วัตพล

ผู้เขียน : วัตพล

อัพเดท: 18 มี.ค. 2024 02.03 น. บทความนี้มีผู้ชม: 671359 ครั้ง

ผิวแห้งคัน ปัญหาคันยุบยิบที่รักษาให้หายได้


หน้าใสไร้สิวกับ 10 วิธีรักษาสิว ไม่ให้สิวขึ้นอีก ทำได้ง่าย ๆ

10 วิธีรักษาสิว

สิว (Acne) เกิดขึ้นจากการอักเสบของรูขุมขนใต้ผิวหนัง เกิดการอุดตัน รวมถึงเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะทำให้เกิดสิวได้ ซึ่งจะทำเกิดเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ ลุกลามไปทั่วบริเวณซึ่งจะพบได้บ่อยในบริเวณ ใบหน้า เป็นส่วนมาก และในบางคนก็เกิดขึ้นที่ กลางหลัง หน้าอก หัวไหล่ ได้ในบางคนด้วย

โดยสิวถือเป็นโรคผิวหนัง ที่เกิดจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่เชื่อมต่อกับรูขุมขน ผลิตน้ำมันออกมาเป็นจำนวนมากเกินไป ซึ่งน้ำมันนี้จะช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นขึ้น ซึ่งจะผ่านทางรูขุมขน และเมื่อน้ำมันที่มากเกินไปก็จะเกิดการตกค้างที่ เซลล์ผิวหนังเก่าที่ตายแล้ว จะทำให้เกิดการอุดตัน ทำให้เกิดแบคทีเรีย สะสมจึงทำให้ผิวหนังส่วนนั้นเกิดการอักเสบแล้วเกิดเป็นสิวในที่สุด ซึ่งวิธีการรักษาสิวก็มีหลายวิธีแตกต่างกันไป


สิว (Acne) คือ 

สิว (Acne)จะเกิดจากน้ำมันที่สร้างขึ้นจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตมามากเกินไป และเซลล์ผิวหนังเก่าที่ตายแล้ว เกิดการอุดตันที่รูขุมขน จนเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียต่าง ๆ สะสม ทำให้เกิดเป็นสิวได้  ซึ่งน้ำมันที่ผลิตออกมาชื่อว่า ซีบัม (Sebum) จะทำหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งจะไหลผ่านรูขุมขน เส้นผม ซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังมีความนุ่มชุ่มชื้น ด้วยเหตุนี้ถ้าเกิดว่ามีสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน ก็จะทำให้เกิดการอักเสบแล้วเกิดเป็นสิวขึ้นในที่สุด ซึ่งสาเหตุหลักจะมีดังนี้ 

สิวแต่ละชนิดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยมักจะเกิดช่วง 14-15 ปี และส่วนใหญ่จะหายไปในช่วงอายุ 30 เป็นต้นไปแล้วแต่ฮอร์โมนของแต่ละคน และการดูแลรักษาสิว ของแต่ละคน


สิว เกิดจากสาเหตุใด 

สาเหตุหลักของการเกิดสิวนั้น เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการอักเสบ โดยประเภทของสิวจะมีตั้งแต่ สิวหัวเปิดสีดำ สิวหัวเปิดหัวขาว สิวตุ่มแดง และในบางคนยังเกิดเป็นตุ่มหนอง เป็นต้น ซึ่งวิธีรักษาสิวนั้น ต้องรักษาให้ถูกประเภทด้วย มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็น หรือเกิดสิวอักเสบมากกว่าเดิมด้วย โดยเกิดจากแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ หรืออาการต่างกัน โดยมี 4 ชนิด ดังนี้

  1. Seborrhea คือ การที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ซึ่งอาจจะเกิดจาก ฮอร์โมน สภาพอากาศ พันธุกรรม รวมถึงการใช้ยาบางชนิดด้วย
  2. Hyperkeratosis คือ การที่ผิวหนังชั้นนอก หนาตัวขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากการผลัดเซลล์ผิวที่ตายไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการอุดตันเมื่อน้ำมันไหลผ่าน จะไหลผ่านออกมาไม่ได้ 
  3. Microbial colonization คือ แบคทีเรียที่เกิดจากการสะสมเกิดขึ้นในรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบ เป็นตุ่มบวมแดง เป็นหัวหนอง
  4. Inflammation คือ การอักเสบที่เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียชนิด Cutibacterium acnes รวมตัวกับไขมันที่อุดตันใจ้ผิวหนังจะทำให้เกิดสิวอักเสบ 4 ชนิด สิวตุ่ม สิวหัวช้าง สิวหัวหนอง สิวซีสต์ ซึ่งจะเป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง

รักษาสิวตามประเภทของสิว 

รักษาสิวตามประเภท

สิวนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทนั้นจะเกิดจากสาเหตุต่างกัน ควรเลือกรักษาสิวให้ตรงประเภทด้วย เพราะว่าการใช้ครัมลดสิว หรือการบีบสิวที่ผิดวิธีนั้น อาจจะทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นในจุดนั้นได้ และอาจจะยังทำให้สิวอักเสบรุนแรงมากกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งทั้ง 3 ประเภทจะมีดังนี้

1. สิวอักเสบ (Inflammatory acne) 

สิวชนิดนี้เกิดจากการอักเสบบริเวณผิวหนัง และต่อมไข่มัน และมีการเกิดของแบคทีเรียจะมีลักษณะดังนี้

จะมีลักษณะเกิดเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ สีแดง เกิดขึ้นจากการอักเสบของผิวหนังชั้นล่าง ซึ่งสิวชนิดนี้จะยังไม่มีหนอง

จะมีลักษณะเกิดเป็นตุ่มกลม ๆ ขนาดเล็กอยู่บนผิวหนังชั้นนอกบริเวณตุ่มจะเกิดรอยแดง ๆ อีกด้วย เกิดจากการอักเสบ จะเห็นจุดศูนย์กลางของตุ่มเป็นน้ำหนองสีขาวอย่างชัดเจน

การรักษาสิวชนิดนี้สามารถรักษายาทาสิวหรือยาปฏิชีวนะ ยาชนิดเจลหรือครีมเช่น เรตินอยด์ (Retinoid), กรดซาลิไซลิก(Salicylic acid) ยาปฏิชีวนะเช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin), อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) เป็นต้น  

2. สิวไม่อักเสบ หรือสิวอุดตัน (Comedonal acne)

สิวชนิดนี้เกิดจาก รู้ขุมขนของผิวหนังเกิดการอุดตัน จึงเป็นแหล่งสะสมของน้ำมัน และแบคทีเรีย สิวที่เกิดจากลักษณะนี้จะมีดังนี้

จะเป็นสิวที่มีลักษณะหัวสิวปิด (Closed comedones) เป็นตุ่มเม็ดเล็กสีขาว บนผิวหนังชั้นบน เกิดจากแบคทีเรียอุดตันภายในรูขุมขน หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจจะเกิดการอักเสบได้

จะมีลักษณะคล้ายกับสิวหัวขาว ซึ่งเป็นสิวชนิดหัวเปิด (Open Comedones) จะเป็นตุ่มขนาดเล็ก นูนขึ้นมาจากผิวหนัง หัวสิวจะเป็นเม็ดสีดำแข็ง จะมีส่วนประกรอบของ เคราติน (Keratin) และลิพิด (lipid) ซึ่งเมื่อ 2 สิ่งนี้สัมผัสกับอากาศจะเกิด ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ทำให้เปลี่ยนเป็นสีดำ

สิวชนิดนี้นั้น สามารถป้องกันด้วยการดูแลผิวให้สะอาดอย่างเสมอ หลีกเลี่ยงการบีบสิว หรือใช้แผ่นแปะดึงสิว เพราะอาจจะทำให้เป็นแผลได้ ซึ่งวิธีรักษาก็สามารถใช้ยาชนิดแต้มได้เช่น กรดซาลิไซลิก(Salicylic acid), Benzoyl เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Peroxide) เป็นต้น 

3. สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) 

เป็นสิวชนิดอักเสบที่มีขนาดใหญ่ กว่าชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะเกิดในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึก ไม่มีหัวสิวออกมาให้เห็น โดยมีลักษณะดังนี้

เป็นสิวก้อนกลม จะเป็นสีเนื้อหรือสีแดงฝังลึกไปใต้ชั้นผิวหนัง เกิดขึ้นจากรูขุมขนอุดตันที่มีการอักเสบ ไม่มีหนอง 

สิวซีสต์(Cysts) จะมีขนาดใหญ่ เป็นสิวที่เกิดการอักเสบอย่างหนัก และมีการติดเชื้อที่บริเวณรอบ ๆ ทำให้ผู้ที่เป็นสิวชนิดนี้จะมีอาการ เจ็บ บริเวณที่เป็นสิว และมีน้ำหนองอีกด้วย

สิวชนิดนี้จะรักษาได้ยากที่สุด และไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้เพราะสิวเกิดการอุดตัน และอักเสบใต้ผิวหนัง ต้องให้แพทย์เฉพาะทางรักษาถึงจะดีที่สุด วิธีรักษาสิวชนิดนี้ก็คือการใช้ การผ่าตัดสิว (Acne Surgery), การฉีด การฉีด กลูโคคอร์ติคอยด์ (Corticosteroids) และการทำเลเซอร์ (Skin laser) เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการสร้างน้ำมันของต่อมน้ำมันได้อีกด้วย

รักษาสิวอักเสบ

วิธีรักษาสิว สิวอักเสบ

 

สิวชนิดนี้จะเป็นชนิดอักเสบ ที่เกิดจากภายนอก และภายในซึ่งต้องรักษาด้วยวิธีที่ต่างกันไป

รักษาสิวไม่อักเสบ

วิธีรักษาสิว สิวไม่อักเสบ

สิวชนิดนี้จะรักษาได้ด้วยการ ดูแลผิวให้สะอาด หลีกเลี่ยงการบีบ หรือแปะแผ่นดึงสิวนิยมใช้เจลแต้มสิว


10 วิธีรักษาสิวและป้องกันการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การรักษาสิว แต่ละแบบนั้นจะมีความยากง่ายต่างกัน โดยที่ถ้าหากเป็นสิวที่เป็นชนิดอักเสบภายใน อย่างเช่นสิวหัวช้าง ที่ไม่สามารถรักษาด้วยตัวเองได้ ควรจะปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงจึงจะเป็นการดีที่สุด และถ้าเป็นสิวชนิดไม่อักเสบนั้นสามารถทำด้วยตัวเองได้ ช่วยรักษา และลดสิวได้ โดยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้

1.  ดื่มน้ำสะอาด

ดื่มน้ำสะอาดลดสิว

การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญให้ผิวหนังชุ่มชื้น หากว่าผิวหนังชุ่มชื้นดีร่างกายจะไม่ผลิตน้ำมันออกมาจึงช่วยลดการอุดตัน ทำให้ลดสิวที่เกิดขึ้นใหม่ได้

2. จัดการกับความเครียด

คลายเครียดลดสิว 

เมื่อคุณเครียด จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน ที่ส่งผลทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทำให้เกิดการอุดตัน ทำให้เกิดสิว

3. การล้างหน้าที่ถูกวิธี

ล้างหน้าลดสิว

เนื่องด้วยในแต่ละวัน ใบหน้าเจอสิ่งสกปรกมากมาย จึงควรล้างหน้าเช้าเย็น จะถือว่าเพียงพอที่ช่วยลดสิว

4. การผักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน

พักผ่อนลดสิว

ร่างกายของคนเราต้องการในการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟู 7-8 ชั่วโมง จึงควรทำเป็นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซม ทำให้ร่างกายไม่ผลิตน้ำมันมากเกินไป ช่วยลดสิวเกิดใหม่ได้

5. ป้องกันผิวจากแสงแดด 

ป้องกันหน้าเป็นสิวจากแสงแดด

 

เมื่อผิวโดนแดด อาจจะทำให้ผิวเสียเนื่องด้วยแสง UV จึงจำเป็นต้องทาครีมกันแดดช่วยด้วย หรือการใส่หมวกหรือชุดคลุม เพื่อป้องกันเซลล์ผิวเสีย ทำให้เกิดสิวอุดตัน

6. การกินอาหาร

ลดอาหารมันลดสิว

กินอาหารพืชผักที่มีวิตามิน ควรลดการกินอาหารที่มี ไขมันจากแหล่งต่าง ๆ เช่น อาหารทอด เป็นหลัก เพราะจะทำให้กระตุ้นการผลิตน้ำมันให้มากเกินปกติ ทำให้สิวอุดตัน 

7. งดสัมผัสใบหน้า

งดสัมผัสใบหน้า ลดสิว

ใบหน้าเป็นเนื้อที่เปราะบางอย่างมาก หากใช้มือที่อาจจะสกปรกจับใบหน้าบ่อย ๆ อาจส่งผลให้แบคทีเรียเพิ่มขึ้นได้ ทำให้สิวเพิ่มขึ้น

8. หลีกเลี่ยงการบีบสิว

หลีกเลี่ยงการบีบสิว ป้องกันสิวอักเสบ

การบีบสิว อาจจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลังจากบีบได้ และยังเสี่ยงให้เกิดสิวอักเสบ จึงควรหลีกเลี่ยง

9. หลีกเลี่ยงการใช้กระดาษซับมันกับใบหน้า

งดใช้กระดาษซับมัน ลดสิวอุดตัน

 

เมื่อใบหน้าถูกซับความมันไปจนหมด อาจจะส่งผลให้ร่างกายผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ ทำให้สิวอุดตันเกิดขึ้น

10. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์จัดการสิวให้ดี

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ลดสิว

ควรเลือกที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ ศึกษาส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ที่อาจจะส่งผลให้เกิดการแพ้ได้ หรือส่งผลเสียทำให้สิวอักเสบได้


วิธีรักษา รอยสิว หลุมสิว

หลุมสิว จะเกิดขึ้นจากรอยสิว ทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน โดยปกติร่างกายจะใช้เวลาในการฟื้นฟูด้วยตัวเองจะใช้เวลา 7-10 วันหลังจากสิวหาย ซึ่งจะหายดีได้หากอาการสิวนั้น ไม่ได้มีอาการอักเสบที่รุนแรง หรือเป็นการอักเสบลึก ซึ่งวิธีรักษาจะมีดังนี้

การทาครีมหรือเจลแต้มรอยสิว

ทาเจล ลดสิว ลดรอย

ถ้าหากยังเหลือร่องรอยอยู่การทาครีมหรือเจลถือเป็นวิธีที่นิยมมาก เพราะจะช่วยให้รอยหายได้ ทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเจลที่นิยมใช้ต้องมีส่วนผสมของ วิตามิ B3 เป็นหลัก ซึ่งจะช่วยลดสิวได้

การเลเซอร์รักษาสิว รอยสิว และหลุมสิว

เลเซอร์ ลดสิว ลดรอย

เหมาะสำหรับคนที่อยากให้รอยสิว หายไปได้ไว ๆ ด้วยเลเซอร์ ซึ่งจะหายไปใส่ทันที แต่เมื่อเลเซอร์เสร็จแล้วต้องดูแลผิวหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแดด ห้ามทาครีมบำรุงใด ๆ ใช้เวลาถึง 3-4 เดือนตามที่แพทย์ได้บอกไว้


คำถามที่พบบ่อย 

คำถามที่พบบ่อยครั้งในหมู่คนเป็นสิวนั้นก็คือ การรักษาสิว แบบธรรมชาติมีวิธีอย่างไร ทำได้ยากหรือไม่ ได้ผลดีรึเปล่า เพราะหลาย ๆ คนอาจจะมีปัญหาสิวอาจจะเล็กน้อยเช่น สิวอุดตันทั่ว ๆ ไปจะจัดการได้อย่างไรดี ถึงจะเห็นผล

วิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติเป็นอย่างไร?    

วิธีนั้นจะเป็นการทำง่าย ๆ ที่ทำด้วยตัวเองดังนี้

เพียงเท่านี้ก็สามารถรักษาสิวได้ป้องกันสิวอักเสบ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้


ข้อสรุป

จะเห็นได้ว่าการรักษาสิวนั้น ควรแยกเป็นแต่ละประเภทให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดทำให้สิวอักเสบ การทำให้เกิดรอยสิว ถ้าหากสิวอักเสบรุนแรงจึงควรเข้ารับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง จึงจะดีที่สุด และการดูแลตัวเองธรรมชาติก็ไม่ยากช่วยลดสิวเกิดใหม่ได้เป็นอย่างดี


 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที