จริยา

ผู้เขียน : จริยา

อัพเดท: 02 เม.ย. 2014 12.05 น. บทความนี้มีผู้ชม: 75047 ครั้ง

การชมบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อนใกล้ ๆ กรุงเทพฯ ที่จะช่วยเติมพลังในช่วงวันหยุดของคุณให้สนุกสนานกันอย่างเต็มที่


หน้าร้อนไปเที่ยวไหนดี กับ 10 สถานที่เที่ยวสุดชิลใกล้กรุงเทพฯ

การชมบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อนใกล้ ๆ กรุงเทพฯ ที่จะช่วยเติมพลังในช่วงวันหยุดของคุณให้สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ หลายคนที่เริ่มวางแผนท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีว่าในช่วงหน้าร้อนนี้จะไปเที่ยวที่ไหนดี จึงจะช่วยบรรเทาความร้อนและผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดได้บ้าง แต่ถ้าจะไปเที่ยวไกล ๆ ในช่วงที่มีวันหยุดน้อยก็คงเป็นไปไม่ได้ เราขอแนะนำ 10 สถานที่เที่ยวหน้าร้อนใกล้กรุงเทพฯ  ไว้เป็นตัวเลือกเที่ยวหน้าร้อนนี้กัน

ถ้ำเวฬุวัน วัดวังคัน จ.สุพรรณบุรี

 

ภาพจาก suphan.biz

          ใครที่ชอบไหว้พระทำบุญและอยากชมความงามของธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน แต่มีเวลาจำกัด เราขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ใน จ.สุพรรณบุรี ได้แก่ ถ้ำเวฬุวัน ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวัดวังคัน จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเปิดทำการเวลา 06.00 - 17.00 น. ตั้งอยู่ห่างจาก อ.ด่านช้าง ประมาณ 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางหลวงหมายเลข 333 กิโลเมตร ที่ 77 ห่างจากทางเข้าอุทยานแห่งชาติพุเตยประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อไปถึงวัดวังคันนักท่องเที่ยวจะพบกับบันไดคอนกรีต จำนวน 61 ขั้น ที่ทอดยาวเป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร ไปจนถึงปากถ้ำที่มีขนาดใหญ่ปานกลาง ส่วนภายในถ้ำนั้นมีไฟฟ้าส่องสว่างพอให้นักท่องเที่ยวเห็นสภาพภายในถ้ำที่มีหินงอกและหินย้อยสวยงามตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปจำลองปางป่าเลไลยก์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สักการบูชา ส่วนในบริเวณวัดทาง อ.ด่านช้าง ได้จัดทำเป็นสวนไผ่เทิดพระเกียรติ ประกอบด้วยพันธุ์ไผ่ต่าง ๆ ที่ปลูกไว้กว่า 10 ชนิด เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษากันอีกด้วย


ตลาดน้ำ 4 ภาค พัทยา


ภาพจาก pfm4.com

ถ้าอยากชมบรรยากาศวิถีชาวบ้านของชาวไทย 4 ภาค ต้องไม่พลาด  ตลาดน้ำ 4 ภาค พัทยา ซึ่งตั้งอยู่ติดถนนสุขุมวิท อยู่ห่างจากพัทยาใต้ไปทางสัตหีบ ประมาณ 2.5 กิโลเมตร (ฝั่งซ้ายมือ) ตรงข้ามกับจูราสสิก การ์เด้น ก่อนถึงป้ายสุดเขตเมืองพัทยา ซึ่งเปิดทำการเวลา 09.00-19.00 น.

           ตลาดน้ำ 4 ภาค พัทยา ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางศิลปวัฒนธรรมไทยกลางใจเมืองพัทยา  ซึ่งจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไทยที่เรียบง่าย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ นอกจากจะเดินเที่ยวชมสถานที่แล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถนั่งเรือพายชมทัศนียภาพของ 2 ฝั่งน้ำ เพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านอีกด้วย สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูป ที่นี่มีเรือนไทยไม้สักงาม ๆ จากภาคต่าง ๆ ไว้ให้เก็บภาพความประทับใจกัน และชาวบ้านยังนำอาหาร และผลิตภัณฑ์ชุมชนมาจำหน่ายในราคามิตรภาพในร่วมชิมร่วมช้อปกันอย่างจุใจ สำหรับสินค้าทั้ง 4 ภาคนี้ จะแตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตของแต่ละภาค โดยภาคเหนือจะเป็นสินค้าไม้แกะสลัก เครื่องเงิน ผ้าพื้นเมือง ผ้าไหม และร่มกระดาษ ส่วนสินค้าภาคกลาง จะเป็นเฟอร์นิเจอร์หวาย เครื่องประดับ และกระเป๋าสาน ภาคอีสานมีสินค้าเด่น คือ ผ้าไหมหมัดหมี่ ผ้าไหมแพรวา เทียนหอม หมอนอิง ปิดท้ายด้วยสินค้าภาคใต้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ผ้าบาติก เรือไม้จำลอง เป็นต้น



รฤก หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 

ภาพจาก เฟซบุ๊ก RarukHuaHin

ใครที่เดินทางผ่านหัวหินแต่เบื่อการเที่ยวทะเล วันนี้เราขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ รฤก หัวหิน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่กลางมุมเมือง ซึ่งเต็มไปมุมถ่ายภาพเก๋ ๆ ร้านอร่อยหลายสิบร้าน และร้านขายของที่ระลึกแฮนด์เมด โดย รฤก หัวหิน ตั้งอยู่บนถนนแนบเคหาสน์ ปากซอยหัวหิน 51 อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดทำการเวลา 10.00-21.00 น.                                                                             
           รฤก หัวหิน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีบ้านไม้เก่าที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ตั้งอยู่กลางพื้นที่ ด้วยความที่เจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนหัวหิน อยากอนุรักษ์บ้านไม้เก่าไว้จึงทำการปรับปรุงซ่อมแซมและต่อเติมบ้านไม้หลังนี้ใหม่ ก่อนทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยมีการจัดแสดงภาพของหัวหินสมัยเก่าที่หาดูได้ยากให้นักท่องเที่ยงได้ชมวิถีชีวิตของคนหัวหินในสมัยก่อน นอกจากนี้ รฤก หัวหิน ยังเป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร เครื่องดื่มที่ทั้งอร่อย สะอาด ราคาย่อมเยา มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย รวมถึงการแสดงดนตรีสดอีกด้วย



พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน ช้างดึกดำบรรพ์และไดโนเสาร์ จ.นครราชสีมา

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Korat FosFest

 หากใครสนใจทางด้านโบราณคดีต้องไม่พลาดการเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน ช้างดึกดำบรรพ์และไดโนเสาร์ หมู่ที่ 7 บ้านโกรกเดือน 5 ถนนมิตรภาพ-หนองปลิง ต.สุรนารี จ.นครราชสีมา เดินทางโดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 304 (นครราชสีมา-ปักธงชัย) ก่อนมุ่งหน้าไปยังถนนสายเลี่ยงเมืองสายมิตรภาพ-หนองปลิง

           พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน ช้างดึกดำบรรพ์ และไดโนเสาร์แห่งนี้ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมโบราณวัตถุแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นหนึ่งใน 7 แห่งของโลก ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงพรรณไม้ดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ อายุประมาณ 800,000-320,000,000 ปี นอกจากนี้ ยังมีสวนไม้กลายเป็นหินที่จำลองภูมิประเทศของภาคอีสานบริเวณลุ่มน้ำมูล-ลุ่มแม่น้ำชี รวมถึงโซนจัดแสดงช้างดึกดำบรรพ์ 8 สกุล จาก 42 สกุลที่พบทั่วโลก ทั้งช้างสี่งา ช้างงาจอบ ช้างงาเสียม และฟอสซิลสัตว์นานาชนิด เช่น เต่ายักษ์ ตะโขง และเอป ลิงไม่มีหางที่มีสายวิวัฒนาการใกล้เคียงกับมนุษย์ที่ถูกจัดให้เป็นชนิดใหม่ของโลก โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.

ทางรถไฟสายมรณะ จ.กาญจนบุรี

 

ภาพจาก ททท.

คนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ น่าจะชื่นชอบการไปเยือนทางรถไฟสายมรณะ จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีระยะทางเริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ผ่าน จ.กาญจนบุรี ข้ามแม่น้ำแควใหญ่ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองตันบูซายัด ประเทศพม่า รวมระยะทางในเขตประเทศไทย 300 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางนี้ใช้เวลาในการสร้างก่อสร้างเพียง 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามทางรถไฟบางส่วนถูกรื้อทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม

           โดยทางรถไฟสายนี้ถือเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้น จากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้างของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา ซึ่งทิวทัศน์ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ซึ่งเส้นทางรถไฟจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแควน้อยและสิ้นสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตก 77 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่สนใจเที่ยวชมบรรยากาศทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้ ทางรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดบริการเดินรถบนเส้นดังกล่าววัน และมีการจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพมหานคร-น้ำตก ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการอีกด้วย

ตลาดชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องผักกาด จ.จันทบุรี
 

ที่มาของรูปhttp://www.idotravellers.com/th/index.php/2012-06-09-01-44-24/914-2013-09-26-05-49-53

ใครที่ตั้งใจจะแวะไปเที่ยว จ.จันทบุรี และอยากลองเปิดหูเปิดตากับสินค้านานาชนิดจากประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ต้องลองไปเยือนตลาดชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องผักกาด จ.จันทบุรี ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านคลองใหญ่ หมู่ 4 ตำบลคลองใหญ่ อยู่ห่างจากที่ว่าการ อ.โป่งน้ำร้อน 30 กิโลเมตร โดยในตลาดแห่งนี้จำหน่ายทั้งสินค้าอุปโภค-บริโภค และพืชผลทางการเกษตร เช่น อาหาร เสื้อผ้า หมวก อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ทหาร เป็นต้น

           ส่วนการเดินทางข้ามแดนเข้าไปเที่ยวตลาดในประเทศกัมพูชาจะต้องใช้พาสปอร์ตด้วย โดยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ ตั้งแต่เวลา 07.00-20.00 น. โดยตลาดจะคึกคักมากในช่วงเช้า ก่อนคนเริ่มซาในช่วงเย็น ตลาดชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องผักกาด จะอยู่ห่างจากกรุงไพลิน 20 กิโลเมตร และห่างจากเมืองพระตะบอง 68 กิโลเมตร การเดินทางใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 317 ไปทางจังหวัดสระแก้ว แล้วเลี้ยวขวาบริเวณสี่แยกทับไทร (หน้าโรงพยาบาลโป่งน้ำร้อน) เข้าเส้นทางหมายเลข 3193 ไปประมาณ 13 กิโลเมตร

 

 อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ
 

 

ขอขอบคุณที่มา http://www.idotravellers.com/th/index.php/2012-06-09-01-44-24/914-2013-09-26-05-49-53

รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว :
ครอบคลุมพื้นที่อำเภอมะขาม และอำเภอเขาคิชฌกูฏ อุทยานแห่งนี้เป็นต้นน้ำสำคัญของแม่น้ำจันทบุรี  สภาพป่าในบริเวณนี้มีทั้งป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา และป่าไม้ผลัดใบ มีสมุนไพรและกล้วยไม้ป่านานาชนิด รวมทั้งมีพันธุ์ไม้หายากคือ ไม้กฤษณา มีสัตว์ป่าชุกชุม เช่น กระทิง เสือ หมี กวาง เก้ง เลียงผา และนกชนิดต่างๆ   ตามลำห้วยมีปลาพลวง ปลาก้าง ปลาหนวด ปลาดุกรำพัน อาศัยอยู่
สถานที่น่าสนใจในบริเวณอุทยาน ฯได้แก่
-     น้ำตกกระทิง  มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาคิชฌกูฏ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มี 13 ชั้น ใช้เวลาเดินไป-กลับ 3 ชั่วโมง เล่นน้ำได้ แต่ละชั้นห่างกันราว 20 เมตร ชั้นที่ 8-9 เป็นชั้นที่สวยงามที่สุด ระหว่างทางจะผ่านป่าไผ่และพันธุ์ไม้หลากชนิด งามยิ่ง นอกจากนี้ยังมีชายหาดขนาดใหญ่ริมธารน้ำตกที่เกิดจากทรายที่ถูกน้ำป่าพัดลงมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2542 ลำธารชั้นล่างของน้ำตกอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 100 เมตร
-    ยอดเขาพระบาท ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฎ การเดินทางเริ่มต้นที่วัดพลวงไปตามถนนลูกรังที่ลาดชันและคดเคี้ยวมาก ระยะทาง 8 กิโลเมตร จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร ระหว่างทางจะมีจุดแวะพักให้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทิวทัศน์บนยอดเขาคิชฌกูฏหรือเขาพระบาทนี้เป็นปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาที่นำมาผูกกับตำนานทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ ศิลาเจดีย์ รอยพระพุทธบาทหลวง หินรูปบาตรคว่ำ ถ้ำฤาษี หินที่มีรูปร่างคล้ายเต่าและช้างขนาดยักษ์ และหากต้องการจะเดินต่อไปจนถึงเขตผ้าแดง ซึ่งเป็นเขตสิ้นสุดที่สามารถเดินไปได้จะต้องเดินขึ้นเขาต่อ
จากลานพระบาทไปอีก 800 เมตร บนยอดเขาพระบาทซึ่งมีอากาศเย็นสบายนั้น สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสระบาป เขาสุกิม เกาะนมสาว และตัวเมืองจันทบุรีได้อย่างชัดเจน เฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีนถึงช่วงวันมาฆบูชาของทุกปีจะมีประชาชนขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาททั้งกลางวันและกลางคืนเป็นจำนวนมาก (สำหรับผู้สูงอายุมีไม้เท้าให้เช่า ราคาอันละ 5 บาท และบริการแคร่แบกหามในราคาเที่ยวละ 400 บาท)     การเดินทาง  จากตัวอำเภอเมืองจันทบุรีผ่านแยกเขาไร่ยา ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 3249 ระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร โดยใช้ทางขึ้นเขาพระบาทพลวง (ทางขึ้นคนละจุดกับอุทยานฯ) เมื่อถึงวัดพระบาทพลวงต้องจอดรถส่วนตัวทิ้งไว้ (มีลานจอดรถไว้บริการ) จากนั้นมีรถสองแถวบริการขึ้นเขาพระบาทออกจากวัดพลวงไปสิ้นสุดที่บริเวณทางขึ้นยอดเขาพระบาท โดยรถที่ขึ้นยอดเขาแบ่งเป็น 2 ช่วง ค่าโดยสารช่วงละ 50 บาท/คน (รวมไป-กลับ 200 บาท) มีรถบริการตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จะถึงจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นไปรอยพระบาท สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ โทร. 0 3945 2074
-    น้ำตกคลองช้างเซ อยู่ระหว่างทางขึ้นเขาพระบาท ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่เหมาะแก่การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ โดยเริ่มจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เดินเป็นวงกลมแล้ววนกลับมาที่เดิม ระหว่างทางจะมีคำบรรยายเขียนไว้ ใช้เวลาในการเดินประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 4 กิโลเมตร
-    น้ำตกคลองไพบูลย์,น้ำตกคลองกระสือ เป็นธารน้ำตกขนาดใหญ่เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ บรรยากาศร่มรื่น อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ที่ คก. 2 (คลองไพบูลย์) ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 8 กิโลเมตร มีลานกางเต็นท์

โทร 0 3945 2074
 ค่าเข้าอุทยานฯ  ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท

สถานที่พัก  อุทยานฯ มีบริการบ้านพัก จำนวน 6 หลัง พักได้ 2-8 คน  มีเต็นท์ให้เช่า พักได้ 3-6 คน และในกรณีที่นักท่องเที่ยวนำเต็นท์มาเองเสียค่าพื้นที่กางเต็นท์ สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ โทร. 0 3945 2074 หรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760 หรือ www.dnp.go.th
สถานโบราณคดี มนุษย์โบราณ
เปิดทำการ:ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น.

พระรามราชนิเวศน์ จ.เพชรบุรี

 

ขอขอบคุณที่มาภาพ ภาพจาก เฟซบุ๊ก พระรามราชนิเวศน์ วังบ้านปืน จังหวัดเพชรบุรี

พระรามราชนิเวศน์ ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านหม้อ อ.เมือง จ.เพชรบุรี สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้สร้างอาคารดังกล่าวด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นพระราชนิเวศน์สำหรับประทับแรมในฤดูฝน ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อที่จากราษฎร และให้จอมพลเรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นแม่กองจัดการก่อสร้าง

           สำหรับพระรามราชนิเวศน์สร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป ออกแบบโดย มิสเตอร์คาล เดอริง ชาวเยอรมัน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2452 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระที่นั่งศรเพ็ชรปราสาท และทรงเปลี่ยนเป็นพระรามราชนิเวศน์เมื่อปี พ.ศ. 2461 ใช้เป็นที่รับรองแขกเมือง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนผู้กำกับลูกเสือ โรงเรียนฝึกหัดครูเกษตรกรรม และโรงเรียนประชาบาลประจำตำบล ซึ่งปัจจุบันพระรามราชนิเวศน์ได้เปิดประชาชนทั่วไปเข้าชมความงดงามได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น.

 

พุทธสถานจีเต็กลิ้ม จ.นครนายก

 

ภาพจาก เฟซบุ๊ก พุทธสถาน จี เต็ก ลิ้ม นครนายก(Jee Tek Lim)

            เที่ยวชมความงามของศิลปะจีนและร่วมสักการะเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ซิ้งเอี้ย ปางเศรษฐีชัมภล (ปางมหาราช) หรือเจ้าแห่งยักษ์ ซึ่งชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนให้ความเคารพนับถือ โดยพุทธสถานจีเต็กลิ้ม ตั้งอยู่ที่บ้านบางหอย ต.ศรีจุฬา อ.เมือง จ.นครนายก เปิดทำการ เวลา 08.00-16.00 น.

           สำหรับเทพเจ้า ไฉ่ซิ้งเอี้ย ถือเป็นเทพเจ้าที่ให้คุณด้านโชคลาภ ทรัพย์สมบัติและการค้าขาย โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ในการจัดงานตรุษจีนฉลอง 222 ปี ที่เยาวราช ได้มีการอัญเชิญรูปหล่อเทพเจ้าแห่งโชคลาภไฉ่ซิ้งเอี้ยมาให้ประชาชนสักการบูชาจนทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้น และปัจจุบันพุทธสถานจีเต็กลิ้มได้แกะสลักเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ซิ้งเอี้ยจากหยกเขียวน้ำหนัก 1,000 กิโลกรัม หล่อด้วยโลหะขนาดฐานกว้าง 2 เมตร ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่แกะสลักจากหยกเขียวใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ ยังมีรูปหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิม พระศรีอริยเมตตรัย พระอวโลกิเตศวรพันกร เทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้าตามคติความเชื่อของชาวจีนอีกด้วย

Art in Paradise พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ จ.ชลบุรี

 

http://lemoncutee.blogspot.com/2012/09/art-in-paradise.html

          ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะหรืออยากมีมุมถ่ายภาพเจ๋ง ๆ ต้องลองไปเยือน Art in Paradise พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ กันสักครั้ง เพราะ Art in Paradise แห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ Interrative art และ illusion Art ที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ซึ่งตั้งอยู่ถนนพัทยาสายเหนือสายสอง ซอย 1 ต.หนองปรื อ.เมืองบางละมุง จ.ชลบุรี เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-21.00 น.

           Art in Paradise เป็นพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ ที่นำเสนองานศิลปะในรูปแบบเหมือนจริงด้วยเทคนิคการเขียนแบบลวงตา (illusion Art) และนำเสนองานศิลปะในรูปแบบ Interactive Art ที่เชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมกันโพสต์ท่าถ่ายรูปกับงานศิลปะ เพื่อความสนุกสนาน โดยผู้ชมจะดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของภาพที่ถูกวาดไว้ตามมุมต่าง ๆ ของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งงานนี้ไม่ว่าจะเที่ยวกันเป็นคู่หรือเที่ยวกันเป็นแก๊งก็เฮฮาได้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว

 

ขอขอบคุณที่มาข้อมูล http://travel.kapook.com/view84572.html

http://www.idotravellers.com/th/index.php/2012-06-09-01-44-24/914-2013-09-26-05-49-53


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที