ชัชรินทร์

ผู้เขียน : ชัชรินทร์

อัพเดท: 24 ต.ค. 2006 10.40 น. บทความนี้มีผู้ชม: 16221 ครั้ง

หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า ภูกระดึง มีเส้นทางขึ้นอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งอาจจะยากลำบาก แต่ก็เต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม


บทที่ 4 : เดินทางกลับ

                                 
  บันทึกการเดินทางไปภูกระดึง (ฝั่งบ้านฟองใต้ ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์)
  ระหว่างวันที่ 1-4 ธ.ค. 2548                    
                                 
  "บทที่ 4 : เดินทางกลับ"                        
                                 
  ตื่นนอนเวลา 06.30 น. ของวันที่ 4 ธ.ค. แปรงฟัน + ล้างหน้า (แต่ไม่อาบน้ำอีกแล้ว) เจ้าหน้าที่ฯ เค้าชวนกินกาแฟ (เค้าต้มน้ำร้อนให้) แต่ไม่ชอบกาแฟ ยังดีที่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป   
และปลากระป๋องที่เตรียมมา ได้รองท้องเป็นอาหารยามเช้า ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดและเก็บของให้เรียบร้อยเท่าไหร่ คนที่จะขอติดสอยห้อยตามไปด้วย เค้าก็บอกว่า จะลงไปกันแล้วนะ    
ตอนประมาณ 7 โมงกว่าลงจากภูป่าก่อ ขอถ่ายรูป Tent เป็นที่ระลึกก่อนเพราะตอนกลางคืนไม่สามารถถ่ายได้เพราะมืดมากถึงมากที่สุด            
Bitmap
Tent น้อยคอยรัก
Center Center
 
              ก็เลยต้องรีบเก็บของยัดใส่กระเป๋าในบัดดล (เพราะกลัวไม่มีรถกลับ) ก็ยังใส่ชุดนอนอยู่    
              นั่นแหละ (เสื้อยืด + กางเกงวอร์ม) ค่อยไปเปลี่ยนที่บ้าน Home Stay ก็ลงกันไปหลายคน กลุ่มแรก  
              ลงไปก่อน เราก็ตามหลังไปห่างๆ แล้วก็มีอีกกลุ่มตามมา (มีเด็กเล็กๆ ไม่น่าจะเกิน 9 ปี 4-5 คน ด้วย    
              เด็กพวกนี้ก็เก่งนะ ยังเดินขึ้นภูฯ ไหว ไม่เหมือนผู้ใหญ่บางคน) ตอนเดินลงไม่ลำบากมาก แต่เพราะยัง  
              เจ็บขาอยู่ ก็เลยแย่หน่อย แล้วบางทีทางมันก็ชัน มันหยุดไม่ค่อยอยู่ ก็เกือบลื่นล้มไปเหมือนกัน    
              เดินไปตอนแรก ได้ยินเสียงร้องกรี๊ดๆ (เพิ่งรู้ทีหลังว่า กลุ่มแรกเดินไปเจอช้างป่า เสียดายที่ไม่ได้เจอ)  
              ก็เลยเอาหูฟังเข้าหู ฟังเพลงและก็เดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่ต้องคิดอะไร และอวดเก่งคิดว่า เดินกลับเองได้  
              เพราะตอนมาก็ยังมาเองได้ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ มันดันหลงตอนจะถึง เพราะจำไม่ได้ว่า ทางรกๆ  
              ที่เราเดินไปตอนแรกมันอยู่ไหน ลองเดินเข้าไปในกอไผ่ เจอแต่ใยแมงมุมเต็มหน้าเลย (ทำไงดีวะ)    
              รู้ว่ามันต้องไปทางขวาแน่ๆ ก็เลยลองลุยเข้าไปเลย ไปเจอลำน้ำสูงประมาณหัวเข่า ก็ถลกขากางเกงวอร์ม  
              ขึ้นมา เพื่อไม่ให้เปียกน้ำเกินไป มือหนึ่งถือรองเท้า อีกมือถือกระเป๋า โชคดีน้ำไม่แรงมากเลยเดินถึงฝั่ง  
              อย่างปลอดภัย แต่เท้าเน่ามาก ก็ไปเจอกลุ่มชาวบ้านที่เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เลยถามทางไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน  
              ก็ไม่ไกลมาก แต่มันต้องผ่านบ้านคนที่เลี้ยงหมา 4-5 ตัวนี่สิ เอาไงดีวะ มันมองมาแล้ว มันเริ่มเห่าแล้ว  
              จะวิ่งก็ไม่ดี เดี๋ยวมันไล่เอา เลยทำใจดีสู้หมา มองมันอย่างนั้นแหละ ยังดีที่เจ้าของบ้านกินข้าวอยู่แถวนั้น  
              เลยช่วยไล่ให้ ไม่งั้นมันคงได้ฝากรอยเขี้ยวไว้บนขาแน่ๆ เลย แล้วก็เดินไปถึงบ้านพักโดยสวัสดิภาพ    
              (ตกใจอยู่เล็กน้อย)  ไปถึงก็เห็นคนกลุ่มแรก (เด็กม. 2-3 10 กว่าคน) นั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านตรงข้ามที่พัก  
              ยกมือไหว้เจ้าของบ้าน แล้วก็รีบไปอาบน้ำ เก็บของที่ยังค้างอยู่ แล้วก็นั่งคุยกับคุณบุญทันและภรรยาเค้า  
              ตอนนั้นลองดูรถกระบะที่จะขออาศัยเค้ากลับ เทียบกับจำนวนคนแล้ว มันไม่น่าจะพอนะ อาจจะกลับไม่ได้  
              ประจวบกับที่คุณบุญทันมาบอกว่า ไปคุยกับเจ้าของรถแล้ว เค้าบอกว่า รถเต็ม กลับด้วยไม่ได้ ตอนนั้น  
              ใจแป้วมาก เอาไงดีล่ะทีนี้ จะเหมารถ หรือนอนต่ออีก 1 คืน (แต่ไม่อยากอยู่แล้ว อยากกลับไปพักผ่อน)  
                  Bitmap
ฝ่าฟันดงไผ่
Center Center
 
  แต่อยู่ๆ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็บังเกิด เสียงแตรรถของรถกระบะคันนั้นช่างเหมือนกับเสียงจากสวรรค์  
เค้าตะโกนบอกให้มาขึ้นรถกลับด้วยกัน อารมณ์ตอนนั้นดีใจมาก แต่ก็ยังคลางแคลงใจในสิ่งที่คุณบุญทันพูด  
เพราะมันไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เจอ (คิดว่า เค้าคงอยากให้เหมารถเค้าออกไปส่ง ตั้ง 500-700 บาทแน่ะ  
ทั้งที่เราก็จ่ายค่าที่พักให้ไปแล้ว 300 บาท จริงๆ ค่าที่พักตามที่กำหนดไว้คือ 100 บาท/คน/คืน แต่เราเห็นว่า  
เค้ามีน้ำใจให้ข้าวเรากิน 3 มื้อ แล้วยังพาไปเที่ยวน้ำตกอีก ก็เลยถือเป็นสินน้ำใจ แต่ก็ไม่อยากคิดว่า เค้าโกหก  
เพราะอยากได้เงินเพิ่ม) แล้วเค้าก็ให้เบอร์โทรฯ มา บอกว่า ถ้าวันหลังมากันเยอะๆ ก็ติดต่อเค้าได้ จะได้เอารถ  
ไปรับ (Package เหมาจ่ายรายวันมั้ง) ก็รับไว้ (แต่คิดว่าคงไม่ติดต่อกลับ แต่ถ้าใครอยากได้เบอร์เค้าก็โทรฯ   
มาถามเราได้ที่ 014320052) แต่ยังไงก่อนกลับก็ต้องยกมือไหว้ตามแบบฉบับของคนไทย แล้วก็รีบขึ้นไปนั่ง  
บนรถกระบะตอนครึ่ง หลังคนขับ ส่วนเด็กๆ นั้น ก็นั่งคุยกันที่หลังรถกระบะ ระหว่างทางกลับ เจอกับรถของ  
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่สวนทางมา พอเจอคนหน้าตาดีหน่อย ก็กรี๊ดกันกระจกแทบแตก (เจอควายบนถนน  
ก็ยังกรี๊ดเลย ไม่เข้าใจเด็กสมัยนี้เลย) ภายในรถ ก็ได้คุยกับเจ้าของรถและภรรยาของเค้า ก็ได้ความว่า ทำไร่  
ข้าวโพดอยู่ที่อ. หล่มเก่า แต่ขายได้ราคาไม่ดีนัก และมีลูกชายอีกคนจบม. 6 แต่ไม่ยอมเรียนต่อ ไม่รู้ทำไม  
                   
                   
                   
                   
                   
Bitmap Bitmap
ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน
Center Center
Bitmap
ในรถขนข้าวโพด
Center Center
 
                               
                คนเราเมื่อมีโอกาส กลับไม่อยากเรียน เค้าก็เลยถามว่า ที่บริษัทฯ รับพนักงานหรือเปล่า    
                ก็เลยตอบไปว่า รับอยู่ แต่ต้องยืนทำงานในโรงงานจนเมื่อยขาแน่ๆ พร้อมทั้งให้นามบัตรไป  
                (แต่ก็ไม่ได้บอกเค้านะว่า ใกล้จะลาออกแล้ว) เค้าก็ชวนให้ไปเที่ยวกันต่อแถวอุทยานฯ     
                น้ำหนาว [แต่จำชื่อสถานที่ไม่ได้ เพราะตอนนั้นอยากจะกลับแล้ว และไม่ใช่นางงาม (รักเด็ก)]  
                ก็เลยปฏิเสธเค้าไปอย่างนุ่มนวลว่า เหนื่อยและขายังเจ็บอยู่ คงเดินไม่ไหว (จริงๆ นะ) เค้าก็เลย  
                จอดให้ลงกลางทางตรงจุดเดิมกับตอนขามาที่คุณครูผู้ใจดีได้เคยมาส่ง เค้าก็แนะนำว่า ให้ลอง  
                โบกรถขนข้าวโพดซึ่งมีผ่านอยู่หลายคัน จากนั้นก็ได้ไหว้เพื่อแสดงความขอบคุณในความมีน้ำใจ  
                และไปนั่งรอรถที่ศาลา (ที่เดิมเป๊ะๆ) พร้อมซื้อน้ำและคุยกับคนแถวนั้นซักพัก ไม่นานก็มีรถ 6 ล้อ  
                สีฟ้าผ่านมา เลยรีบวิ่งข้ามถนน เพื่อไปโบกรถ (ครั้งแรกตั้งแต่ที่มาเที่ยว) ตอนแรกคิดว่า คงไม่จอดมั้ง
                เพราะผ่านหน้าไปแล้ว 10-20 เมตร แต่ปรากฏว่า เค้าจอดให้ ก็บอกไปว่า ขอติดรถไปลงที่แยก  
                ห้วยสนามทรายเพื่อรอรถเข้าหล่มสัก ก็ได้นั่งที่หน้ารถ เพราะหลังรถมีข้าวโพดอยู่เต็มคัน จึงได้คุย  
                กันอย่างเต็มที่ เลยถามไปว่า จะไปส่งข้าวโพดที่ไหน เค้าบอกว่า ที่อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น แต่ละวัน  
                จะขนวันละ 3-4 เที่ยว เที่ยวแรกออกเวลาประมาณตี 4 แล้วเค้าก็ยังเล่าให้ฟังว่า ต่อไปพื้นที่แถวนี้  
                จะหันมาปลูกยางพารา เพราะขายได้ราคาดีกว่า ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงที่หมาย ก็ถามไปว่า  
                ค่าโดยสารเท่าไหร่ เค้าบอกไม่เป็นไร ก็เลยรีบยกมือไหว้ขอบคุณในความมีน้ำใจของคนไทย  
                  มาถึงที่หมายในช่วง 10 โมงกว่า ก็ข้ามไปรอรถฝั่งตรงข้ามกับตอนขามา ระหว่างรอรถ  
                    เกิดนึกสนุกอยากลองโบกรถดู เพราะเห็นรถกระบะผ่านมาหลายคัน แต่เคย
                    มีคนบอกให้ระวัง อาจจะเจอคนไม่ดี ก็เลยระงับอาการอยากลองไว้ก่อน  
                    รอรถเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้เสด็จเข้าเมืองหล่มสัก ระหว่างนั่งรถก็หลับ  
                    เกือบตลอดทางเพราะอาการเพลียและเหนื่อยจากการเดินทาง จนไปถึงบขส. 
                    หล่มสักในเวลาเที่ยงกว่า ๆ ก็เดินไปถามคนขายตั๋วว่า มีรถทัวร์ป.1 หรือเปล่า
                    ค้าบอกว่ามีแต่รถป.2 เข้ากทม. (213 บาท) ตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่าคิวรถป.1 อยู่ไหน
                    (ไม่รู้ว่าจะนั่งรถอะไรเข้าเมืองดี) และคิดว่าเวลาคงไม่ต่างกันมาก (รถป.1 ใช้เวลา
                    4-5 ชั่วโมง) ก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋ว โดยรถจะออกเวลา 13.00 น.  
                      จองตั๋วเสร็จ เกิดอาการหิวขึ้นมาโดยทันใด ตอนนั้นมีข้าวเหนียวที่
                    ทางบ้านคุณบุญทันให้มาตอนแรก เลยไปหาซื้อพวกหมูย่าง หรือไก่ย่าง แต่ไม่เจอ
                    เจอแต่ไส้กรอกอีสาน เลยซื้อมา 2 ชิ้น (10 บาท) + น้ำอีก 1 ขวด (8 บาท)  
                    ก็พอประทังความหิวไปได้ กินไส้กรอกหมดแล้ว แต่ข้าวเหนียวยังเหลือ ทำยังไงดี
                    จะเก็บไว้ก็ใช่ที่ เลยตัดใจทิ้งลงถังขยะ โดยพยายามไม่นึกถึงเด็กชาวเอธิโอเปีย
                      บ่ายโมง 5 นาที รถมาจอดรอที่ท่ารถ รีบขึ้นรถ เสียบหูฟังเพลงพร้อมทั้ง
                    นั่งรถชมวิวไปเรื่อยๆ รถทัวร์ก็แวะตามบขส. ต่างๆ ไปเรื่อยๆ เช่นกัน ตอนแรกยัง
                    เฉยๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่นานๆ ไป รู้สึก ทำไมมันแวะถี่จังฟะ (แต่ยังดีนะที่เค้าไม่รับ
                    คนมายืนบนรถ ไม่เหมือนสายตะวันออก คนยืนโหนกันเต็มรถเลย) ไม่ไหวแล้วเพราะ
เริ่มเมื่อย จนมาถึงที่บขส. อะไรสักที่ รถก็จอดให้ลงเพื่อไปเข้าห้องน้ำและซื้อของรองท้อง (ซื้อ Oishi 1 ขวด + ช็อกโกแล็ต Alfie 1 อัน) ผ่านไป 5 ชั่วโมงแล้ว หันไปมองข้างทาง กทม. อีก 100 กว่าโล 
(ไม่อยากจะคิดเลยว่า จะถึงกทม. กี่โมง) จนกระทั่งทุมกว่าๆ มองเห็นแล้ว Future Park Rangsit (ดีใจโคตร) แต่รถก็ติดอยู่เหมือนกัน กว่าจะไปถึงหมอชิต 2 ก็ 2 ทุ่มกว่า หิวข้าวมากๆ แต่ก็อยากรีบกลับ 
ไปดูรถทัวร์ป.1 ไปบางแสนปรากฏว่า รถหมดแล้ว แต่ยังดีที่มีรถตู้อยู่ 1 คัน แม้ว่าราคาจะแพงกว่าปกติ (ที่ละ 150 บาท) ก่อนจะขึ้นรถก็ขอเค้าไปซื้อนม + ขนมปังกินรองท้องบนรถตู้ ไปถึงที่รถพบว่า   
ต้องนั่งเบียดกัน 4 คนหลังคนขับรถตู้ออกเวลาเกือบ 3 ทุ่ม แต่คนขับขับเร็วมากถึงตลาดหนองมนตอน 4 ทุ่มนิดๆ ข้ามสะพานลอยไปขึ้นรถสองแถวกลับเข้าไปที่พักตรงบางแสนสาย 2 ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ
ตอน 4 ทุ่มครึ่ง                              
  กลับมาถึงลองคิดคำนวณค่าใช้จ่ายตั้งแต่ออกเดินทางไปหล่มสัก (จากหมอชิต 2) จนถึงเดินทางกลับมากทม. ใช้ไปไม่ถึง 2,000 บาท รวมพวกของที่ซื้อไปกินบนภู (จริงๆ กดตังค์มา 4,000 กว่า)
รู้สึกว่า ไม่แพงเมื่อเทียบกับประสบการณ์ชีวิตที่ได้มา และเมื่อลองสังเกตข้าวของรอบตัว ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้า ทุกอย่างมีรอยเปรอะเปื้อนทั้งฝุ่นและโคลนทำให้ยังจดจำคืนวันที่ได้ผ่านมาอย่างชัดเจน
แต่ก็ต้องกองทุกอย่างไว้ตรงนั้นก่อน แล้วไปอาบน้ำ กินยาคลายกล้ามเนื้อ ดูทีวี (หลังจากที่ไม่ได้ดูมาหลายวัน) แล้วก็หลับตานอนอย่างมีความสุขในคืนที่เงียบเหงา (เพราะเป็นวันหยุดยาว คนยังไม่กลับมา)
                                 
                                 
                                 
      จบบทที่ 4    

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที