6. ค่านิยมทางเพศ ที่สาวในยุคนี้ไม่เห็นเรื่องการรักนวลสงวนตัว เป็นเรื่องสำคัญมากไปกว่าความรักสนุก การมีประสบการณ์ทางเพศ ที่ผ่านผู้ชายมาหลายคนกลายเป็น ปมเขื่อง ที่ไว้คุยอวดกันว่า ใครสามารถมีสัมพันธภาพทางเพศกับชายได้มากว่ากัน ค่านิยมใหม่ ที่มีเสรีทางเพศ ไม่ต้องมีความรัก ไม่ต้องรู้จักลึกซึ้ง เพียงแค่มี ความพอใจ ไม่ต้องรู้จักชื่อ-นามสกุล เรียกกันด้วยชื่อเล่นก็สามารถจะมีสัมพันธ์ด้วยได้ โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะลงเอยด้วยการแต่งงาน หรือการสร้างครอบครัว เพียงครั้งเดียวแล้วก็ผ่านเลยไปเหมือนสายลมพัดผ่าน พบกันอีกครั้งอาจจดจำกันไม่ได้ การที่มี รักเสรี อย่างไม่รู้จัก ข้อจำกัด ทางเพศที่แตกต่าง และความรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมา ทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างดีพอนั้น นำมาซึ่งปัญหาสังคมของการตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจ การทำแท้ง การทอดทิ้ง เพิ่มจำนวนเด็กกำพร้า การเกิดโรคติดต่อทางเพศ เมื่อวัยนั้นผ่านพ้นไป กว่าจะรู้สึกตัวและสำนึกได้ ความรู้สึกผิดในใจก็จะกลายเป็น ตราบาป กัดกร่อนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจให้จมอยู่กับความเจ็บปวด โดยไม่อาจย้อนคืนไปแก้ไขได้ ในกรณีนี้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ จึงน่าจะมีบทบาท สำคัญในการสร้า้งทัศนคติ จิตสำนึก และค่านิยมที่ถูกต้องให้กับเยาวชนอย่างเข้มข้น และคอยดูแลอย่างใกล้ชิดในการคบเพื่อน ดีกว่าปล่อยให้เด็กเหล่าันั้นเผชิญปัญหา ด้วย ความไม่รู้ โดยลำพัง | ||||||||
7. เชื่อโชคลาง เรื่องนี้เป็นกันมากในสังคมไทย เพราะมีแนวโน้มเชื่อในสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว ไม่ว่าคน สัตว์ พืชกำเนิดมาผิดปกติ ก็จะได้รับยกขึ้นมาสักการบูชาทั้งขอทั้งขูด แม้แต่ความฝันก็จะถูกตีเป็นตัวเลข เพื่อนำไปเสี่ยงโชค และถ้าโชคดีบังเอิญถูก ก็จะมีคนแห่ไปสักการะขอโชคลาภ มากขึ้นอีกหลายเท่า คนที่มีความเชื่อหรือค่านิยมชมชอบในการเสี่ยงโ๙ค ดูจะมีพรสวรรค์ในการแปลความหมายหรือตีตัวเลขออกมาเป็น เลขเด็ด จนได้ แม้แต่ตัวเลขนั้นจะมาจากความตายหรือความวิบัติของคนอื่น เช่น วัน เดือน ปี อายุ ของผู้เสียชีวิต เลขห้อง เลขรถ เลขบัตร เลขบ้าน เป็นต้นชมรมคนรักหวย มีความสามารถแปลความคำนวณ จนถูกต้อง และกระเป๋าฉีกกันมานักต่อนักแล้ว อยาจะบอกไว้สักนิดด้วยความหวังดีว่า ถ้าอยากลุ้นพอให้ชีวิตมีรสชาติ มีความหวังบ้าง ก็ซื้อสักใบสองใบพอ เพราะถ้าคุณมีโชคจริงซื้อเพียงใบเดียวก็ถูก แต่ถ้าไม่มีโชคซื้อ 50 ใบ ก็ถูกกินเรียบ | ||||||||
8. ชอบอิงผู้มีอำนาจ พวกนี้เป็นชาวเกาะ นิยมเกาะผู้มีอำนาจ จนบางคนไปหลงคิดว่าตนเป็นผู้มีอำนาจเสียเองก็มี อวดอำนาจมากกว่าผู้มีอำนาจ จะชอบติดสอยห้อยตาม ผู้ใหญ่ ที่มีอำนาจในวงราชการหรือนักการเมืองทุกระดับ เพื่อหวังผลประโยชน์ความก้าวหน้า โดยเลียนแบบแอบอิง บางครั้งแอบอ้างนำอำนาจนั้นไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและพวกพ้อง โดยที่ผู้มีอำนาจ ตัวจริง ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าตนเองตกอยู่ใน สภาพแวดล้อมเป็นพิษ กว่าจะรู้ตัวก็พังเรียบร้อยแล้ว | ||||||||
9. ชอบฝ่าฝืนกฏ ไร้ระเบียบวินัย พวกนี้ถูกเลี้ยงมาให้เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เห็นใครมีความสำคัญเท่าตัวเอง ยึดคติทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้ เวลาสำหรับคนพวกนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวก และพอใจของตัวเอง โดยเฉพาะผู้มีอำนาจบารมีมักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่สนใจว่าใครจะเสียเวลา ส่วนรวมจะเสียหาย งานต้องล่าช้าเพราะต้องรอคนคนเดียว คนที่ขาดความรับผิดชอบและไม่รู้เวลา กฏ ระเบียบ มีไว้ให้คนพวกนี้ละเมิดในฐานะอภิสิทธิ์ชน ถ้าตนเองเป็นคนออกกฏไม่เคยเคารพกฏหรือหลักเกณฑ์ใด ๆ ข้าฯ นิยม อย่างนี้ต้องฆ่านิยม เพราะคนพวกนี้อยู่ที่ไหนสังคมก็วุ่นวาย สับสน ไร้ระเบียบ เพราะการแหกกฏทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม | ||||||||
10. ขาดสัมมาคารวะ ไม่รู้ว่าเป็นค่านิยมของเด็กรุ่นใหม่วัยดิจิทัลหรืออย่างไร เด็กส่วนใหญ่จึงมีกิริยาวาจากร้าน กระด้าง พูดจาไร้หางเสียง ท่าทางกร่าง ใหญ่โตเกินตัว ไม่รู้จักเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่สนใจอาวุโส ทั้งวัยวุฒิและคุณวุุฒิ นอกจากไม่เคารพนบนอบแล้ว บางครั้งยังแสดงกิริยาราวกับ จะเหยียบหัวผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ ถ้าผู้ใหญ่คนนั้นไม่ใช่ครูที่สอน ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาที่สามารถให้คุณให้โทษได้ ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้เป็นไม่เอาไว้ อาจารย์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เป็นครูอยู่โรงเรียนเดียวกัน เพียงแต่ไม่ได้สอนเด็กโดยตรง อย่าบังอาจไปคิดว่าเขาเป็นศิษย์ ที่จะสามารถว่ากล่าวตักเตือนได้ จะถูกสวนด้วยคำพูดที่นึกไม่ถึง ซ้ำยังแสดงกิริยาไม่ยี่หระใส่ มีคำถามว่า ทำไมเด็กไทยจึงเป็นอย่างนี้ หรือเป็นเพราะพ่อแม่ในยุคใหม่เขาเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน ซึ่งก็คงดีในแง่หนึ่งลูกไว้วางใจสามารถบอกเล่า พูดคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง แต่คงมิได้หมายความว่า ลูกสามารถลามปาม ก้าวร้าว โดยขาดสัมมาคารวะต่อพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่อื่น ๆ บางคนก็ให้ความเห็นว่าพ่อแม่รุ่นใหม่เลี้ยงลูกไม่เป็น รักลูกมากเกินไปก็เลยตามใจให้อิสระเสรีภาพมาก ไม่อบรมสั่งสอน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกน้อย โอ๋ลูกจนเสียคน บางครอบครัวพ่อแม่ต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ความรัก ความอบอุ่น การสั่งสอนกับลูก เลยพยายามชดเชยด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ตามใจให้ทรัพย์สินเงินทองที่ลูกต้องการ เพราะเข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นการแสดงความรักของพ่อแม่ และบางคนก็บอกว่าความรวดเร็วของสื่อในโลกยุค IT ทำให้เด็กบ้านเรารับรู้ข่าวสารความเป็นไปของโลกได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งมีผลดีและผลร้ายในเวลาเดียวกัน | ||||||||
ถ้าวัฒนธรรมบ้านเรายังไม่เข้มแข็ง พอที่จะปลูกฝังเด็กไทยให้เห็นคุณค่า และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทยได้ เด็กก็จะเลียนแบบ เอาอย่างเด็กตะวันตกทั้งความประพฤติ แฟชั่นการแต่งกาย การรับประทาน Fast Food ทั้งหลาย ความคลั่งไคล้ดารา นักร้อง ฯลฯ เพราะโดยธรรมชาติ สิ่งใดที่เข้มแข็งกว่า เข้มข้นกว่า มักดูดกลืนหรือมีอิทธิพลเหนือสิ่งที่อ่อนแอ เบาบางกว่า ด้วยความเป็นเด็กที่ยังอ่อนทั้งความคิดและสติปัญญา ทำให้ไม่อาจแยกแยะถึงความเหมาะควร พิษภัย ดีเลว ของวัฒนธรรมที่แตกต่าง ขาดความรู้คิด การหลงและไม่รู้จักตัวเอง ดูถูกรากเหง้าของตัวเอง คิดว่าตนนั้นฉลาดเหนือใคร จึงแสดงความอวดรู้และอวดดีอย่างอหังการ ซ้ำดูถูกคนอื่นที่เป็นผู้ใหญ่ว่าโง่เง่า เต่าตุ่น เชย หารู้ไม่ว่าตนนั้นมีลักษณะเหมือน กบ ในสระน้อย ที่น่าเวทนายิ่ง อย่างที่โ๕ลงโลกนิติ เขียนเปรียบเปรยไว้ว่า | ||||||||
| ||||||||
ค่านิยมที่ขาดสติรู้คิดนี้เป็นค่านิยมที่ไม่น่ารัก การเรียนรู้ในวิทยาการใหม่ ๆ นั้นเป็นสิ่งดี มีประโยชน์ทั้งกับตนเองและชาติบ้านเมือง ถ้านำไปใช้ในทางที่ถูก มิใช่นำไปใช้ ยกตนข่มท่าน คนเก่งนั้น ยิ่งเก่งก็ต้องยิ่งนอบน้อม ถ่อมตน เหมือนรวงข้าว ถ้าเมล็ดข้าวอุดมสมบูรณ์ รวงข้าวหนักก็จะโน้มลงต่ำ ตรงข้ามกับรวงข้าวที่ไรเมล็ดหรือเมล็ดลีบแห้ง รวงข้าวจะเบา ช่อก็จะแข็งขืน เหี่ยวแห้งตายไร้ประโยชน์ไปในที่สุด ถ้าเป็นคนเก่งแล้วอวดดีก็จะไม่มีใคร นำความเก่งนั้นไปใช้ประโยชน์ หมดโอกาสแสดง เพราะผู้ใหญ่หมดเอ็นดู เอือมระอากับอาการที่ชอบ กดข่ม ผู้คน บางคนไร้มารยาทมาก อุตส่าห์เรียนมาได้ตั้งหลายปริญญา แต่ขาดสัมมาคารวะ เคารพนบนอบผู้อาวุโส แทบจะเอามือลูบหัวผู้ใหญ่ก็เคยเห็นมาแล้ว | ||||||||
ในยุคที่ผู้เขียนเป็นเด็ก จำได้ว่าถ้ากระทำอะไรที่ไม่เหมาะสม เพียงแค่ผู้ใหญ่ปรามด้วยสายตา เราก็จะกลัวเกรง หลบตาไม่กล้ากระทำการนั้นต่อ แต่เด็กในยุคใหม่นอกจากไม่รู้สึกถึงการกระทำนั้นแล้ว ยังจ้องสบตาอย่างไม่สะทกสะท้าน สะดุ้งสะเทือนอะไร บางครั้งยังแสดงอาการท้าทาย ด้วยซ้ำ บางทีก็พูดสอดพูดแทรก ขณะที่ผู้ใหญ่กำลังพูดคุยกันอยู่ ผู้ใหญ่นั่งอยู่ก็ตะโดนพูดข้ามหัวผู้ใหญ่ไปมา ยื่นมือยื่นไม้ข้ามหัว คิดอยากจะทำอะไรก็ทำตามอำเภอใจ ไม่รู้จักคำว่า เกรงใจ แสดงกิริยาวาจาหยาบคายให้เห็นเสมอเข้าทำนอง | ||||||||
| ||||||||
เห็นแล้วก็ไม่สบายใจ จะไปตักเตือนอะไรก็ไม่ได้ เพราะทีท่าเขาไม่ยอมฟังใครแน่ ก็ต้องปล่อยไปจนได้รับบทเรียนด้วยตัวเองนั่นแหละ จึงจะรู้ผู้ใหญ่หลายคนเขาเอือมระอา และอ่อนใจเต็มที ค่านิยมนี้เหมือนเป็นโรคติดต่อ แพร่ระบาดในเด็กไทยเป็นส่วนใหญ่ เมื่อนั่งหลับตาคิดถึงอนาคตของชาติบ้านเมืองที่อยู่ในมือเด็กที่มีข้าฯ นิยมผิด แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ ใครมีหน้าที่เกี่ยวข้องคงต้องช่วยกันโดยด่วน | ||||||||
ความจริง ค่านิยม ที่เป็น ข้าฯ นิยม ที่ควร ฆ่า ยังมีอีกมากมายหลายประการ เช่น ความไม่กตัญญูรู้คุณ ความไม่รู้จักอดกลั้น อดทน การเรียนรู้อย่างฉาบฉวย แม้แต่การเล่นหวยรัฐ ที่รัฐหมดปัญญาปราบหวยใต้ดิน ก็เลยส่งเสริมให้เป็นหวยถูกฏหมายเสียเลย เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่สร้างปัญหาต่อเนื่องไม่รู้จบ เพราะคนที่ไม่เคยเล่นเลย พอรัฐประโคมข่าวม โฆษณาประชาสัมพันธ์ก็หันมาสนใจ ลองซื้อดู ต่อมาก็ติดเป็นเจ้าประจำ คนที่กลัว ๆ กล้า ๆ ไม่เคยซื้อ เพราะกลัวถูกจับ ก็ได้โอกาส ซื้อโดยเปิดเผย แม้รัฐจะแก้ตัวว่า เป็นเพื่อการศึกษาของเด็กยากจนก็ตาม วิธีแก้ปัญญาอย่างนี้ก็เป็นค่านิยมของรัฐบาลไทย ที่อยากส่งเสริมให้เด็กมีการศึกษา แต่ไม่สนใจว่าเด็กจะดีหรือไม่ ถ้าเด็กจบการศึกษาด้วยเงินหวย แล้วเกิดสำนึกบุญคุณของรัฐด้วยการซื้อหวยตอบแทนทุกเดือน เด็กไทยคงว่ายวนอยู่ในอบายมุขไปจนตาย |
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที