Jira

ผู้เขียน : Jira

อัพเดท: 08 พ.ย. 2024 10.22 น. บทความนี้มีผู้ชม: 25 ครั้ง

เสริมจมูกแบบปิด เทคนิคศัลยกรรมจมูกที่ได้รับความนิยม ช่วยปรับทรงจมูกให้โด่งสวยเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่มีโครงสร้างจมูกที่ดีอยู่แล้ว ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า


เสริมจมูกแบบปิด เหมาะกับใครบ้าง ข้อควรรู้ก่อนและหลังทำมีอะไรบ้าง?

เสริมจมูกแบบปิด เหมาะกับใครบ้าง ข้อควรรู้ก่อนและหลังทำมีอะไรบ้าง?

การเสริมจมูกแบบปิด (Closed Rhinoplasty) เป็นหนึ่งในเทคนิคการศัลยกรรมเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงของจมูกให้โด่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผ่าตัดที่ซับซ้อนมากเกินไป เมื่อเทียบกับการเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) การเสริมจมูกแบบปิดจึงเหมาะสมสำหรับผู้ที่มีโครงสร้างจมูกดีอยู่แล้ว หรือต้องการปรับเล็กน้อยโดยไม่ต้องเปิดเผยแผลภายนอก อีกทั้งยังใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า ทำให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้รวดเร็วขึ้น

 

การเสริมจมูกแบบปิดคืออะไร?

การเสริมจมูกแบบปิด หรือ Closed Rhinoplasty เป็นเทคนิคการผ่าตัดที่ศัลยแพทย์จะเปิดแผลเฉพาะในรูจมูกข้างหนึ่ง โดยไม่ต้องเปิดแผลภายนอก ทำให้ไม่มีรอยแผลภายนอกให้เห็นอย่างชัดเจน แพทย์จะใส่ซิลิโคนเสริมเข้าไปตามแนวฐานกระดูกของจมูก และในบางกรณีอาจมีการใช้เทคนิคการตะไบเล็กน้อยเพื่อปรับฐานจมูกให้สมดุลมากยิ่งขึ้น เทคนิคนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับลักษณะของดั้งจมูกให้โด่งขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ต้องแก้ไขโครงสร้างจมูกมากนัก

 

ลักษณะของการเสริมจมูกแบบปิด

การเสริมจมูกแบบปิดนั้นเป็นวิธีที่ศัลยแพทย์ใช้เพื่อเสริมความโด่งของดั้งจมูก โดยเปิดแผลภายในรูจมูกเพียงข้างเดียว ซึ่งแผลจะซ่อนอยู่ภายใน ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก กระบวนการนี้มักใช้วัสดุซิลิโคนในการเสริมเพื่อให้ได้ทรงที่ต้องการ

การเสริมจมูกแบบปิดเหมาะกับใคร?

การเสริมจมูกแบบปิดจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานจมูกที่ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีดั้งยาวกำลังดี มีเนื้อจมูกพอสมควร และไม่จำเป็นต้องปรับโครงสร้างจมูกใหม่ ผู้ที่เหมาะกับการทำจมูกแบบปิดมักมีเป้าหมายเพียงเพื่อเสริมให้ดั้งโด่งขึ้น หรือปรับโครงสร้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เทคนิคนี้เหมาะกับเคสที่ทำครั้งแรกและไม่มีปัญหาโครงสร้างที่ซับซ้อน

 

ข้อดีของการเสริมจมูกแบบปิด

การเสริมจมูกแบบปิดมีข้อดีหลายประการที่ทำให้เป็นที่นิยม

- ไม่มีรอยแผลภายนอก เนื่องจากแผลถูกซ่อนไว้ภายในรูจมูก

- ระยะเวลาพักฟื้นสั้น ทำให้สามารถกลับไปทำกิจกรรมปกติได้เร็วขึ้น

- ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า มีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด

- ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า

- ไม่ต้องวางยาสลบ การเสริมจมูกแบบปิดสามารถทำได้ภายใต้ยาชาเฉพาะที่ ทำให้ผู้ป่วยสามารถตรวจเช็คทรงจมูกได้ทันทีหลังผ่าตัด

- เหมาะกับการเสริมจมูกครั้งแรก สำหรับผู้ที่เสริมจมูกเป็นครั้งแรกและไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างจมูกมากนัก

 

ข้อจำกัดของการเสริมจมูกแบบปิด

การเสริมจมูกแบบปิดมีข้อจำกัดหลายประการที่ควรคำนึงถึง

- การปรับโครงสร้างจมูกที่ซับซ้อนเป็นไปได้ยาก สำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างจมูกไม่เหมาะกับวิธีนี้ เช่น จมูกงุ้มมาก จมูกสั้นหรือเชิดขึ้น

- ไม่สามารถปรับขนาดของจมูกได้อย่างละเอียด ทำให้เหมาะสำหรับการปรับแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

- ความเสี่ยงของการเกิดความไม่สมบูรณ์ โอกาสเกิดการทะลุหรือเบี้ยวได้มากขึ้นเมื่อล่วงเลยเวลา

- ไม่สามารถลดขนาดจมูกได้มาก การทำจมูกแบบปิดจะเน้นการเพิ่มหรือปรับทรงให้ดูโด่งขึ้นมากกว่าการลดขนาดของจมูกให้เล็กลง

 

การเตรียมตัวก่อนการเสริมจมูก

การเตรียมตัวก่อนการเสริมจมูกจะช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

1. งดการทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาละลายลิ่มเลือดหรือวิตามินอาหารเสริม

2. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด

3. รักษาสุขภาพและพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยลดระยะเวลาการฟื้นตัว

4. แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว เพื่อให้แพทย์ทราบและเตรียมการอย่างเหมาะสม

 

ขั้นตอนการเสริมจมูกแบบปิด

1. การซักประวัติ แพทย์จะสอบถามประวัติของคนไข้ เช่น โรคประจำตัวหรือการแพ้ยา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

2. การประเมินและออกแบบ แพทย์จะตรวจสอบโครงสร้างจมูกเพื่อออกแบบซิลิโคนหรือวัสดุที่ใช้เสริมให้พอเหมาะ

3. การเตรียมความพร้อม ฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณจมูกและตรวจสอบความพร้อมของร่างกายคนไข้

4. ขั้นตอนการผ่าตัด แพทย์จะเปิดแผลภายในรูจมูกเพื่อใส่ซิลิโคนโดยไม่ต้องเปิดโครงสร้างจมูกภายนอก

5. การติดตามผล แพทย์จะนัดตรวจผลหลังการผ่าตัด เช่น ครบ 1 สัปดาห์และ 1 เดือน

 

การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก

การดูแลหลังการเสริมจมูกมีความสำคัญอย่างมาก

1. ประคบเย็นในช่วง 72 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดอาการบวมและห้ามเลือด

2. นอนในท่าที่ศีรษะสูง เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีและลดอาการบวม

3. ประคบอุ่นหลัง 72 ชั่วโมง ช่วยลดรอยช้ำและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

4. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจกระทบกระเทือนจมูก เช่น การออกกำลังกายหนัก

5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพื่อให้แผลหายเร็ว

 

ระยะเวลาที่จมูกเข้าที่หลังเสริมแบบปิด

- 2 สัปดาห์แรก อาจยังมีอาการบวมอยู่บ้าง แต่จะเริ่มลดลงเรื่อยๆ

- 1 เดือนหลังผ่าตัด อาการบวมและรอยช้ำหายเกือบหมด รูปทรงจมูกเริ่มชัดเจนขึ้น

- 3 เดือนหลังผ่าตัด จมูกจะเริ่มเข้าที่เกือบสมบูรณ์ รูปทรงดูเรียวและเป็นธรรมชาติ

- 6 เดือนถึง 1 ปีหลังผ่าตัด จมูกจะเข้าที่เต็มที่และดูสวยงามอย่างสมบูรณ์

 

การเปรียบเทียบระหว่างการเสริมจมูกแบบเปิดและแบบปิด

- การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างจมูกทั้งหมด ทำให้สามารถปรับแต่งได้ละเอียด เหมาะกับเคสที่มีปัญหาโครงสร้างจมูกที่ซับซ้อน

- การเสริมจมูกแบบปิด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการปรับทรงเพียงเล็กน้อย โดยไม่จำเป็นต้องเปิดโครงสร้างจมูกทั้งหมด

 

            สำหรับใครที่อยากทำจมูกด้วยเทคนิค เสริมจมูกแบบปิด แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาทีมแพทย์มากประสบการณ์ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่วยประเมินและออกแบบการรักษาให้ เพื่อให้ได้รับข้อมูลรายละเอียดที่ครบถ้วนถูกต้องมากที่สุด ปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic พร้อมทั้งเลือกทรงที่รับกับใบหน้าและตอบโจทย์ความต้องการของคนไข้มากที่สุด ด้วยเครื่องสแกนหน้าแบบ 3D สวยตรงเรฟ ช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของผลลัพธ์หลังทำจมูก

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที