ปวดศีรษะเรื้อรังมีกี่แบบ...
อาการปวดศีรษะมีประมาณ 5% เท่านั้นที่เกิดจากโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไซนัสอักเสบ เนื้องอกหรือฝีในสมอง หลอดเลือดสมองแตก เป็นต้น ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 95% การแพทย์ตะวันตกยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ก็ได้แบ่งตามลักษณะการปวดดังนี้:
- ปวดศีรษะแบบไมเกรน (Migraine Headache)
- ปวดศีรษะแบบกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension Headache)
- ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headache)
- ปวดศีรษะแบบผสม (Mixed Headache)
ปวดแบบไหนถึงเรียกว่าไมเกรน...
ไมเกรนเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่พบบ่อยที่สุดในช่วงอายุ 22-55 ปี ผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าประมาณ 70-80% ของผู้ป่วยไมเกรนมีประวัติครอบครัวเป็น โรคนี้ด้วย ซึ่งมักจะมีอาการดังนี้:
- ปวดตุบๆ ที่ขมับหรือเบ้าตาซีกใดซีกหนึ่งตามจังหวะการเต้นของชีพจร แต่บางครั้งก็อาจปวดแบบตื้อๆ ก็ได้ อาจปวดสลับข้างในแต่ละครั้งหรือปวดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง มักปวดนาน
เป็นชั่วโมงๆ หรือเป็นวันๆ
- ก่อนปวดหรือขณะปวดอาจมีอาการตาพร่า ตาลาย เห็นแสงว็อบแว็บหรือตามืดมัวไป
ครึ่งซีก
- ถ้าปวดรุนแรงจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนด้วย
ปวดศีรษะแบบกล้ามเนื้อตึงตัวมีลักษณะอย่างไร...
ปวดศีรษะแบบกล้ามเนื้อตึงตัวเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยและพบบ่อยหลังมีความเครียดความกังวล การใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานานๆ หรือมีความแปรปรวนของอารมณ์ ซึ่งมักจะมี อาการดังนี้:
- ปวดเหมือนถูกคีมหนีบไว้หรือถูกผ้ารัดไว้แน่นๆ
- มีลักษณะปวดตื้อๆ หนักๆ บางคนอาจปวดจี๊ดบริเวณต้นคอ ท้ายทอย ดวงตาหรือขมับบางรายอาจปวดตื้อไปทั่วศีรษะ
- มักจะปวดตอนบ่ายๆ หรือเย็นๆ เวลาหายก็มักจะหายไม่สนิท จะรู้สึกตื้อๆ ที่ศีรษะอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งต่างจากไมเกรนที่ปวดรุนแรงแต่บทจะหายก็จะไม่เหลืออาการปวดเลย
คลัสเตอร์... อาการปวดศีรษะที่รุนแรงที่สุด
ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์หรือที่เรียกว่าปวดศีรษะจนแทบอยากจะฆ่าตัวตายนั้น มักจะพบ ในผู้ชาย ไม่เหมือนกับไมเกรนที่พบในผู้หญิงมากกว่า ซึ่งมักจะมีอาการดังนี้:
- ปวดตุบๆ บริเวณรอบดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง
- รู้สึกร้อนแปล๊บที่หน้าผากเหมือนมีมีดร้อนๆ มาทิ่ม
- คัดจมูก ตาข้างที่ปวดจะแดงฉ่ำและน้ำตาไหล
- มักจะปวดตอนกลางคืนและปวดตรงเวลาทุกวัน อาจนานเป็น 10-20 นาทีหรือเป็นชั่วโมง บางรายอาจปวดเรื้อรังเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
- เวลาปวดจะมีอาการรุนแรงจนอยู่เฉยไม่ได้ต้องเดินไปมา ซึ่งต่างกับไมเกรนที่เวลาปวดมักอยากนอนเฉยๆ ในห้องมืดๆ
ใครมีโอกาสปวดศีรษะแบบผสม...
ปวดศีรษะแบบผสมคือ มีทั้งอาการไมเกรนและอาการปวดศีรษะแบบกล้ามเนื้อตึงตัวหรืออาการปวดศีรษะแบบอื่นๆ ร่วมกันในเวลาเดียวกัน สาเหตุของการปวดศีรษะแบบผสมที่พบบ่อยที่สุดคือ การใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด ผู้ป่วยที่มีประวัติไมเกรนหรือปวดศีรษะแบบกล้ามเนื้อตึงตัว หากทานยาแก้ปวดเป็นประจำมักจะพัฒนาเป็นการปวดศีรษะแบบผสมเมื่ออายุ 30-40 ปี
สาเหตุปวดศีรษะเรื้อรังในทัศนะการแพทย์ตะวันตก...
ถึงแม้ว่าปัจจุบันการแพทย์ตะวันตกได้เจริญก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของการปวดศีรษะแบบไมเกรนหรือคลัสเตอร์ได้ เพียงแค่สันนิษฐานว่าไมเกรนหรือคลัสเตอร์อาจเกิดจากการบีบตัวหรือขยายตัวของหลอดเลือดในสมองมากกว่าปกติ จึงเป็นผลทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ส่วนสาเหตุการปวดศีรษะจาก กล้ามเนื้อตึงตัวนั้น ถึงแม้เมื่อก่อนมีทฤษฎีว่าเกิดจากอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและรอบศีรษะ แต่ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยเกี่ยวกับอาการปวดศีรษะต่างเชื่อกันว่าน่าจะมีสาเหตุเช่นเดียวกันกับการปวดศีรษะแบบไมเกรนและคลัสเตอร์
สาเหตุปวดศีรษะเรื้อรังในทัศนะการแพทย์จีน...
ภาวะหยางในตับลอยขึ้นไปกระทบบนศีรษะ ในตับและไตมีทั้งหยินและหยาง ไตต้องส่งหยินหรือความเย็นในไตไปหล่อเลี้ยงตับเพื่อไม่ให้หยางหรือความร้อนในตับมีมากเกินไป แต่เนื่องจากไตเสื่อมลงตามวัยหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกสุขลักษณะส่งผลให้เกิดภาวะไตอ่อนแอ ไตจึงไม่สามารถส่งหยินหรือความเย็นในไตไปหล่อเลี้ยงตับได้อย่างเพียงพอทำให้หยางหรือความร้อนในตับมีมากเกินไปจนลอยขึ้นไปกระทบบนศีรษะซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติที่ความร้อนต้องลอยตัวขึ้นสู่ที่สูง นอกจากนี้ อารมณ์ที่ตึงเครียด ตื่นเต้นหรือคิดมากเป็นประจำก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดหรือเพิ่มความรุนแรงของภาวะหยางในตับ เมื่อความร้อนในตับลอยขึ้นไปกระทบบนศีรษะก็จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะเรื้อรัง หูอื้อตาลาย หน้าแดง ปากขม อารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย ขี้หลงขี้ลืม อุจจาระแข็งหรือท้องผูกลิ้นแดง ฝ้าบนลิ้นเหลือง แขนขาเหน็บชา ลิ้นแข็ง พูดอ้อแอ้ ฯลฯ อาการปวดศีรษะจากความดันโลหิตสูงก็เกิดจากสาเหตุนี้เช่นกัน นอกจากนี้ เมื่อตับขาดความสมดุลก็จะมีการสร้างโคเลสเตอรอลมากเกินควร ทำให้หลอดเลือดแดงทั่วทั้งร่างกายแข็งและตีบมากขึ้นทั้งๆ ที่มีการควบคุมอาหารการกินและออกกำลังกายแล้วก็ตาม
ภาวะเลือดเหนียวหนืดและจับตัวเป็นก้อน ระบบการไหลเวียนของโลหิตต้องอาศัยพลังชี่หรือพลังลมปราณจากไตเป็นแรงผลักดัน เมื่อไตอ่อนแอลง พลังชี่ก็จะอ่อนลงไปด้วยทำให้พลังสะดุด เลือดเหนียวหนืดและจับตัวเป็นก้อนกีดขวางทางเดินของเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง เส้นลมปราณต่างๆ และหลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงศีรษะติดขัดจนเกิดอาการปวด ศีรษะเรื้อรัง ดังเช่นทฤษฎีการวินิจฉัยและรักษาอันสำคัญของการแพทย์จีน ปวดแสดงว่าไม่โล่งโล่งแล้วก็จะไม่ปวด การติดขัดของเส้นลมปราณต่างๆ ที่หล่อเลี้ยงศีรษะจะทำให้เกิดลักษณะการปวดศีรษะที่ต่างกัน อาทิ:
- หากเส้นลมปราณเส้าหยาง มีการติดขัด ก็จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบไมเกรน
- หากเส้นลมปราณหยางหมิน มีการติดขัด ก็จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์
- หากเส้นลมปราณไท่หยาง มีการติดขัด ก็จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ แบบกล้ามเนื้อตึงตัว
- หากเส้นลมปราณเจี๋ยยินหรือตูม่าย มีการติดขัด ก็จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณกลางศีรษะ
- หากเส้นลมปราณที่หล่อเลี้ยงศีรษะติดขัดพร้อมกันหลายเส้น ก็จะเกิดอาการปวดศีรษะในหลายๆ รูปแบบร่วมกัน
|