
       สมรหัวเราะขัน “ฮิฮิ ก็แสดงว่าหมดทางหนีแล้วซีคะท่านชาย ทำตามที่สมรแนะนำดีกว่า บอกไปเลยว่าสมรเป็นเมียท่านทูตไทยประจำเกาะฮ็อกไกโดก็ได้ค่ะ ฮิฮิ”
       ภาณุทัศนัยตวาด “ฉันบอกแล้วว่าให้หุบปาก”
       สายสมรทำหน้าแสยะ
       “เอาไงดีคุณแข ออกทางหน้าต่างดีไหม”
       “ว้าย ไม่ค่ะ สมรไม่ปีนออกไป สมรกลัวความสูง”
       แขมองไปที่ประตูเชื่อม ซึ่งออกไปยังห้องเอกสารและห้องสมุด
       “งั้น....ประตูออกไปที่ห้องเอกสารค่ะท่าน”
       ชายทัศน์มองไป แล้ววิ่งไปเปิดประตู แต่ประตูฝืดมาก
       “มาช่วยเปิดที”
       ภาณุทัศนัยและแขมาช่วยกันปิดลูกบิดประตู
       
       ปวรรุจยังค้นเอกสารต่อเนื่อง เห็นว่าลูกบิดประตูกำลังถูกบิดอย่างลำบาก พร้อมเสียงกระแทกประตูเข้ามา ชายรุจเลยไปช่วยเปิดประตูให้ ร่างของภาณุทัศนัยและแขเลยเซเข้ามา ปวรรุจช่วยประคองทั้งคู่ ใช้ราชาศัพท์เต็มรูป จงใจประชด
       “ฝ่าพระบาททรงมีอะไรให้กระหม่อมรับใช้”
       ภาณุทัศนัยรู้สึกเสียหน้า “ไม่มีอะไร บอกแล้วไงไม่ต้องพูดเต็มยศ”
       “กระหม่อมมิบังอาจ เดี๋ยวจะถูกตำหนิได้อีกเรื่องพูดจาไม่เหมาะสม”
       ท่านชายทัศน์ยิ่งเคือง จ้องหน้าปวรรุจ ที่ไม่แสดงอาการใดๆ สมรเดินมาดูหัวเราะคิกคัก
       “ต้องมาออกช่องน้อยนี่น่ะเหรอคะ แหมดีจัง มีประตูลับส่วนตัวด้วย”
       “เธอกลับไปได้แล้ว คุณชายวานหน่อยเถอะ ช่วยพาคุณสมรออกไปส่งหน้าตึกที”
       “ได้กระหม่อม”
       “ขอบใจ”
       ปวรรุจมองภาณุทัศนัยอย่างหยันนิดๆ ท่านชายทัศน์รู้ว่าถูกหยันด้วยสายตายิ่งโกรธ และเสียหน้า จึงกลับเข้าห้องพร้อมแข
       “ขอบคุณนะคะคุณชาย”
       แขปิดประตู
       “เชิญครับคุณสมร”
       “หน้าคุ้นจัง เป็นคุณชายเหรอคะ”
       “ครับ”
       “แหม...ข้าราชการกระทรวงนี้ เจ้าเต็มไปหมดเลยนะคะ แล้วก็สมาร์ททุกคนเลย” สายสมรว่า
       “เชิญครับ”
       สมรเดินทิ้งสะโพกออกไป ปวรรุจจะออกตาม แต่ยินเสียงแว่วมาจากห้องทำงานภาณุทัศนัย ซึ่งที่แท้เป็นวรรณรสาเข้าไปในห้อง
       “หญิงแต้ว ไม่บอกพี่ชายก่อนล่ะคะว่าจะเด็จมาหา”
       “หญิงจะเซอร์ไพรส์พี่ชายไง”
       ปวรรุจนิ่งไปกับคำว่า “หญิงแต้ว” มองผ่านบานเกล็ดเข้าไปในห้องอีกครั้ง แต่เห็นวรรณรสาจากทางเบื้องหลัง
       ฟากวรรณรสา สังเกตเห็นว่ามีใครมองผ่านบานเกล็ดหลังประตู
       “เอ...ไม่เห็นแขกที่เข้าพบพี่ชายเลย”
       “ไม่มีหรอกค่ะ คุณแขเข้าใจผิดน่ะ พี่กำลังโทร.ทางไกลไปสถานทูตสวิต ก็เลยบอกว่าห้ามใครรบกวนตอนนี้”
       ปวรรุจลุ้นอยากให้วรรณรสาหันมา แต่ท่านหญิงยังหันหลังให้อยู่ สมรเดินกลับเข้ามาในห้องเอกสาร
       “คุณชายทำอะไรอยู่คะ รีบไปส่งสมรซี”
       ปวรรุจหันมา
       “ได้ครับ”
       ปวรรุจจำใจผละไป
       “ยังไม่ได้บอกชื่อให้สมรทราบเลย”
       
       ปวรรุจอึดอัดใจ พาสายสมรจากห้องเอกสารไป

 ขณะเดียวกันที่ห้องโถงวังเทวพรหม คุณชายเทวพันธ์นั่งอยู่ตรงหน้าย่าอ่อน สีหน้าตื่นเต้นระคนยินดี ส่วนเกษรานั่งอยู่ด้วยสีหน้าเจื่อน 
       
       “ใช่ครับคุณป้า ผมยังมีทายาทหญิงเหลืออยู่อีกคน ลูกสาวของน้องชายสุดท้อง วรพันธ์ เทวพรหม”
       “แหม...ดีจริง แล้วทำไมไม่บอกเสียแต่แรกล่ะคะ จะได้จับคู่กับชายรุจให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป”
       “คือว่า...น้องชายคนนี้ไปทำเหมืองอยู่เสียที่พังงา แล้วไปได้ลูกเมียที่นั่น เลยไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่น่ะครับ”
       เกษรามองหน้าเทวพันธ์ เพราะรู้ว่าพ่อโกหก
       “อ้าว...แล้วลูกหญิงที่ว่าเป็นยังไงบ้างละค่ะ ไม่กลายเป็นชาวเหมืองดำปิดปี๋ พูดภาษายาวี ไปแล้วหรอกหรือ” ย่าอ่อนซักไซ้
       “ไม่เลยครับ โธ่...ยังไงสายเลือดเทวพรหมก็ต้องเป็นผู้ดีอยู่วันยังค่ำ ผมเพิ่งเจอเมื่อปีกลายนี่เอง ถูกอบรมมาอย่างดี คมขำแบบสาวใต้เชียวละครับ”
       เกษรายิ่งอึดอัด
       “ชื่ออะไรล่ะ”
       “หม่อมหลวงกระถิน เทวพรหมครับคุณป้า”
       ย่าอ่อนคลายยิ้มไป เพราะชื่อฟังดูบ้านนอกเหลือเกิน
       “กระถินเหรอ สวยจริงนะ” ย่าอ่อนถามย้ำ
       “สวยครับ เรียบร้อย เป็นแม่บ้านแม่เรือน สมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว ดูไปแล้ว เหมาะสมเป็นคู่ตุนาหงันกับคุณชายปวรรุจจริง ๆ ครับ”
       เทวพันธ์บอกหนักแน่น ย่าอ่อนเชื่อสนิท ยิ้มได้ใหม่ เกษราหลบตาวูบ อึดอัดอย่างที่สุด
       
       ร้านขนมของเกษรา ตกแต่งใหม่ดูงดงามมากขึ้นกว่าเดิม แหววกำลังขายของให้ลูกค้าสองสามราย ย่าอ่อนรับขนมจากแย้มที่ใส่ตะกร้าให้อย่างดี ขนมใส่กระทง มีผ้าขาวบางปิด เทวพันธ์และนายถนอมยืนอยู่ด้วย
       “อุ๊ย...ให้มาเสียเยอะแยะ ไม่ต้องหรอกหนูเกษ เก็บเอาไว้ขายเถอะ” ย่าอ่อนทำทีเป็นเกรงใจ
       “ไม่เป็นไรค่ะคุณย่า ในร้านเราทำไว้เยอะ นี่กลีบลำดวนฝากให้หม่อมย่าด้วยค่ะ”
       “ขอบคุณจ้ะ งั้นแม่แย้ม ขอปั้นขลิบนึ่งกระทงนั้นด้วยนะ กำลังร้อน ๆ เลย”
       แย้มรับคำหน้าเจื่อน “ค่ะ”
       “ไม่ใช่กระทงเดียว เอาห้ากระทงเลยจ๊ะ” ย่าอ่อนบอก
       แย้มหยิบกระทงปั้นขลิบใส่ตะกร้า ยิ้มเจื่อนเต็มที ส่งให้นายถนอมรับไป
       “แหม...ดูซีทำร้านใหม่ หรูหรากว่าเดิมเยอะเลย ลูกค้าก็ไม่ขาดสายเลยนะ”
       ย่าอ่อนมองกวาดไปทั่วร้าน สายตาบอกชัดเจน รู้ว่าเกษราได้เงินทุนมาจากชินกร สามีนั่นเอง
       “พ่อชินกรเขาคงมาช่วยดูแลปรับปรุงร้านให้ซีนะ”
       “ค่ะ คุณย่า”
       “ดี ดี งั้นฉันไปละ”
       ทั้งหมดออกจากร้าน เกษราอึดอัดอยู่ แย้มค้อนตาคว่ำ แหววเข้ามา
       “บอกไม่เอานะคะ แต่คุณย่าเอาไปเกือบสิบกระทงแน่ะ”
       “นั่นซี ลำบากแกกับฉันแล้วละ เพราะคุณนายมิ่งเขาว่าปั้นขลิบไว้สิบกระทง ไป ไปปั้นไส้ปลากันใหม่” แย้มกับแหววเดินออกไป
       
       ย่าอ่อนจะขึ้นรถอยู่แล้ว หันมาทิ้งท้าย
       “ร้อนใจนะเนี่ย คุณไม่มีรูปถ่ายมาให้ดูกันหน่อยเหรอ หนูกระถินที่ว่าฉันอยากเห็นเหลือเกิน”
       “ไม่มีเลยครับ เจอกันก็ไม่ได้ชักรูปถ่ายกันเสียด้วย แต่ไม่เป็นไร ผมจะเรียกขึ้นมากรุงเทพฯ ให้คุณน้าดูตัวในสองสามวันนี่ละครับ”
       “ดีมาก มาเมื่อไหร่จะได้ให้ชายรุจเขามาดูตัวด้วย ฉันกลับละ”
       “สวัสดีค่ะคุณย่า”
       เทวพันธ์และเกษราไหว้ลา ย่าอ่อนก้าวขึ้นรถทันที
       พอรถแล่นออกไปจนพ้นวัง เกษราจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย 
       “คุณพ่อคะ ทำไมต้องโกหกย่าอ่อนด้วย”
       “โกหกอะไร”
       “ก็เรื่องแม่กระถินน่ะซีคะ สวย คมขำ เป็นกุลสตรี คุณพ่อไปเอามาจากไหน คุณพ่อเห็นกระถินครั้งสุดท้ายตอนอายุแปดขวบ ตัวดำเป็นเหนี่ยง พูดสำเนียงใต้แทบฟังไม่รู้เรื่อง”
       “ก็ต้องโกหกไว้ก่อน เพราะถือว่าโชคหล่นทับใส่เราแล้ว”
       “ทำไมคะ”
       “อ้าว...ก็คุณชายรุจจะมาเป็นเขยขวัญของเทวพรหมอีกคน ยิ่งทำให้ฐานะเรามั่นคงขึ้นน่ะซี”
       “โธ่...คุณพ่อคะ ใครรู้เข้าจะถูกค่อนเอาได้ว่าคุณพ่อขายลูกสาวกิน”
       “ฉันไม่สนสักนิด อีกอย่างที่ฉันต้องการได้คุณชายรุจมาเป็นเขย ก็เพราะแก”
       เกษราฉงน “ทำไมคะ”
       “ก็แกทำงามหน้า ดันปฏิเสธแต่งคุณชายใหญ่กลางพิธี แล้วหันไปคว้าเจ้าชินกรน่ะซี”
       เกษราเสียงเครือ “หนูรักคุณชินกรค่ะ ไม่ใช่คุณชายใหญ่ อีกอย่างคุณพ่อก็ยอมรับเขาเป็นเขยนี่คะ โดยเฉพาะตอนที่เขาให้สินสอดมากกว่าทางหม่อมย่าเอียดให้เสียอีก”
       “ก็ดีอยู่อย่างเดียวที่มันรวย แทนที่จะได้เป็นสะใภ้เจ้า กลับมาเป็นสะใภ้เจ๊ก นี่....ไม่ต้องมาขึ้นเสียงกับฉัน งานนี้แกต้องเป็นธุระให้ฉันทั้งหมด”
       “งานไหนคะคุณพ่อ”
       “ก็เรื่องยายกระถินน่ะซี แกต้องไปตามยายนี่มาให้ได้ในวันสองวันนี้”
       “คุณพ่อ เด็กนั่นอยู่ที่พังงานะคะ” เกษราท้วง
       “ไปตามมาให้ได้”
       
       เทวพันธ์ยื่นคำขาดแล้วเข้าบ้านไป เกษรายืนงงคาที่

 

 

ไว้จะมาต่อ ตอนที่ 2 ให้นะคะ ^^

 

ที่มา :  http://www.manager.co.th/Drama


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที