รัตตะ

ผู้เขียน : รัตตะ

อัพเดท: 23 พ.ย. 2006 13.24 น. บทความนี้มีผู้ชม: 9950 ครั้ง

ไปเที่ยวเชียงรายกันมั้ยคะ ^^



ป.ล.เป็นเรื่องเก่าเก็บในชื่อ ~ แพนด้า ~ บ้าทะเล ~ ค่ะ


ทริปเที่ยวธรรมดาของสองสาวบ้าบิ่นที่-->เชียงราย

เรื่องเริ่มขึ้นจากเมษายนปีที่แล้ว
“ปีหน้าไปไหนดี”
“ไปเที่ยวเหนืออย่างเชียงรายเป็นไง เบื่อทะเลแล้ว”
พอได้ยินคำว่า “เบื่อทะเล”
~ แพนด้า ~ บ้าทะเล ~ อย่างฉันก็แทบเปลี่ยนเป็น ~ แพนด้า ~ บ้าคลั่ง ~ ทันที
แต่ก็ยุบหนอพองหนออยู่พักนึง ก่อนตกลงโอเคตามใจเพื่อน เพราะถือคติ คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย..........และสบายกระเป๋าตังค์

- - - - - - - - - - - - -

แน่นอนเมื่อนำแผนการนโยบายอันสวยหรู (แต่กลวงเหมือนนโยบายของ...) ไปเสนอท่านผบ. (แปลว่าผู้บัญชาการที่บ้าน) ก็ได้รับคำตอบเหมือนทุกๆ ปีว่า...
“จะไปได้ไง ผู้หญิงสองคน!!!” - - - > ก็ดีกว่าไปเที่ยวกะผู้ชายสองคนนะแม่
“งานก็ไม่มีทำ แล้วยังจะตะลอนๆ อีก” - - - > ก็เพราะไม่มีงานทำนี่แหละ ถึงตะลอนได้
“โธ่ แม่ ไม่อันตรายหรอก บ้านเพื่อนมันเป็นตำรวจทั้งโคตร แถมแฟนมันยังเป็นทหารอีก”
ฉันโฆษณาสรรพคุณพี่ชายและแฟนเพื่อนประหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน
จนตอนนี้แม่เริ่มงงว่ามันเกี่ยวกันยังไง ฉันเลยต้องรีบรุกยืนยันว่า ถึงจะประสบอันตรายยังไง
ตำรวจไทยต้องหาศพเราสองคนเจอแน่นอน (- -")
...ไม่รู้ว่า แม่เชื่อที่ฉันพูดหรือเปล่า แต่ผลสุดท้าย ฉันก็ได้ไป เหมือนทุกๆ ปีจนได้ ฮี่ๆ...


ภาพเกาะนางยวนเมื่อปีก่อน

18035_nangyuan.jpg


ล้อเลื่อน
การเดินทางก็เริ่มขึ้นหลังจากที่ฉันได้หาข้อมูลทางเน็ทบ้าง หนังสือบ้าง และคำบอกเล่าจากผู้หวังดีหลายๆ ราย
รายแรก พี่ที่สนิทกันส่งอีเมล์มา
“ได้ข่าวว่าร้อน แต่ถ้าอยากดมจั๊กกะแร้ฝรั่งก็ลองไป ยังไงไปแช่น้ำฉี่ในทะเลท่าจะเข้าท่ากว่านะ ไม่สนเหรอ”
รายที่สอง พี่สาว
“บ้าเปล่า ไปเชียงรายตอนนี้ ร้อนจะตายชัก”
รายที่สาม (ไม่ขอเปิดเผยนาม)
“ระวังเค้ายัดยาบ้าในกระเป๋านะมรึง”

เมื่อรวบรวมคำแนะนำดีๆ? ได้เสร็จสรรพ ฉันก็จัดแจงโทรศัพท์คุยกับเพื่อน
ซึ่งเพื่อนก็ได้รับข้อมูลมาเหมือนกันว่า ตอนนี้ภาคเหนือร้อนสุดๆ
และแน่นอน เมื่อร้อนสุดๆ นังแขนกุด สายเดี่ยวของฉันก็ได้ฤกษ์ทำงานซะที (แต่เหมือนมีผีจั๊กกะแร้มาดลใจให้หยิบเสื้อคลุมไป 1 ตัวเผื่อวงแขนขาวไม่ทำงาน)

ในคืนวันเดินทาง ฉันกับเพื่อนเข้าคิวยาวเหยียดซื้อตั๋วรถ VIP (ราคา 700 บาท) ที่หมอชิตใหม่
ทันใดนั้น อ้ายเพื่อนก็สะกิดทำท่าตื่นเต้นสุดขีด เมื่อเห็นป้ายตัวโตของบขส.ว่า

วันที่ 4 – 7 เมษายนลดค่ารถ 40%

พอเห็นป้าย ฉันเกือบตื่น+เต้นไปกับเพื่อนแล้ว ถ้าไม่นึกออกว่า
...วันนี้มันวันที่ 3 เฟ้ยยยย...
แต่อ่ะนะ...จะรอถึงเที่ยงคืนก็ไม่ใช่เรื่อง หรือจะเปลี่ยนมาวันพรุ่งนี้ก็เสียฟอร์มแย่ เลยต้องไปคืนนั้นแหละ รอบสองทุ่มครึ่ง แต่กว่ารถจะออกจริงๆ นะหรือ ฮึ่มๆๆ สามทุ่มครึ่งเจ้าค่ะ!!!

เมื่อได้ขึ้นรถ ผู้สนับสนุนหลักของฉันและเพื่อนทุกงานก็ตามมาจนได้ นั่นคือ...
เด็กทารก
คงไม่ต้องอธิบายให้มากความนะว่ากว่าฉันกับเพื่อนจะไปถึงเชียงราย เราหลับสนิทขนาดหนายยยย ZzZ

เช้าแรกที่เชียงราย
ฉันลืมตาขึ้นที่จังหวัดลำปาง มองฝ่าเม็ดน้ำฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งคืน
เห็นหมอกขาวคลุมภูเขาลูกเล็กลูกน้อยไปตลอดทางคดเคี้ยว
ก่อนจะหยิบกล้องดิจิตอลออกมาเก็บภาพสวยๆ แต่ไม่ทันได้ทำอย่างใจ
สมองเจ้ากรรมก็สั่งการว่า...“@#%*!”
แปลเป็นไทยได้ว่า.....เอ็งเมารถ และถ้าขืนยังซ่าส์มองนู่นนี่ต่อไปก็อาจทำให้ @#%*!

หลังจากนั้น ฉันก็มาโผล่หัวมาดูข้างทางอีกทีที่ “แม่ลาว”
ตอนแรกก็งัวเงียงงๆ นึกในใจ...พาสปอร์ตก็ไม่มี กรูมาลาวได้ไงฟระ...
จนสติกลับมานั่นแหละ ถึงได้นึกออก+กรี๊ดๆ ในใจ
“แม่ลาวๆๆๆ” หึๆ ถามว่ากรี๊ดทำไมน่ะเหรอ ก็แหม ไม่เคยอ่าน “แม่ลาวเลือด” เหรอไง
นี่ชั้นได้มาอยู่ที่เดียวกับ ธนุส นิราลัย พระเอกแม่ลาวเลือดเชียวนะ กรี๊ดดดด (ที่จริงเคยอ่านแต่เล่มอื่น ไม่เคยอ่านเล่มนี้หรอก)

ซักราวๆ เก้าโมงเช้า ฉันกับเพื่อนก็ได้เหยียบถิ่นเหนือสุดของสยาม
“เชียงราย”
เราสองคนลงรถด้วยอาการครึ่งผีครึ่งคน กว่าจะมารู้ตัวว่าอยู่ในเมืองผี ก็ตอนเจอผีหลายตัวรุมๆๆ เรียกขึ้นรถ (มีผีในเครื่องแบบด้วย)
ขึ้นรถเสร็จ ก็ไปยังที่พักที่มีชื่อเหมือนกับผบ.ที่บ้านเดี๊ยะ
เป็นตึกแถวอยู่แถวๆ สภอ.เชียงราย เจ้าของท่าทางใจดี (มีชวนทำธุรกิจขายตรงด้วย หุๆ)
ก็เลยพักที่นั่น ห้องแอร์ 450 บาท (โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น)

เก็บข้าวเก็บของ อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยก็ไปตะลุยกันต่อ และเป้าหมายคือ “วัดร่องขุ่น”
ก่อนไปได้เดินตามถนนในเมือง ฉันว่าเชียงรายเป็นเมืองที่น่ารัก สะอาดสะอ้านดี ไม่พลุกพล่าน (หรือฉันไปตอนที่คนไม่เยอะก็ไม่รู้) เสียอย่างเดียวคือ ไฟจราจร ที่ไม่ใช่แค่เสียอย่างเดียวแบบที่ฉันบอก
แต่มันไม่มีเลยล่ะ คิดดูละกันว่าเซียนๆ ตอนข้ามถนนกรุงเทพฯ พอมาเจอสี่แยกไม่มีไฟแดงก็เสียวเหมือนกัน (-*-)
(เกมวัดดวงน่าพาแข่งที่นี่นะ “ใครข้ามถนนไม่ได้ ตายยย!! เอ๊ย ตกรอบบบ”
เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงท่ารถ แน่นอนสิ่งที่อยู่คู่กับนักท่องเที่ยวอย่างเราก็คือ...
ผี...ท่ารถ
(มันจะมาคราวละมากๆ มาให้เห็นจะๆ ต่อให้ใส่สร้อยพระก็ไม่สามารถหนีพ้นได้ มันจะตามเราติดทุกฝีก้าว เป็นเงาแวบไป แวบมา และบางทีเราอาจรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ เมื่อเชื่อสัญชาตญาณตัวเองหันกลับไป ก็จะพบกับ...ผี....ท่ารถ)

ผีที่ฉันเจอ พกข้อเสนอน่าสนใจมาด้วย นั่นคือ...
“เมื่อคุณนั่งสองแถวไปวัดร่องขุ่นในวันนี้ เราจะพาคุณไปในราคา 150 บาท และหากคุณตกลงไป-กลับกับเรา เราขอเสนอราคาเพียง 200 บาทเท่านั้น ย้ำ 200 บาทเท่านั้น”

คงด้วยมีภูมิคุ้มกันผีตั้งแต่เมื่อเช้า ฉันกับเพื่อนจึงไม่ได้ร้อง “โอ้พระจอร์จมันยอดมาก” จึงส่ายหน้าเดินหนีหาสองแถวที่เขียนว่าไป “พาน”
แต่ไม่ยักกะเจอ โชคดีที่ปากพารวย ไปถามแม่ค้าแถวนั้น เค้าแนะนำให้นั่งรสบัสสายเชียงราย – พาน ในราคาเพียงคนละ 15 บาทเท่านั้น!

ถึงวัดร่องขุ่นก็ช่วงบ่าย อากาศเย็นสบาย มีฝนตกปรอยๆ เข้าไปชมวัด แล้วก็นั่งดูความศรัทธาที่ก่อเกิดความงดงาม
(ถึงตอนนี้กรุณาทำเสียงเลียนอ.เฉลิมชัย)
"มันเป็นสะถาปั๊ดตะยะกำที่งดงามม้าก โบสถ์สีขาวซะแดงถึงพลังอันบริสุทธิ์ แสงสะว้างแห่งธรรม
ลวดลายอันวิ้จิตรก็เหมื้อนกัล มั้นมีความอ่อนช้อยเห็นความตั้งใจของผู้ทำม้ากมากกกกก ที่สำคั้น วัดนี้งดบอริจ๊ากเกินหนึ่งหมื่นบาทและไม่มี้การเรี่ยไรใดๆ ทั้งสิ้น"

หัวค่ำไปเดินเล่นกันที่ไนท์บาซาร์ (ตั้งอยู่ตรงท่ารถนั่นแหละ) เสียดายที่ฝนตก ร้านเลยไม่เปิดเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีการแสดงอยู่ (พวกสินค้าก็เป็นสินค้าพื้นเมืองแบบที่พบเห็นทั่วไป อย่างผ้าทอ แจกัน โคมไฟ สร้อยข้อมือ ฯลฯ
ซึ่งฉันว่าน่าเสียดายนะที่เวลาเราไปไหนก็เจอของเหมือนๆ กัน เสน่ห์มันหดหายไปเยอะ)
ฉันกับเพื่อนก็ชมๆ ชิมๆ ซักพัก พออืดได้ที่ก็กลับที่พักกัน(ขากลับเห็นร้านโรตีเจ้าอร่อยด้วย แต่คนเยอะมากกกก เลยอดดดด)

18035_c2.jpg18035_c1.jpg


ขึ้นดอยลงดอย สลอง-ตุง
ตื่นตอนเช้าอากาศหนาวเย็น เสียงแหล่งข้อมูลแวบมาในใจ
“บ้าเปล่า ไปเชียงรายตอนนี้ ร้อนจะตายชัก”
หึๆ ร้อนมากกก ฉันบ่นงึมงำก่อนคว้าเสื้อคลุมก่อนแบกเป้เดินทางต่อ

ฉันกับเพื่อนไปเริ่มต้นที่ท่ารถเช่นเคย จะวันพระหรือไงไม่ทราบวันนี้เลยไม่มีผี...ท่ารถมากวนใจ
จากนั้นก็กระโดดขึ้นรถบัสสีเขียวสาย 1241 เชียงราย-แม่สาย เพื่อไปลงแยกบ้านป่าซาง (อ.แม่จัน) หนทางสู่ดอยแม่สลอง

ขึ้นรถปุ๊บเปิดหน้าต่างปั๊บ เห็นชาวเชียงรายมองด้วยสายตาแปลกๆ ฉันก็สงกะสัยมองอะไรกัน ได้แต่นึกว่าคงหน้าแปลก เอ๊ย แปลกหน้า
แต่ที่ไหนได้พอรถออกจากตัวเมืองได้ซักพัก ลมหนาวพัดเข้าหน้าต่างตีจนฉันหน้าชา...(ชาเพราะหนาวนะ ไม่ได้ชาเพราะหน้าแหก ฮึ!)
สุดท้ายเลยค่อยๆ ปิดหน้าต่างจนสนิท...

มาเชียงรายหน้าร้อนครั้งนี้ เหมือนหน้าหนาวเลยล่ะ เพราะเป็นช่วงอากาศเปลี่ยน ซึ่งเป็นผลกระทบจากเมืองจีน ทำให้อากาศดี ผู้คนก็หน้าตาดี (เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย)
ปุเลงๆ ไปได้ซักพักก็มีตำรวจหน้าโหดขึ้นมาสะกิด
“ตรวจบัตรด้วยครับ” อ้ายเพื่อนเราก็ทำหน้าเหวอ จนเฮียโปลิศต้องย้ำ
เพื่อนเราถึงได้หยิบบัตรขึ้นมา มองบัตรมองหน้ากันซักพัก พอแน่ใจว่าไม่ใช่กะเหรี่ยง เค้าก็เลยปล่อยมา

ใกล้ถึงที่หมาย กระเป๋ารถก็บอก
“เ ดี๋ ย ว จ ะ ถึ ง แ ล้ ว...” โอ้...สำเนียงหวานมาก ฟังแล้วอยากจับไปอบรมให้ไอ้กระเป๋ารถเมล์เล็กนัก
ขนาดจอดรถยังนิ่มตามสำเนียง คิดแล้วน่าจับพวกรถเมล์เล็กมาทำ work shop จริงๆ

พอลงรถก็เช่นเคย เพราะเราจะได้พบกับ ผี...ท่ารถ
แต่ตัวนี้แสบกว่าที่เคย แสบยังไงอ่านกันต่อไป ฮึ่มๆๆ
คือพอลงรถที่แยกป่าซางแล้วเนี่ย ถ้าจะไปดอยแม่สลองก็ต้องต่อสองแถวพวกนี้อยู่แล้ว
เจ้าผีท่ารถก็ปรี่มาถามว่า
“ปะหนา” (ไปไหน)
“ดอยแม่สลอง”
ตอบไปเจ้าผีบ้าก็พยักหน้าหงึกหงักบอกว่ารถเต็มเมื่อไหร่ถึงออก ระหว่างนั้นอ้ายเพื่อนฉันมันบอกว่าเจ้าผีฯ มันคอยมองฉันกับเพื่อนตลอด สงสัยกลัวหาย ฉันกับเพื่อนยังว่า น่าจะแกล้งวิ่งหนีนะ
นั่งรอจนคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็เดินไปถามว่าจะออกหรือยัง เจ้าผีฯ ตอบว่า...
“มะปะละ” เฮ้ย!! ฉันตะลึงมึนๆ ตอบเงี้ยะเลยเหรอ เสร็จแล้วเจ้าผีฯ ก็อธิบายอย่างเจนจัดว่า
ที่ไม่ไปเพราะ ส่วนใหญ่คนที่รอรถอยู่เนี่ย ไปแยกเทอดไท (ก่อนถึงดอยแม่สลอง) ดังนั้นถ้าฉันจะไปดอยแม่สลองก็ต้องรอคนเต็ม ไม่ก็...เหมารถ
เวรซิมรึง เดี๋ยวทิ้งกรูกลางอากาศ เดี๋ยวให้กรูเหมารถ (อันนี้พูดในใจนะ) แต่ยัง...ฟามเลวของเจ้าผีฯ ยังไม่หมดเท่านี้หรอก อ่านกันต่อไป

พอคุยกับเจ้าผีฯ เสร็จฉันเลยเดินไปบอกเพื่อน อ้ายเพื่อนก็ว่างั้นไม่ไปกับมันละ ไปโบกรถกันดีฝ่า...พอดีว่า มีรถคันนึงจอดอยู่ แล้วรู้ว่าฉันกับเพื่อนจะไปข้างบน เค้าเลยถามว่าจะติดรถไปมั้ย แล้วค่อยไปต่อรถข้างบนเอา
เหมือนสวรรค์โปรด ฉันกับเพื่อนรีบหยิบกระเป๋าขึ้นท้ายกระบะ แต่....
...
...
...
...
เจ้าผีฯ มันไม่ยอม (เกี่ยวอะไรกับมรึงฟระเนี่ย)

มันบอกว่า ยังไงก็ต้องไปต่อรถ ก็ไปกับมันสิ
เวรซิมรึง เดี๋ยวทิ้งกรูกลางอากาศ เดี๋ยวให้กรูเหมารถ แล้วยังขัดขวางการเดินทางของกรูอีก (ยังพูดในใจเหมือนเดิม)
พี่กระบะเค้าคงกลัวว่าจะมีเรื่อง ก็เลยไม่รับฉันกับเพื่อนไปด้วย (วันอะไรฟระ โดนผู้ชายทิ้งตั้งสองหน) ฉันกับเพื่อนจึงได้แต่สาปส่งไอ้ผีบ้าฯ ก่อนถือคติไปตายเอาดาบหน้า
แบกเป้เผ่นหนีมันไปไกลๆ ให้หลุดรอดสายตามัน แล้วโบกรถเอาจึงสำเร็จ เฮ้อ...

ระหว่างนั่งรถสองแถว (คนละ 40 บาท) ผ่านภูเขาหมอกหลายลูก คลื่นหมอกระยอดเขาสูงลิบ แต่ถ้าลูกไหนเตี้ยหน่อยก็ถูกกลืนไปกับคลื่นขาว ไอหมอกไล่เรื่อยบดบังถนนสายคด เหลือแต่กลุ่มควันจางๆ ให้ฉันเดาเล่นว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ความสวยก็ทำให้ฉันลืมเบื้องหน้าซะสนิท มีความสุขชนิดไม่ต้องให้สมองสั่งการเลย

ฉันกับเพื่อนปุเลงๆ ไปจนถึงแยกเทอดไท ที่นี่มีหมู่บ้าน มีชาวเขา มีทหารตั้งด่านตรวจบัตร (อีกแล้ว)
ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันอยากถ่ายภาพสามแยกเป็นที่ระลึก แต่ไม่มีโอกาส อ้ายเพื่อนจึงได้แต่ปลอบใจว่า ไม่เป็นไร ถ้ามรึงอยากถ่ายภาพกะทหาร
เดี๋ยวให้แฟนกรูจัดให้ แต่ชาวเขามรึงไปหาเอาเองนะ อืมมม ซึ้งน้ำใจเพื่อนจนน้ำตาซึม (T T)

รถสองแถวยังวิ่งต่อไป ฉันไม่เห็นทางข้างหน้าหรอกว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ตัวเองเอียงซ้ายขวาไปมาไม่หยุด จนกระทั่งถึงไร่ชา101 จึงได้เหยียบพื้นดอย พร้อมกับยิ้มทันทีเมื่อได้ยินเสียงเพลง...

“โพะเอาแคโระมาฝะ หยะหะเธอดะกิน...”

แล้วฉันกับเพื่อนก็กินซาลาเปาเห็ดหอมกับไข่ต้มใบชาเป็นอาหารเช้า ตามด้วยชาอู่หลง ชาเขียว ที่น้องไร่ชาขยันชงให้ พร้อมบอกเล่าเรื่องชาให้ฟัง
ในที่สุดฉันกับเพื่อนจึงถึงบางอ้อว่า การชงชานั้น น้ำแรกให้เททิ้ง แล้วจึงดื่มได้ตั้งแต่การชงครั้งที่สองถึงแปด
ที่สำคัญไม่ควรดื่มชาค้างคืน เพราะจะทำให้ท้องผูก

ช้อปชา+กินเล่นชมวิวไม่เท่าไหร่ ก็มีสองแถวมาเรียกว่าจะลงข้างล่างมั้ย ฉันกับเพื่อนรีบกุลีกุจอแบกกระเป๋าลงทันที เพราะเราสองคนมีคิวต่อกันที่ “ดอยตุง”

18035_c3.jpg

18035_c4.jpg


กลับลงมาถึงสามแยกบ้านป่าซางก็ขึ้นรถบัสสายเดิม บอกกระเป๋ารถเสียงหวานจ๋อยว่าลงดอยตุงสายใหม่ ถึงที่หมาย รถยังคงจอดนิ่มๆ (พิสูจน์ว่ารถบัสที่นี่มารยาทดีทุกคัน) และแน่นอนเมื่อฉันกับเพื่อนลงจากรถ ก็ต้องพบกับ....
ผีท่ารถ
คราวนี้ไม่มาคนเดียว เพราะเขาอุ้มลูก (ไม่ก็หลาน) มาด้วย พร้อมข้อเสนอให้เหมารถขึ้นดอยตุงในราคา 400 บาท
“ปกติเค้าเหมากัน 720 บาทนะ” น่านนน คราวนี้มียกเคสตัวอย่าง
แต่ฉันกับเพื่อนก็ได้แต่ส่ายหน้าไว้ก่อน เพราะต้องเข้าที่พัก โยนกระเป๋าเข้าที่พักเสร็จ ฉันกับเพื่อนก็เผ่นออกมา
ก่อนออกคนดูแลรีสอร์ตถูกผีท่ารถสิงหรือไงไม่รู้นำเสนอแพคเกจเดียวกันกับผีท่ารถข้างนอกเลย

ฉันกับอ้ายเพื่อนจึงเริ่มสุมหัวปรึกษาหารือกันครั้งแรกตั้งแต่เริ่มคิดเรื่องเที่ยว!!!
“นี่มันไม่ใช่หน้าเทศกาลว่ะ กว่ารถที่คิวจะเต็มคงนานนน” ฉันบ่น (ถ้าขึ้นที่คิวรถดอยตุงตกคนละ 60 บาทเต็ม 12 คนออก)
“นี่แหละ เราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” อ้ายเพื่อนฉันทำท่านักการเมือง
“ยังไงฟระ” ฉันงง
“ก็ไม่ใช่หน้าเทศกาล คนก็น้อยใช่มะ ฮี่ๆๆ” อ้ายเพื่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ “ดังนั้นยังไงก็ต้องง้อคน ต่อราคาไปเลยยย ไม่เอาเราเค้าก็อดนะเฟ้ย!!”
จากนั้นฝ่ายคนก็เป็นต่อ ยื่นคำขาดกับผีท่ารถที่ยอมลดให้เหลือ 300 แต่เที่ยว 2 ที่
“ไม่เอา 300 ต้องเที่ยว 3 ที่” อ้ายเพื่อนยืนยันจนผีท่ารถยอมแพ้

18035_c5.jpg


ถึงศูนย์เพาะพันธุ์พืช อ้ายเพื่อนก็ดีใจสุดขีด คาดว่าคงเก็บกดหลังจากฟังเพลงเด็กดอยใจดีที่ดอยแม่สลอง จึงพยายามหาแคโระกิน แต่เสียใจ ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่หน้าเทศกาล แถมไม่รู้ว่าหน้านี้มีแคโระหรือเปล่า
แผงชาวเขาส่วนใหญ่ก็ปิด ฉันจึงได้แต่ปลอบใจ อ้ายเพื่อนเอ๋ย ถ้ามรึงอยากกินแคโระขนาดนั้น ไว้กลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ กรูจะพามรึงไปแทะแคโระที่ซีซซะเล่อร์แล้วกัน
อืมมม อ้ายเพื่อนซึ้งน้ำใจฉันจนน้ำตาซึม (T T)

จากนั้นก็ไปที่บ้านของสมเด็จย่า คราวนี้คนเพียบค่อยอุ่นใจหน่อย (ไม่งั้นนึกว่าทั้งเชียงรายมีเที่ยวกันอยู่สองคน)
เสียค่าบัตรเรียบร้อย ก็เข้าไปชมความงามแบบล้านนาผสมสวิสฯ และสวนรุกขชาติที่สวยสุดยอดดดด
(ถึงตอนนี้อ้ายเพื่อนว่า อยากใส่ชุดลีลาศแล้วออกมาร้องเต้นเพลง...สวนรุกขชาติใบเขียว.............ร้องต่อไม่ได้ละ รอทั่นอาวุโสมาต่อให้ดีฝ่า)

เที่ยวเสร็จหมดแรงกลับมาหลับปุ๋ยที่รีสอร์ต คร่อก...ฟี้....
(500 บาท/คืน ที่พักโทรมหน่อย แต่มีแอร์+โทรทัศน์ที่ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีเสาอากาศที่โพลิเมอร์ของปูนซีเมนต์ไทยยังอาย เพราะมันคือ...ไม้แขวนเสื้อนะคร้าบ)


18035_c6.jpg18035_c7.jpg


ตอนเย็นที่ทางทางขึ้นดอยตุง (ถนนก็ว่าง แต่รถซิ่งคันนึง ไม่ต้องดูทะเบียนก็รู้เลยว่ากรุงเทพฯ)

18035_c8.jpg


วันสุดท้ายที่เชียงราย
ตื่นแต่เช้าเช่นเคย แล้วค่อยโผล่ไปหาคนดูแลรีสอร์ตบอกว่าจะ check out คนดูแลก็ใจดี ถามว่าจะไปไหนกัน
พอฉันกับอ้ายเพื่อนว่าจะไปแม่สาย เค้าว่า อู้ยยย ไม่บอกๆ เอากระเป๋าไปเก็บเลย เพราะเดี๋ยวจะมีคนไปเหมือนกัน ให้ไปกับเค้า แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำขึ้นรถ

อ้ายเพื่อนกับฉันก็ใจง่าย เก็บกระเป๋าทันตา โผล่มาหาคนดูแลอีกที เค้าชวนไปเที่ยวตลาด หุๆ มีหรือจะไม่ไป นั่งซ้อนสามจนยางแบน (- -")


จิบกาแฟโซ้ยปาท่องโก๋เสร็จก็กระโดดขึ้นรถลุงคนนึง มีคนขับหน้าโหด ลูกน้องอีกหนึ่ง เห็นแล้วชักหวั่นใจ เอาไงดีฟระ ดันตกลงไปกะเค้าแล้วด้วย แงๆ

ไปได้ซักพัก นายตำรวจเรียกอีกแล้ว คราวนี้หวั่นใจกว่าเก่า เพราะกลัวรถที่นั่งขนยา ฉันกับอ้ายเพื่อนคงได้เป็นเพื่อนตายกันจริงๆ
ผลสุดท้ายก็แค่ตรวจบัตร ฉันแอบถอนหายใจ เฮ้อ...
รถวิ่งไปเรื่อย ถึงที่ว่าการอำเภอแม่สาย แวะทำบัตรผ่านแดน (เห็นเค้าประกาศว่าจะไม่ให้ทำตรงจุดผ่านแดนแล้ว ต้องทำที่อำเภอเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงก็ยังเห็นเค้าทำกันที่จุดผ่านแดนนะ)

ถึงที่หมายลุงเจ้าของรถกับลูกน้องเค้าก็จะข้ามไปด้วย
เพราะทำงานที่นั่น ฉันยิ่งซีดเข้าไปใหญ่ ทำอะไรกันฟระที่ฝั่งพม่า เดินไปด้วยกันใจตุ้มๆ ต่อมๆ จังหวะเดียวกับ hard core ค่อยๆ ผ่านตำรวจ เจ้าหน้าที่ ทีละจุดๆ หวั่นใจเป็นจุดๆ จนผ่านมาแล้ว ลุงคนขับรถกับลูกน้องชายคนนั้นก็ยังเดินตาม...ตามมาเรื่อยๆ เหมือนเงา...
“จะไปไหนกัน” เสียงลุงคนขับรถดุดูเหมือนคาดคั้น ฉันจึงตอบ
“ไปดูเจดีย์” ฉันบอกสั้นๆ เมื่อได้รับคำตอบ ลุงคนขับรถก็หันไปซุบซิบกับลูกน้องอีกคน ก่อนเรียกสามล้อที่กำลังรุมตอมฉันกับเพื่อนมา 1 คัน แล้วทำหน้าโหด (กว่าเก่า) ใส่
“นี่หลานสาว ถ้าหายไปมีเรื่องแน่”
พูดเสร็จก็หันมายิ้มให้ฉันกับเพื่อน (เออ..รอยยิ้มนี่ทำให้คนดูดีขึ้นจริงๆ แฮะ)
“เอาเบอร์ไป มีอะไรก็โทรมา” ลุงหน้าโหดที่ตอนแรกฉันกลัวหนักหนา ...ตอนนี้กลายเป็นมหามิตรซะแล้ว... (^^)
ถึงตอนนี้ฉันได้แต่ละอายใจที่มองโลกไปต่างๆ นาๆ ทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสจริงๆ

18035_c9.jpg

แยกย้ายกันไปก็ไปไหว้พระที่วัดๆ หนึ่ง คนขับสามล้อคันที่เราเจอ แกเป็นไกด์ที่ดีทีเดียว อธิบายโน่นนี่ (ไม่รู้เป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า)
แต่ฉันดันเป็นลูกไกด์ไม่ดี มัวถ่ายรูปจนไม่ได้ฟังแก เสร็จแล้วก็ไปไหว้ที่เจดีย์ชเวดากองจำลอง ก่อนกลับไปท่าขี้เหล็ก ช้อปปิ้งของฝากนิดหน่อย พวกพลอย แหวนอะไรไม่ซื้อ ถือว่าดูไม่เป็นเลยไม่เอาดีฝ่า ครั้นจะซื้อขนมเป็นของฝาก แรกๆ ก็ 10 ห่อ 100 เดินไปซักพัก 12 ห่อ 100 เราก็วัดดวงเดินลึกเข้าไปอีกเพื่อทำลายสถิติ และในที่สุดก็เจอ 14 ห่อ 100 ฮ่าๆๆ เจอของถูกแล้ว แต่ไม่ได้ซื้อหรอก
เพราะถูกเกินไป (อารายกันเนี่ย แพงก็ไม่ซื้อ ถูกก็ไม่เอา)

ข้ามกลับมาฝั่งไทย เดินๆ กินๆ พักใหญ่ ทนอากาศร้อนไม่ไหว (ถึงตอนนี้นึกขึ้นได้ว่ามาเชียงราย 3 วัน เจอไป 3 ฤดูเลยแฮะ) ก็กลับไปเก็บกระเป๋า เตรียมกลับบ้าน
ระหว่างรอรถทัวร์ก็ฟาดอาหารพื้นเมืองอันแสนไฮโซของชาวกรุงไป 1 มื้อ มันคือ...หมูปิ้ง 7 ไม้ซาว (ซาว = 20) พอรถทัวร์มา ก็ถึงเวลาอำลาเชียงราย...เมืองแสนเสน่ห์...
(และแน่นอน เมื่อฉันกับอ้ายเพื่อนได้ขึ้นรถ ผู้สนับสนุนหลักของฉันและเพื่อนก็ตามมาเหมือนทุกที นั่นคือ...
เด็กทารก
คงไม่ต้องอธิบายให้มากความนะว่ากว่าฉันกับเพื่อนจะไปถึงกรุงเทพฯ เราหลับสนิทขนาดหนายยยย ZzZ

18035_c10.jpg

The End


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที