GIT Information Center

ผู้เขียน : GIT Information Center

อัพเดท: 08 พ.ย. 2016 03.13 น. บทความนี้มีผู้ชม: 1676 ครั้ง

ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับขอนำเสนอ "พลังสาวโสดในต่างประเทศกับโอกาสธุรกิจเครื่องประดับของไทย" สนใจบทความอื่นๆ อ่านเพิ่มเติมที่ http://infocenter.git.or.th สอบถาม พูดคุย หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ที่ https://www.facebook.com/GITInfoCenter


พลังสาวโสดในต่างประเทศกับโอกาสธุรกิจเครื่องประดับของไทย

ปรากฎการณ์การครองตัวเป็นโสดของบรรดาสาวๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ได้เป็นเพียงกระแสแฟชั่นหรือค่านิยมที่เปลี่ยนไป แต่ด้วยการศึกษาที่สูงขึ้น ทำให้พวกเธอมีงานทำ หาเลี้ยงตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่ชอบการไปไหนมาไหนคนเดียว การทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น ผู้หญิงเหล่านี้จึงไม่ให้ความสำคัญกับการแต่งงานหรือใช้ชีวิตคู่สักเท่าไหร่ จึงไม่แปลกที่จะมีสาวโสดเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี ทั้งนี้ สถาบันวิจัยเอเชีย (Asia Research Institute) ได้ทำการสำรวจผู้หญิงโสดในเมืองหลวงอายุระหว่าง 30-34 ปี พบว่า ชาวอเมริกันมีจำนวนสูงสุดถึง 45% รองลงมาเป็นญี่ปุ่น 35% ไทย 33% ฮ่องกง 28% สิงคโปร์ 21% และเกาหลีใต้ 19%

นอกจากนี้ ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บระบุว่า ผู้ขับเคลื่อนการซื้อสินค้าและบริการทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงราว 70-80% เลยทีเดียว และคาดการณ์ว่าในปี 2566 ผู้หญิงทั่วโลกจะมีรายได้รวมกันถึง 18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแน่นอนว่ารวมสาวโสดอยู่ด้วย โดยกลุ่มสาวโสดนี้นับเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก เนื่องจากสาวๆ เหล่านี้ไม่มีภาระรับผิดชอบเรื่องครอบครัว จึงใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมากกว่ากลุ่มคนมีครอบครัว จะเห็นได้ว่าปัจจุบันเริ่มมีสินค้าและบริการออกมารองรับกลุ่มตลาดสาวโสดไม่น้อย สำหรับธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับที่ต้องการรุกตลาดนี้ก็ควรเรียนรู้ไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมการใช้จ่ายของเหล่าสาวโสด เพื่อจะได้ผลิตสินค้ามัดใจพวกเธอได้ตรงจุด ในที่นี้ ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับจะขอแนะนำตลาดสาวโสดที่น่าสนใจดังนี้
 
สาวโสดอเมริกัน
 
ข้อมูลจาก Employee Benefits Research Institute and Greenwald and Associates ระบุว่า ผู้หญิงในอเมริกาเป็นโสดถึง 55 ล้านคน (53% ของจำนวนคนโสดทั้งประเทศ) โดยกว่าครึ่งหนึ่งเป็นสาวโสดที่มีอายุมากกว่า 34 ปีขึ้นไป และจากข้อมูล The US Census Bureau พบว่า สาวโสดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 40,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไปมีอยู่ราว 20% ของจำนวนผู้หญิงโสดทั้งหมด แต่ละคนใช้จ่ายซื้อเครื่องประดับในแต่ละครั้งเฉลี่ย 500 เหรียญสหรัฐ โดยผู้มีรายได้ยิ่งสูงยิ่งซื้อเครื่องประดับเพิ่มขึ้น ส่วนข้อมูลจาก Lake Research Partners สนับสนุนความคิดที่ว่า สาวโสดอเมริกันค่อนข้างมีกำลังซื้อ มีแนวโน้มซื้อบ้านและมีธุรกิจเป็นของตนเองมากขึ้น
           
นอกจากนี้ Lake Research Partners ยังระบุด้วยว่า สาวโสดอเมริกันส่วนใหญ่จะเข้าคลับหรือเข้าร่วมกิจกรรมขององค์กรต่างๆ หรือการเป็นอาสาสมัคร โดยผู้หญิงโสด 28% จะต้องเป็นสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งองค์กร และ 52% จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโบสถ์ ด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายของสาวโสดอเมริกัน IM insights in marketing ระบุว่า ผู้หญิงโสด 56% มักใช้เงินในการชอปปิง ซึ่งสินค้าหลักที่ผู้หญิงโสดอเมริกันซื้อเป็นจำพวกเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน สินค้าแฟชั่นอย่างเสื้อผ้าและเครื่องประดับ นอกจากพวกเธอจะซื้อเครื่องประดับเพื่อสวมใส่เองแล้ว ยังนิยมซื้อเป็นของขวัญมอบให้กับคนสำคัญในเทศกาลต่างๆ เช่น วันครบรอบวันเกิด วันแม่ วันคริสต์มาส เป็นต้น ทั้งนี้ การตัดสินใจซื้อเครื่องประดับนั้น สาวโสดส่วนใหญ่จะไม่เชื่อโฆษณา แต่จะตัดสินใจซื้อจากข้อมูลที่บอกต่อกันมาแบบปากต่อปาก หรืออ่านรีวิวจากอินเตอร์เน็ต อีกทั้งยังชอบแชร์ประสบการณ์การใช้สินค้าให้แก่ผู้อื่นด้วย ส่วนสาวโสดอีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นพวกเดินไปชอปปิงตามร้านเครื่องประดับที่อยู่ตามย่านการค้า หรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งหากเห็นสินค้าแล้วถูกใจก็จะไม่ลังเลที่จะซื้อสินค้านั้น
 
สำหรับมูลค่าตลาดเครื่องประดับในสหรัฐอเมริกานั้น จากรายงานของ Euromonitor ระบุว่าในปี 2558 มีมูลค่าราว 63.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2% โดยเครื่องประดับแท้มียอดขายกว่า 84% ของยอดขายรวม และลูกค้าเครื่องประดับส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ซื้อสินค้าตั้งแต่ระดับราคาปานกลางถึงสูงมากกว่าสินค้าราคาต่ำ จากแนวโน้มที่สาวอเมริกันซื้อเครื่องประดับที่มีราคาแพงมากขึ้น ทำให้ราคาสินค้าต่อหน่วยสำหรับเครื่องประดับแท้เพิ่มขึ้น 4% และเครื่องประดับแฟชั่นเพิ่มขึ้น 2%
 
เครื่องประดับที่ทำจากโลหะทองคำสีเหลืองเป็นสินค้าที่สาวอเมริกันนิยมสูงสุด รองลงมาเป็นแพลทินัม โดยเครื่องประดับตกแต่งด้วยเพชรเป็นสินค้าที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 39% ของตลาดเครื่องประดับแท้ ส่วนประเภทเครื่องประดับพบว่าสาวๆ อเมริกันชอบต่างหูมากที่สุด 32% รองลงมาเป็นแหวน 30% และสร้อยคอ 24%
 
สำหรับเครื่องประดับที่สาวโสดอเมริกันชื่นชอบจะเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีเรื่องราวหรือแรงบันดาลใจ และผลิตจำนวนจำกัด เมื่อสวมใส่แล้วจะไม่ไปซ้ำกับคนอื่นๆ ได้ง่าย สามารถสะท้อนบุคลิก และมีแนวโน้มซื้อสินค้าที่มีแบรนด์มากขึ้น โดยแหล่งชอปปิงเครื่องประดับได้แก่ ห้างสรรพสินค้า อาทิ J.C. Penney ร้านค้าที่มีสาขาอย่าง Walmart ซึ่งมียอดจำหน่ายเครื่องประดับสูงสุดในกลุ่ม Discount store และร้านค้าปลีกออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่เติบโตเร็วมากและได้รับความนิยมมากขึ้น จนทำให้ยอดค้าปลีกเครื่องประดับออนไลน์ในสหรัฐฯ มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยสาวๆ มักซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน Application บนโทรศัพท์มือถือและ Tablet ส่วนผู้นำการค้าปลีกเครื่องประดับออนไลน์ในสหรัฐคือ Blue Nile Inc และเว็บไซต์อย่าง Amazon.com, Bidz.com ก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
 
สาวโสดญี่ปุ่น
         
เนื่องจากสาวญี่ปุ่นยุคใหม่มีแนวโน้มเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น ชอบทำงานนอกบ้าน และจำนวนไม่น้อยที่มีรายได้มากกว่าผู้ชาย จึงทำให้สาวญี่ปุ่นครองความโสดเพิ่มขึ้น โดยยูกิ นักเขียนจากเว็บไซต์ http://matcha-tea.com คาดการณ์ไว้ว่า ในปัจจุบันผู้หญิงญี่ปุ่นที่มีอายุ 20 ปลายๆ ขึ้นไปจะมีสาวโสดอยู่เกินกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
 
ด้านตลาดเครื่องประดับในญี่ปุ่น จากข้อมูลของ Euromonitor ระบุว่า มีมูลค่าราว 1,010 พันล้านเยน หรือราว 9,891 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2558 เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเครื่องประดับแท้มียอดขายสูงที่สุด ด้วยอัตราการเติบโต 2% ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวและผู้บริหารหญิงในญี่ปุ่น ส่วนเครื่องประดับแฟชั่นที่ได้รับความสนใจนั้นจะต้องเป็นชิ้นที่มีเอกลักษณ์พิเศษแตกต่างจากสินค้าของรายอื่นๆ โดยเฉพาะสินค้าจากแบรนด์หรูหราจะได้รับความนิยมมาก และจากอัตราการแต่งงานของผู้หญิงญี่ปุ่นลดลง ส่งผลทำให้เครื่องประดับแต่งงานลดลง 3% เมื่อเทียบกับปี 2557
 
เครื่องประดับเพชรมียอดขายสูงที่สุด 49% ของยอดขายเครื่องประดับรวม ส่วนเครื่องประดับที่ตกแต่งด้วยพลอยสีก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในตลาดญี่ปุ่น โดยเครื่องประดับทองได้รับความนิยมที่สุดในหมู่สาวญี่ปุ่น รองลงมาเป็นเครื่องประดับแพลทินัม เพราะนอกจากจะเอาไว้สวมใส่เพื่อความสวยงามแล้วยังสามารถเก็บเป็นสินทรัพย์ได้อีกด้วย
         
สาวโสดญี่ปุ่นในปัจจุบันส่วนมากทำงานนอกบ้านและพักอาศัยอยู่กับครอบครัว จึงมีเงินใช้จ่ายได้อย่างอิสระ และมีพฤติกรรมซื้อสินค้าแต่ละครั้งปริมาณมาก โดยสินค้าที่พวกเธอชอบซื้อก็คือ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง และเครื่องประดับ พฤติกรรมดังกล่าวทำให้สาวๆ เหล่านี้กลายเป็นผู้กำหนดเทรนด์ของสินค้าโดยอัตโนมัติ สำหรับสินค้าเครื่องประดับนั้น สาวโสดญี่ปุ่นนิยมสินค้าที่มีเรื่องราว ธีมและคีย์เวิร์ดที่สื่อถึงสถานะ การใช้ชีวิต และคุณค่าของการเป็นสาวโสด เช่น บางแบรนด์ใช้ธีมสินค้าว่า “Paradise Singles” เป็นต้น นอกจากนี้ สาวๆ ญี่ปุ่นยังพร้อมจ่ายเงินในราคาสูงเพื่อจะซื้อสินค้าแบรนด์เนมและสินค้าแฮนด์เมดที่มีเอกลักษณ์อย่างชัดเจน และด้วยตลาดสาวโสดกำลังเติบโตมากขึ้นในญี่ปุ่น จึงทำให้มีผู้ค้าเครื่องประดับรายใหญ่ในโตเกียวและโอซาก้ามองเห็นโอกาสนี้ บางรายหันมาเจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงโสดมากขึ้น โดยเริ่มโฆษณาแหวนสำหรับผู้หญิงโสด และใช้คีย์เวิร์ดในการโฆษณาว่า “You’re important enough to buy a diamond for yourself.” สำหรับแหล่งซื้อเครื่องประดับที่สาวๆ นิยมไปซื้อได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกเครื่องประดับแบบ Stand Alone รวมถึงช่องทางออนไลน์ก็มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น
 
สาวโสดฮ่องกง
 
ผู้หญิงชาวฮ่องกงโดยทั่วไปมีการศึกษาที่ดี มีหน้าที่การงานมั่นคง และรายได้ค่อนข้างสูง พวกเธอจึงคาดหวังคู่ที่มีทุกอย่างเหนือกว่าหรือดีกว่า หากไม่พบดังที่หวังไว้จึงเลือกที่จะอยู่เป็นโสด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จำนวนสาวโสดในฮ่องกงเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Census and Statistics Department พบว่า ผู้หญิงฮ่องกงที่ไม่เคยผ่านการแต่งงานมาเลยที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปมีอยู่ราว 3 แสนคน โดยบางสื่อของฮ่องกงได้คาดการณ์ว่ามีผู้หญิงโสดทั้งที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วและยังไม่แต่งงานตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไปรวมกันประมาณ 1 ล้านคน
 
สำหรับไลฟ์สไตล์ของสาวฮ่องกงนั้น พวกเธอรักความก้าวหน้าจึงมักเข้าคอร์สหรือหลักสูตรต่างๆ เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และชอบความบันเทิงจึงมักใช้เวลาว่างในการไปดูหนังและการแสดงในเวทีต่างๆ อาทิ การเต้นบัลเลย์ เป็นต้น นอกจากนี้ สาวๆ ฮ่องกงยังรักสุขภาพจึงชอบไปออกกำลังกายโดยการเล่นแบดมินตันหรือวอลเลย์บอล การขี่จักรยานในสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขา เป็นต้น ซึ่งไลฟ์สไตล์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าสาวฮ่องกงชอบทำกิจกรรมนอกบ้าน ดังนั้น ก่อนออกจากบ้านสาวๆ เหล่านี้ก็น่าจะใส่ใจกับการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับเพื่อให้ตนเองดูดีขึ้นด้วย
 
สาวโสดชาวฮ่องกงส่วนใหญ่มีรายได้สูงและมักทำงาน รวมถึงทำกิจกรรมนอกบ้าน จึงชอบซื้อสินค้าที่สวมใส่ให้ภาพลักษณ์ตนเองดูดีอยู่เสมอ และชอบสินค้าหรูหรา แบรนด์เนม ในส่วนของเครื่องประดับ สาวๆ จะชอบซื้อเครื่องประดับเพชรที่ตัวเรือนทำจากทองขาวมากที่สุด รองลงมาเป็นทองชมพู และทองคำสีเหลือง ตามลำดับ นอกจากเครื่องประดับแบรนด์เนมจะขายได้ดีแล้ว สินค้าที่มีดีไซน์แบบใช้นวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงเครื่องประดับแฟชั่นสำหรับคนรุ่นใหม่ก็มีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดนี้
 
แหล่งซื้อเครื่องประดับมีห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกเครื่องประดับท้องถิ่น และออนไลน์ โดยช่องทางออนไลน์เป็นที่นิยมมาก แม้กระทั่งสินค้าแบรนด์ชั้นนำต่างก็ขยายช่องทางตลาดผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ทำให้ตลาด E-commerce ฮ่องกงมีมูลค่าสูงถึง 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยผู้หญิงซื้อสินค้าออนไลน์บ่อยและในปริมาณที่สูงกว่าผู้ชาย และส่วนใหญ่ซื้อผ่าน Mobile app ซึ่งสินค้าที่ซื้อสูงสุดคือตั๋วเครื่องบิน 75% รองลงมาก็เป็นโรงแรมที่พัก 71% เสื้อผ้าและเครื่องประดับ 31%
 
บทสรุป
           
ในห้วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจของหลายประเทศกำลังซบเซา ประกอบกับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นมาก การดำเนินธุรกิจแบบตลาดใหญ่ หรือ Mass Market ดังเช่นอดีตไม่สามารถทำให้ธุรกิจขยายตัวได้มากนัก เพราะจะต้องแข่งขันราคากับประเทศคู่แข่งที่มีต้นทุนแรงงานถูกกว่าไทยอย่างจีนและอินเดีย ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรหันมาทำตลาดเฉพาะกลุ่มหรือ Niche Market ให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้สินค้ามีเอกลักษณ์และขายได้ในราคาสูง โดยกลุ่มตลาดสาวโสดนับเป็นตลาดที่น่าสนใจ มีกำลังซื้อค่อนข้างมาก รวมถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยได้โดยไม่ต้องกังวลกับภาระต่างๆ ที่สำคัญสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพจากนักช้อปทั่วโลก แต่ยังมีปัญหาด้านดีไซน์และการตลาดที่ยังเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย
 
หากต้องการให้สินค้าไทยตรงใจกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มสาวโสด ผู้ประกอบการก็ควรจะต้องศึกษาไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต รูปแบบสินค้าและราคาที่เหมาะสม รวมถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าในเชิงลึกเพิ่มขึ้น ในกรณีที่ไม่มีทุนมากพอในการทำวิจัยตลาด ก็สามารถสร้างแบบสำรวจฟรีที่ระบบ google และนำลิงค์ไปวางไว้ตามเว็บไซต์ต่างๆ โดยแบบสอบถามควรมีหลายภาษาทั้งภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น และจีน ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายเป็นคนชาติไหน หรืออาจใช้วิธีสอบถามกับผู้ซื้อ (Buyer) หรือผู้นำเข้า (Importer) ซึ่งมักจะเก็บข้อมูลและทราบความต้องการของลูกค้าในประเทศตน กรณีที่ธุรกิจมีเงินมากพอก็อาจจะจ้างบริษัทวิจัยตลาด ซึ่งธุรกิจรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จนั้นส่วนใหญ่ก็มาจากการให้ความสำคัญการทำวิจัยด้านการตลาด จนสามารถผลิตสินค้าและกำหนดราคาได้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค นับเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้กิจการเติบโตอย่างยั่งยืน

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที