ถึงแม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ของสายพันธุ์ใหม่ ๆ จะมีระดับความรุนแรงของโรคที่ลดลงแต่กลับทำให้ผู้คนต่างลดระดับการป้องกัน จนเกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างขึ้น หากต้องรับผู้ป่วยที่ติดโควิด-19 ทุกคนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอาจทำให้มีเตียงไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยได้ทุกคน
ดังนั้นจึงมีแนวทางสำหรับผู้ที่ติดโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง และแพทย์พิจารณาแล้วว่าไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล สามารถกักตัวอยู่บ้านด้วยการทำโฮมไอโซเลท หรือ home isolation ได้
ใครที่เคยติดโควิด-19 มาแล้วอาจพอเข้าใจถึงการทำ Home Isolation คืออะไร แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งติดหรือยังไม่เคยติดโควิด-19 อาจไม่ทราบถึงความสำคัญของการทำ home isolation หากทำ home isolation ไม่ถูกต้องอาจทำให้เชื้อโควิด-19 แพร่กระจายให้กับคนรอบข้างได้
ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ home isolation จึงสำคัญ เพื่อให้การกักตัวอยู่บ้านนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการแพร่กระจายของโรคได้
การรักษาตัวที่บ้าน หรือการทำ home isolation คือแนวทางในการรักษาตัวจากการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเอง แต่ยังได้รับการดูแลจากแพทย์ในระยะไกลด้วยเครื่องมือสื่อสารเพื่อติดตามอาการแบบเรียลไทม์ และหากอาการรุนแรงขึ้นจะสามารถรับตัวผู้ป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วเป็นอันตรายถึงชีวิต ยังมีผู้ป่วยอีกมากที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วมีอาการที่ไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการใด ๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการเก็บเตียงไว้ให้กับผู้ป่วยอาการหนักจริง ๆ และจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จึงได้มีแนวทางการรักษาแบบ home isolation ขึ้น
home isolation มีข้อดีทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ลดภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และยังช่วยให้ผู้ป่วยอาการหนักได้รับการรักษาที่ทั่วถึงขึ้นอีกด้วย
ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเลือกการรักษาโรคโควิด-19 ด้วยการทำ home isolation ได้ เพราะการรักษาด้วยตนเองยังมีข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง จึงเหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่มเท่านั้น ดังนี้
1.ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วไม่มีอาการ หรืออาการไม่หนัก ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยผ่านการพิจารณาจากแพทย์แล้ว
2.ผู้ป่วยที่ติดเชื่อโควิด-19 ที่อาการไม่หนักและรอเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยแพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถรอรับการรักษาที่โรงพยาบาลจากที่บ้านก่อนได้
3.ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านการรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้มาแล้วอย่างน้อย 10 วัน และแพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถทำ home isolation ต่อที่บ้านตนเองได้
แพทย์จะพิจารณาจากคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนลงความเห็นให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการกักตัว home isolation
1.ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ หรืออาการไม่รุนแรง หรือกลุ่มผู้ป่วยสีเขียว
2.ผู้ป่วยมีสุขภาพโดยรวมแข็งแรงปกติ
3.ผู้ป่วยมีอายุไม่เกิน 60 ปี
4.ผู้ป่วยไม่มีภาวะน้ำหนักเกิน (ดัชนีมวลการไม่เกิน 30 กก./ม.2 หรือน้ำหนักตัวไม่เกิน 90 กก.)
5.ผู้ป่วยสามารถกักตัวได้ในที่พักอาศัยของตนเอง
6.ที่พักอาศัยของผู้ป่วยควรอาศัยอยู่คนเดียว หรือมีผู้ร่วมอาศัยร่วมไม่เกิน 1 คน
7.ผู้ป่วยต้องไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอันตรายต่อการติดเชื้อโควิด-19 ได้แก่ โรคปวดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง(ระยะที่ 3,4) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานที่คุมไม่ได้ และโรคอื่น ๆ ตามดุลพินิจของแพทย์
ทางกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค ได้แบ่งระดับความรุนแรงของโรคโควิด-19 ออกเป็น 3 ระดับ เพื่อคัดกรองระดับความรุนแรงของโรคและสามารถคัดกรองผู้ป่วยได้อย่างง่ายว่าจะให้ผู้ป่วยเข้ารับรักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือสามารถรักษา home isolation
ผู้ป่วยสีเขียวอาจมีอาการใดอาการหนึ่งดังต่อไปนี้ หรือบางรายพบการติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่มีอาการใด ๆ เลยก็ได้ เช่น
ในผู้ป่วยสีเขียวจะไม่มีอาการหายใจลำบาก หายใจเหนื่อย หายใจเร็ว ปอดอักเสบ และจะต้องไม่มีโรคร่วมสำคัญหรือมีปัจจัยเสี่ยงโรครุนแรง
ในผู้ป่วยสีเหลืองจะมีความรุนแรงของโรคที่มากกว่าผู้ป่วยสีเขียว แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติอย่างผู้ป่วยสีแดง มักมีอาการเหล่านี้
ผู้ป่วยสีแดงเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่อาการรุนแรง จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยด่วน มีอาการดังนี้
ขั้นตอนการกักตัวอยู่บ้านตามแนวทางการเข้ารับการรักษา home isolation ฉบับล่าสุด (4 กรกฎาคม 2565) เพื่อรองรับการนำโรคโควิด-19 เข้าสู่โรคประจำถิ่น แทนการเป็นโรคระบาด มีขั้นตอนดังนี้
1.ผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเสี่ยง ให้รักษาตามแนวทาง “เจอ แจก จบ” ของกระทรวงสาธารณะสุข โดยไปที่หน่วยบริการประจำหรือหน่วยบริการปฐมภูมิตามสิทธิ หรือโทรประสานร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ ดูรายชื่อร้านยาได้ที่ https://www.nhso.go.th/downloads/197 (เฉพาะผู้ป่วยสิทธิบัตรทางหรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น)
โดยการทำ home isolation 7+3 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเพียงจ่ายยาตามอาการ โทรติดตามอาการเพียงครั้งเดียว และระบบส่งต่อเมื่ออาการแย่ลง แต่จะไม่ได้รับอาหาร เครื่องวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว
2.ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/ไม่มีโรคร่วมสำคัญ เข้ารับการรักษา home isolation 7+3 การจ่ายยาจะพิจารณารายบุคคล มีระบบส่งต่อเมื่ออาการแย่ลง (โทรติดตามอาการ, เครื่องวัดไข้และเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว, ส่งอาหารถึงบ้าน)
3.ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง กลุ่ม 608 หรือมีอาการรุนแรง สามารถรัการรักษาตามดุลพิินิจของแพทย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งรักษาแบบผู้ป่วยในหรือการรักษา home isolation (สำหรับการรักษา home isolation จะมีแพทย์โทรติดตามอาการ มีเครื่องวัดไข้และเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว พร้อมกับบริการส่งอาหารถึงบ้าน)
4.ผู้ป่วยกลุ่มวิกฤติ สีแดง โดยมีอาการหอบเหนื่อยมาก แน่นหน้าอก ปอดอักเสบรุนแรง ตอบสนองช้า ไม่รู้สึกตัว ไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ค่าออกซิเจนต่ำกว่า 94 สามารถใช้สิทธิ UCEP เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ เข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
จากแนวทางการเข้ารับการรักษา home isolation ฉบับล่าสุด (4 กรกฎาคม 2565) เพื่อรองรับการนำโรคโควิด-19 เข้าสู่โรคประจำถิ่น แทนการเป็นโรคระบาด จะมีการสนับสนุนเมื่อเข้ารับการรักษา home isolation ดังนี้
แนวทาง เจอ แจก จบ ของกระทรวงสาธารณะสุข สำหรับผู้ไม่มีภาวะเสี่ยง
ผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยง
การปฏิบัติตัว home isolation ที่ถูกต้องตามข้อแนะนำกรมควบคุมโรคมีดังนี้
การทำ home isolation ที่ดีที่สุดคือควรพักอาศัยอยู่คนเดียว แต่อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วยอีกมากที่ไม่ได้พักอาศัยเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะอาศัยกับคนในครอบครัว หรือพักอยู่ในคอนโดมิเนียมก็ตาม ดังนั้นควรเตรียมสถานที่ให้เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ดังนี้
การเตรียมตัวเข้ารับการรักษา home isolation ควรมีของใช้ อุปกรณ์ และยาเหล่านี้
สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและมีการใช้ยาอยู่ในขณะนั้น ต้องระวังการใช้ยาขณะเข้ารับการรักษา home isolation เช่น สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ต้องตรวจน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ หากน้ำตาลต่ำให้งดอินซูลิน เพราะน้ำตาลต่ำขณะติดโควิด-19 จะเป็นอันตรายกว่าปกติ
หรือหากมีการใช้ยาขับปัสสาวะอยู่ ต้องระวังไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะขณะติดโควิดร่างกายจะอ่อนเพลียง่าย หากขาดน้ำจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียยิ่งกว่าเดิม
ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่แพทย์ให้ทำการรักษา home isolation จะต้องสังเกตอาการของตนเองอยู่เสมอ หากอาการป่วยรุนแรงขึ้น มีอาการหอบเหนื่อย ไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำลงมาก อาการซึม การรับรู้ลดลง ให้รีบติดต่อแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที
หากกักตัวอยู่บ้านจนตรวจไม่พบเชื้อและครบกำหนดกักตัวแล้ว ควรสังเกตอาการลองโควิดด้วย
สำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ที่ทำการรักษา home isolation จะต้องกักตัวอยู่บ้าน 7+3 วัน โดยให้ตรวจ ATK ซ้ำเมื่อครบ 7 วันหลังพบเชื้อ หรือเมื่อมีอาการ หากผลยังเป็นบวกให้ทำ home isolation ต่อ และเมื่อไม่มีอาการให้ตรวจ ATK ซ้ำอีกครั้ง
หากตรวจผลเป็นลบ ให้กักตัวต่ออีก 3 วันและปฏิบัติตามหลัก DMHTT (DMHTT คือแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ใช้ในการชะลอการระบาดของ โควิด-19 คือ อยู่ห่างไว้, ใส่มาก์สกัน, หมั่นล้างมือ, ตรวจให้ไว, ใช้ไทยชนะ และหมอชนะ)
สำหรับผู้ที่ติดโควิด-19 และมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการใด ๆ การทำ home isolation อย่างถูกวิธีนอกจากจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และยังช่วยลดภาระให้บุคลากรในโรงพยาบาล ให้สามารถไปรักษาผู้ป่วยที่อาการรุนแรงได้มากขึ้น
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที