BKKwriter

ผู้เขียน : BKKwriter

อัพเดท: 16 มิ.ย. 2022 12.14 น. บทความนี้มีผู้ชม: 1137 ครั้ง

ชวนมาดู 5 สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนทำการผ่าตัดแปลงเพศ


5 ข้อต้องรู้ ก่อนผ่าตัดแปลงเพศ



 

‘เมื่อชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นได้ และเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด’

ยุคนี้สังคมมีความเปิดกว้างมากขึ้น เข้าถึงการรับรู้เรื่องการเคารพสิทธิในการเลือกที่จะเป็นของตัวบุคคล เริ่มมีการพัฒนาและหล่อหลอมเข้ากับวิถีชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ หลายคนยอมรับและเลือกที่จะเปิดเผยความเป็นตัวเองถึงแม้จะแตกต่างออกไปจากภาพเดิมที่คนภายนอกเข้าใจ เนื่องจากประเทศไทยเรามีทัศนคติเชิงบวกต่อเพศทางเลือก ผนวกกับความสามารถในด้านศัลยแพทย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสายตาชาวโลก จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมประเทศไทยคือหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำหรับ ‘การผ่าตัดแปลงเพศ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปลงเพศชายเป็นหญิง และบทความนี้เราได้รวบรวม 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำการผ่าตัดแปลงเพศมาฝากกันค่ะ

1.ผ่าตัดแปลงเพศคืออะไร?
การผ่าตัดแปลงเพศ เป็นการศัลยกรรมชนิดหนึ่งที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศจากชายให้กลายเป็นอวัยวะเพศแบบผู้หญิง หลักๆแล้วเป็นการใช้องค์ประกอบเดิมของอวัยวะเพศมาแก้ไขตกแต่งใหม่ ทั้งในแง่ลักษณะทางกายภาพ ยังคงความรู้สึกทางเพศ รวมทั้งดัดแปลงให้มีความสามารถในการขับถ่ายปัสสาวะได้เป็นปกติ

2.ใครบ้างที่สามารถผ่าตัดแปลงเพศได้?

ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการประเมินความพร้อม ได้แก่ 

3.ผ่าตัดแปลงเพศเจ็บไหม? ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง?

อย่างที่ทราบกันดีว่าการแปลงเพศคือการผ่าตัดชนิดหนึ่ง ระหว่างการผ่าตัดคนไข้จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการวางยาสลบ แต่หลังจากการรักษาเสร็จสิ้นคนไข้อาจจะรู้สึกมีอาการข้างเคียง อาทิ มึนงง วิงเวียนศีรษะ อยากอาเจียนจากยาสลบ รวมทั้งมีอาการบวมตึงบริเวณแผล ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดแปลงเพศ ควรงดยา วิตามิน อาหารเสริมต่างๆ มีการตรวจเลือด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ควรปรึกษากับแพทย์อย่างละเอียดหากมีเงื่อนไขพิเศษหรือข้อกังวลใจเพื่อให้ตอบโจทย์แต่ละบุคคล

 

4.ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศมีอะไรบ้าง

การผ่าตัดแปลงเพศจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การตัดอัณฑะ การสร้างช่องคลอดเทียม(ภายใน) การตกแต่งรูปลักษณ์ของอวัยวะ(ภายนอก)

เริ่มต้นจากการตัดอัณฑะและเก็บส่วนประกอบเพื่อนำไปใช้ตกแต่งบริเวณอื่น เช่น การนำไปใช้ร่วมกับผิวองคชาตม้วนกลับเป็นผนังช่องคลอดเทียม เรียกว่า ‘การม้วนองคชาต’ อีกวิธีคือการใช้ลำไส้ใหญ่เป็นช่องคลอดเทียม เรียกว่า ‘การต่อลำไส้’ หรือการนำเยื่อบุหน้าท้องมาสร้างเป็นช่องคลอดเทียมก็สามารถทำได้เช่นกัน ต่อมาเป็นการตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้มีหน้าตาเหมือนของเพศหญิง คือการนำหนังหุ้มปลายองคชาตมาสร้างแคมใน ตกแต่งแคมนอกด้วยผิวหนังโคนองคชาตและผิวหุ้มอัณฑะ ดัดแปลงท่อปัสสาวะ และสร้างจุดรับรู้ความรู้สึกทางเพศคลิตอริสจากหัวองคชาต


5.‘แยงโม’ คืออะไร? สำคัญแค่ไหน?
โดยปกติแล้วหลังจากการผ่าตัด ผิวหนังจะมีการหดตัวและเนื้อเยื่อจะถูกซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอจนกลายเป็น ‘พังผืด’ จากกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติของร่างกาย ดังนั้นการจะทำให้ผนังช่องคลอดเทียมเป็นโพรงอย่างถาวรแบบเพศหญิง ในช่วงแรกๆหลังการรักษาจึงต้องมีการใช้แท่งซิลิโคนแบบนิ่มและมีขนาดพอเหมาะเพื่อช่วยขยายขนาดช่องคลอด หรือที่เรียกว่า ‘การแยงโม’ นั่นเองค่ะ

การแยงโมจะต้องทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 30-60 นาทีเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล

สรุป
หลังจากทำความเข้าใจกับการผ่าตัดแปลงเพศไปเบื้องต้นแล้ว หลายคนอาจจะสนใจอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ควรพิจารณาการเข้ารับการรักษาอย่างถี่ถ้วนเพราะการแปลงเพศถือเป็นหัตกรรมใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายเยอะ เปรียบเสมือนการเปลี่ยนชีวิตใหม่เลยก็ว่าได้ และที่สำคัญควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มีความแม่นยำ มีสถานบริการที่สะอาด และพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างตรงไปตรงมา


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที