ก้าวไกล

ผู้เขียน : ก้าวไกล

อัพเดท: 28 ม.ค. 2007 18.15 น. บทความนี้มีผู้ชม: 9104 ครั้ง

นวนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึง การห้ำหั่นทางการเมืองของเหล่าขุนนางและเหล่าจอมยุทธ์ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมะ โดยเป็นเหตุการณ์หลังจากยุคสามก๊ก ที่ถูกรวบรวมโดยสุมาเอี๋ยน ก่อตั้งราชวงศ์ซีจิ้นขึ้น และคำกล่าวเล่าว่า ผู้ใดได้ครอบครองอาวุธทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งสามแล้วจะสามารถครองแผ่นดินได้....


ตอนที่ ๓ พยัคฆ์หวนคืน

บทที่ ๓  พยัคฆ์หวนคืน

 

                แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบหน้าของเฉียนเกาซันก่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้นฉาบไล้บนใบหน้าที่ไม่เกลี้ยงเกลาของเขา  เฉียนเกาซันค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ  เมื่อคืนนี้เขานอนทบทวนคำพูดต่างๆของปิศาจงมงายจนดึกกว่าจะนอนก็เกือบรุ่งสางแล้ว  ทำให้เช้านี้เขาจึงตื่นสายกว่าปกติ 

 

                เฉียนเกาซันเดินไปล้างหน้าล้างตาในอ่างทองเหลืองขนาดใหญ่ที่จัดวางไว้บนโต๊ะดินเหนียวที่มุมห้อง  เขาพิจารณาใบหน้าของเขาในอ่างทองเหลือง  เวลานี้เขาแทบจดจำใบหน้าเดิมของเขาไม่ได้  ใบหน้าของเขาหาได้หล่อเหลาเหมือนดังเช่นในอดีตไม่  แม้นว่าโครงหน้าของเขาจะเป็นโครงหน้าเดิม  แต่ทั้งหมดได้ถูกแต่งเติมด้วยหนวดเครารุงรัง  ดวงตาแม้นว่าจะมีลักษณะเดิม  แต่กระนั้นรอบดวงตาก็ดำคล้ำเหมือนคนอมโรค  ใบหน้าซูบซีดเหมือนคนขาดสารอาหาร  แทบเรียกได้ว่าบนใบหน้าของเขาตอนนี้หาได้มีสง่าราศีเหมือนดังก่อนไม่  เฉียนเกาซันเห็นดังนั้นพานถอนหายใจออกมา 

 

                เขาเดินห่างออกมาจากอ่างทองเหลืองจากนั้นแต่งกายเสียใหม่  หลังจากหยิบจับเสื้อผ้าที่ปิศาจงมงายได้จัดเตรียมวางไว้ให้บนโต๊ะ  เสื้อผ้าชุดนี้สวมได้พอดีกับตัวเฉียนเกาซันพอดี  ทั้งนี้เพราะรูปร่างของเขากับปิศาจงมงายแทบจะใกล้เคียงกัน  หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยเฉียนเกาซันได้เหลือบไปเห็นกระดาษที่วางไว้ห่างจากเสื้อผ้าไม่ไกลนัก  จึงหยิบมาอ่านเป็นใจความว่า

                “เราจะลงเขาไปสักหลายวัน  จะอย่างไรขอให้เจ้าช่วยดูแลบ้านให้เราด้วย  และขอให้ฝึกวิชาให้สำเร็จ  หวังว่าเมื่อเรากลับไปจะได้เจอเกาซันคนใหม่ที่สามารถเป็นคู่ปรับให้เราได้ 

สุดท้าย  ถ้าเจ้าสำเร็จวิชาแล้วคิดถึงเราก็ไปหาเราได้ที่ถ้ำนิทรา  มีแผนที่อยู่ด้านล่าง  จงจำไว้ หากเจ้ายังไม่สำเร็จวิชา  จงอย่าได้ย่างกรายไปยังถ้ำแห่งนั้นเป็นอันขาด ขอให้เจ้าโชคดี

ปิศาจงมงาย”

 

                เฉียนเกาซันถึงกับยิ้มออกมาเมื่ออ่านจดหมายจบ  จากนั้นเขาเลือกที่จะเดินออกไปหาอาหารยามเช้า  ทุกย่างก้าวของเขามีหอกทลายฟ้าอยู่เป็นเพื่อน  ความผูกพันระหว่างเขากับหอกเพิ่มมากขึ้นทุกวัน  จนวันหนึ่งขณะที่เขาได้นั่งทำความสะอาดหอกทลายฟ้าอยู่นั้น  มือของเขาได้ลูบไล้ไปตามลวดลายของหอกที่เหมือนเป็นเกล็ดมังกรจนกระทั่งไปกระทบถูกเกล็ดๆหนึ่งมีลักษณะไม่เหมือนเกล็ดอันอื่นตรงที่มันสามารถพลิกออกมาได้  เฉียนเกาซันเห็นดังนั้นจึงเปิด  เกล็ดนั้นออกเขาเห็นปุ่มกลไกที่ยื่นออกมาขนาดเท่าผลมะยม  เมื่อกดลงไปกลับปรากฏเศษกระดาษม้วนเล็กๆม้วนหนึ่งดันขึ้นมาแทนที่  เฉียนเกาซันรู้สึกดีใจจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้  ตอนนี้เขามั่นใจอยู่เก้าส่วนว่าสิ่งที่อยู่ในม้วนกระดาษจะต้องเป็นยอดวิชาอะไรสักอย่างแน่นอน

 

                เฉียนเกาซันค่อยๆคลี่ม้วนกระดาษเล็กๆนั้น  อ่านได้ใจความว่า

 

                กุ้ยหนานลูกรัก  เมื่อเจ้าได้พบกระดาษแผ่นนี้แสดงว่าเจ้าได้มีความผูกพันกับหอกนี้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว  กระดาษแผ่นนี้พ่อได้เขียนเอาไว้เพื่อที่จะได้แนะนำว่า  วิชาฝีมือที่เหมาะสมกับหอกทลายฟ้านี้  มิใช่วิชาหอกตระกูลเฉียนของเรา  ดังนั้นหากลูกคิดจะฝึกวิชาหอกทลายฟ้า  ลูกจะต้องทำลายวิชาฝีมือเก่าที่มีให้หมด  จึงจะสามารถฝึกวิชาหอกทลายฟ้าได้  ดังนั้น  แม้นว่าลูกตั้งใจจริงที่จะฝึก  ก็จงสลายพลังฝีมือของตัวเองเถิด  แต่หากแม้นเจ้าไม่ต้องการวิชาหอกทลายฟ้านี้  ก็จงเขียนข้อความเก็บไว้ที่ช่องลับแห่งนี้ฝากไว้ให้กับลูกหลานตระกูลเฉียนของเราต่อไป  สุดท้าย  ยอดคัมภีร์วิชาหอกทลายฟ้าอยู่ที่ส่วนท้ายของหอก  หากเจ้าสังเกตเห็นก็จงเปิดออกดูให้รู้แจ้งเถอะ 

                                                เฉียนหยุนถัง

 

                เฉียนเกาซันอ่านจบก็ม้วนกระดาษใส่กลับช่องลับดังเดิม  ในใจของเขานึกกระหยิ่มอยู่ในใจ  สวรรค์ช่างเล่นตลกนัก  ตัวเขาเองเป็นยอดฝีมือในเชิงหอกผู้หนึ่ง  ต่อมาโดนทำลายวิชาฝีมือจนแทบจะเป็นคนพิการ  ตอนนี้สวรรค์มอบโอกาสให้ตนอีกครั้ง ส่งหอกทลายฟ้ามาให้ตน  ซึ่งตนเหมาะที่จะฝึกวิชาหอกทลายฟ้ามากที่สุด  คิดพลางเขาก็เริ่มลูบคลำที่ส่วนท้ายของหอก  จนพบเห็นรอยต่อของหอกช่วงท้าย  เขาจึงบิดหมุนหอกออกสองส่วน  เมื่อหอกหลุดออกจากกัน  เฉียนเกาซันพบเห็นคัมภีร์ยุทธ์เล่มหนึ่งซ่อนไว้ภายในตัวหอก

               

                ตำรานี้เป็นตำราวิเศษโดยแท้  ตัวปกทำจากหนังวัวดิบแห้งสนิทฉาบด้วยน้ำยาพิเศษ  กันได้ทั้งน้ำและไฟ  หน้าปกเขียนว่า  “วิชาหอกทลายฟ้า”  เฉียนเกาซันมีความรู้สึกว่านี่แหละคือยอดวิชาที่เหมาะกับตนเองที่สุด  เขาใช้เวลาในการศึกษาตำราฉบับนี้อย่างใจจดใจจ่อ  ลืมแม้กระทั่งจะหาอาหาร  แทบเรียกได้ว่าเมื่อเขาได้รับตำราฉบับนี้  ตัวเขาเองแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกเลยทีเดียว    ยิ่งศึกษายิ่งเกิดความสนใจ  ยิ่งเกิดความสนใจยิ่งไม่สามารถละสายตาจากตำราได้

 

                เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเป็นเวลาสามวัน  เฉียนเกาซันเก็บตำราเข้าสู่ที่ซ่อนเดิม  จากนั้นก้าวออกจากห้องนอน  เฉียนเกาซันในขณะนี้  ต่างจากเฉียนเกาซันเมื่อสามวันที่แล้วอย่างสิ้นเชิง  นั่นมิใช่จากรูปลักษณ์ภายนอก  แต่กลับเป็นความรู้สึกเชื่อมั่นที่เขาแสดงออกมาจากทางสายตา  ทำให้ผู้ที่มองเฉียนเกาซันผ่านดวงตาคู่นั้นรู้สึกว่า  ชายผู้นี้เป็นผู้ที่ไม่สามารถโค่นล้มลงได้

 

                ที่ผ่านมาสามวันเฉียนเกาได้แต่ทำความเข้าใจและท่องจำเคล็ดวิชาทั้งหมดให้ขึ้นใจ  ดังนั้นเวลาทั้งสามวันนั้น เขาไม่ได้ซ้อมกับหอกทลายฟ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  แต่เขาก็สามารถเข้าใจถึงเคล็ดความทั้งหมดที่อยู่ในหอกได้  ไม่ใช่ว่าเคล็ดความในหอกเป็นเคล็ดความง่ายๆที่ทุกผู้คนสามารถอ่านเข้าใจ  แต่เป็นเพราะเฉียนเกาซันมีพื้นฐานทางเพลงยุทธ์อยู่เดิม  บวกกับตัวของเขาเองนั้นถือว่าเป็นอัจฉริยะในเชิงบู๊ผู้หนึ่ง  ดังนั้นเขาจึงสามารถตีเคล็ดความในตำราได้อย่างรวดเร็ว

 

                เคล็ดความในตำรานี้มีสามเคล็ดใหญ่นั่นคือ  “บุกทำลายเมฆา”  “เมฆาผันล่องลอย”  “เมฆาพลิกเมฆา”  ซึ่งสามเคล็ดความนี้ต่างมีท่วงท่าเฉพาะเหมาะกับแต่ละสถานการณ์  “บุกทำลายเมฆา”  เป็นท่วงท่าที่ใช้ในการบุกตะลุยมีเคล็ดความย่อยอีกสิบท่า  “เมฆาผันล่องลอย”  เป็นท่วงท่าตั้งรับ  พลิกแพลง  และท่าร่างวิชาตัวเบา  ส่วน “เมฆาพลิกเมฆา”  เป็นท่วงท่าที่ลึกล้ำพิสดาร  เฉียนเกาซันยังไม่อาจเข้าใจกับเคล็ดความนี้ได้  แต่ก็จดจำรูปภาพและข้อความที่อยู่ในตำราได้อย่างขึ้นใจ

 

                หลังจากที่เฉียนเกาซันได้รับเคล็ดวิชาหอกทลายฟ้าแล้ว  เขาก็ออกใช้ชีวิตตามปกติรอคอยการกลับมาของปิศาจงมงาย  โดยที่เขาไม่ได้ใช้หอกฝึกร่วมกับเคล็ดวิชาดังกล่าวแม้สักครั้งเดียว  ทำให้ร่างกายของเขาได้รับการพักผ่อนและหลอมกลืนกับธรรมชาติในป่าเขา  การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการเพิ่มพลังปราณธรรมชาติให้แก่ตนเองโดยไม่รู้ตัว  เฉียนเกาซันรู้สึกว่าชีวิตในป่าเขาช่างสุขสบาย  จนเขาไม่อยากไปจากป่าแห่งนี้

 

                ขุนเขาแห่งนี้ต่างกับขุนเขาที่เฉียนเกาซันเคยอยู่มาก่อนไม่มากนัก  ที่ต่างกันก็คือ  ที่นี่มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว  บรรยากาศโดยรอบก็ร่มเย็นกว่า  ต้นไม้ในบริเวณป่าแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมาก  โดยส่วนใหญ่แล้วจะประมาณสองคนโอบได้  และไม่อยู่ใกล้กันมากจนเกินไป  จนเสมือนว่าต้นไม้เหล่านี้มีคนมาปลูกเอาไว้  เนื่องจากสภาพดังกล่าวทำให้บริเวณป่าแห่งนี้โปร่งและโล่งสบายกว่าป่าที่เฉียนเกาซันมาอยู่ก่อนมากนัก  เขาไม่รู้ว่าเขาลูกนี้อยู่ส่วนไหนของแผ่นดิน  เขาไม่รู้ว่าเมื่อออกจากเขาแห่งนี้แล้วจะเป็นที่แห่งใด  เขาไม่รู้  และเขาก็ไม่ต้องการที่จะรับรู้.....สิ่งที่เขาคาดหวังเพียงอย่างเดียวคือ การกลับมาของปิศาจงมงาย

 

                เย็นวันหนึ่งขณะที่เขากำลังก่อกองไฟย่างเนื้อกระต่ายเพื่อที่จะกินเป็นมื้อค่ำนั้น  สิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้ก็มาถึง  ชายชราผู้มีฉายาว่าปิศาจงมงาย  ได้เดินมายังกองไฟที่เขานั่งอยู่ก่อนแล้ว  แต่ความรู้สึกของเฉียนเกาซันที่มีต่อปิศาจงมงายนั้น  รู้สึกผิดแผกแปลกไป  ปิศาจงมงายก็เป็นปิศาจงมงายคนเดิม  แต่ความรู้สึกที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกับจะบอกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น  สิ่งที่เป็นอัปมงคล  สิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น  นั่นคือสิ่งที่เฉียนเกาซันคิด.....

 

                “ในที่สุดเจ้าก็สามารถทำได้”  ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซันแล้วยิ้มเล็กน้อย

 

                เฉียนเกาซันฟังจากน้ำเสียงของชายชรา  รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ชายชรามีให้กับตน  แต่น้ำเสียงนั้นก็ไม่หนักแน่นเหมือนอย่างที่เคยเป็น

                “ท่านผู้เฒ่าไม่ทราบเกิดอะไรขึ้น?”  เฉียนเกาซันถามด้วยความเป็นห่วง

 

                ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซันอีกครั้ง  เขาถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อเฉียนเกาซันผ่านการมองในครั้งนี้ 

                “เกาซัน  เจ้ารู้หรือไม่  ตั้งแต่เราเข้ามาอยู่ในป่าแห่งนี้  เราไม่เคยได้อยู่ร่วมกับใครเลยเป็นเวลาเกือบสิบปี  เพิ่งมีเจ้านี่แหละ  ที่มาอาศัยอยู่กับเราถึงหนึ่งคืนเต็มๆ  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรามีความรู้สึกลึกซึ้งกับเจ้าเป็นพิเศษ  ทั้งนี้ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากการที่เจ้าเป็นหลานของสหายผู้เคยประลองยุทธ์กับเรา”

 

                “ท่านผู้เฒ่า.....”  เฉียนเกาซันเองก็มีความรู้สึกผูกพันกับปิศาจงมงายผู้นี้เช่นกัน  เพราะตั้งแต่เขาหลบหนีการตามล่าของทางการจนถึงตอนนี้  แทบเรียกได้ว่าตัวเขาไร้ญาติขาดมิตรก็เป็นได้  จนได้มาเจอกับปิศาจงมงายผู้นี้ค่อยช่วยเหลือให้ที่พักพิงแก่เขา  แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียงคืนเดียวก็ตาม

 

                “เหตุอันใดเจ้าจึงไม่ไปหาเราที่ถ้ำนิทรารึ?”   ชายชรากล่าวถามอย่างสงสัย

 

                “เป็นเพราะข้าพเจ้าไม่มั่นใจว่า  หากไปที่นั่นแล้วจะสามารถเป็นคู่มือให้ท่านผู้เฒ่าได้หรือไม่”  เฉียนเกาซันกล่าวอย่างนอบน้อม

 

                “ฮ่า ฮ่า ฮ่า  เจ้าประเมินฝีมือตัวเจ้าเองต่ำเกินไปแล้ว  เมื่อครู่ตอนที่เราเดินมา  เห็นแววตาของเจ้า  เราก็รู้แล้วว่า  เจ้าสำเร็จยอดวิชาแล้ว  เหตุอันใด ตัวเจ้าเองจะไม่รู้รึ?”  ชายชราหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

 

                เฉียนเกาซันแปลกใจกับท่าทีที่แสดงออกของปิศาจงมงายยิ่งนัก

                “ข้าพเจ้าขอเรียนถามอีกครั้ง  ไม่ทราบท่านผู้เฒ่าไปพบเหตุการณ์อะไรมา จึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้”

 

                ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซันอีกครั้ง  คราครั้งนี้สายตากลับเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นจับใจ   จากนั้นยื่นสองมือออกแผ่พลังปางเก้านที  ซึ่งเป็นวิชาก้นหีบที่เคยใช้กับเฉียนหยุนถังตอนประลองกันเมื่อห้าสิบปีที่แล้วออกมา  พลังลมปราณมากมายทะลักออกมาจากสองฝ่ามือมุ่งสู่หัวใจของเฉียนเกาซันอย่างรวดเร็ว  เขาคิดว่าหากแม้นเฉียนเกาซันไม่สำเร็จยอดวิชา  ก็ควรที่จะตายด้วยฝ่ามือนี้ไป  ดีกว่าให้ลงเขาไปตายด้วยฝ่ามือของคนอื่น

 

                เฉียนเกาซันตื่นตระหนกต่อท่าฝ่ามือที่มาโดยไร้วี่แววของปิศาจงมงาย  แต่กระนั้นด้วยสันชาตญาณการเอาตัวรอด  ทำให้เฉียนเกาซันผลักฝ่ามือข้างขวาออกเสมออกใช้ออกด้วยเคล็ดความเมฆาผันล่องลอย  ปล่อยให้พลังปางเก้านทีพุ่งเข้าสู่มือข้างขวา  จากนั้นชักนำพลังที่รับมาผ่านร่างกายออกไปทางมือด้านซ้าย  พลังที่ออกจากมือซ้ายของเฉียนเกาซันกลับพุ่งใส่ต้นไม้ใหญ่ซ้ายมือ  เกิดเสียงดังฟ้าผ่า  พริบตานั้น  ต้นไม้ใหญ่หักโค่นลงอย่างไม่น่าเชื่อ  ทั้งเฉียนเกาซันและปิศาจงมงายต่างตื่นตะลึงต่อภาพที่เกิดขึ้น  นี่คือเคล็ดวิชา  เมฆาผันล่องลอย

 

                เฉียนเกาซันหันกลับไปมองหน้าของชายชรา  ภาพที่เห็นกลับทำให้เขาตกใจจนตื่นตระหนก 

                “ท่านผู้เฒ่า  ข้าพเจ้าไม่......”

 

                “เจ้าไม่ได้เป็นคนทำร้ายหรอกเกาซัน  แค่ก แค่ก แค่ก.....”  ชายชรากระอักเลือดออกมากองโตหลายคำ

 

                “นี่หมายความว่าอย่างไร”  เฉียนเกาซันระล่ำระลักถาม

 

                ชายชรามองหน้าเฉียนเกาซัน  ยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวสืบต่อว่า

                “เมื่อสองชั่วยามก่อน  เรานั่งรอเจ้าอยู่ที่ถ้ำนิทรา  หวังว่าวันนี้เจ้าจะมา  แต่แล้วยามนั้น  เราเห็นยอดฝีมือ ห้าคนพยายามจะเข้ามายังป่าแห่งนี้  เราจึงปรากฏตัวออกไปถามไถ่ดู  ผลลัพธ์ก็คือ  พวกมันมาตามหาซากศพของเจ้า  เราจึงออกตัวไม่ให้มันเข้ามายังที่นี่  สุดท้าย การเจรจาไม่เป็นผล  พวกมันจึงลงมือทำร้ายเรา  ฮึ  พวกมันหารู้จักเราปิศาจงมงายไม่  ในที่สุด  เราฆ่าพวกมันไปสองคน  อีกสามคนที่เหลือหลบหนีไปได้  แค่ก แค่ก แค่ก...”

 

                เฉียนเกาซันตะลึงลาน  เขาไม่เคยคิดว่าผู้ที่อาศัยอยู่ด้วยกันเพียงคืนเดียวจะเสี่ยงชีวิตปกป้องเขาเช่นนี้

                “ท่านผู้เฒ่าได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

                “เกาซัน  เราอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว  แม้นว่าในอดีตอาจจะเคยเป็นยอดฝีมือมาก่อน  แต่สิบปีให้หลังนี้  เราไม่เคยมีโอกาสได้ประมือกับผู้คนเท่าใดนัก  เป็นเหตุให้วิชาฝีมือของเราเสื่อมถอยมากมาย  ดังนั้น การประมือครั้งนี้จึงเป็นการลงมืออย่างจริงจังในรอบหลายสิบปี”   ชายชรากล่าวเสียงราบเรียบ

 

                “จากที่เจ้าเห็น  แม้นว่าเราได้ชัย  แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส  จากข้อนี้แสดงให้เห็นว่ายอดฝีมือที่มามีพลังฝีมือเป็นที่คาดคำนวณได้  ดังนั้น  เมื่อครู่เราจึงต้องลงมือทดสอบยอดวิชาของเจ้าว่าสามารถจะต่อกรกับพวกมันได้หรือไม่  แค่ก แค่ก....”   ชายชรากระอักเลือดออกมากองใหญ่อีกครา

 

                เฉียนเกาซันรีบเข้ามาประคองชายชราเอาไว้ ไม่ให้ล้มครืนลง  ตอนนี้เขาไม่สามารถหักห้ามน้ำตาที่ไหลรินออกจากสองตาได้  เพราะว่าเขารู้ว่า  สิ่งที่เขากังวลที่สุดกำลังจะเกิดขึ้น  ชายผู้ถือว่าเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวของเขาตอนนี้กำลังจะจากไป  เขาผู้ได้ฉายาว่าปิศาจงมงาย.......

 

                “เกาซัน  หลังจากที่เราจากไปแล้ว   เจ้าจงนำร่างของเราไปยังถ้ำนิทรา  ที่นั้นเราเตรียมการไว้พร้อมสรรพ  สิ่งของต่างๆของเราที่อยู่ที่นั่น เราขอมอบให้กับเจ้า  แล้วแต่เจ้าว่าเจ้าจะนำไปทำอย่างไร  แค่ก  แค่ก   ....  เกาซัน  ข้าดีใจมากที่ได้มาเจอเจ้าก่อนที่ข้าจะตาย   .......”  สายตาของชายชราที่มองเฉียนเกาซัน เริ่มพร่ามัวขึ้น  ประกายตาของเขาเริ่มแตกพร่าทีละน้อย

 

                “อย่าได้ร้องไห้แล้ว  หลานชาย  เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไป  จงตั้งใจทำสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง  ในโลกนี้มีบางสิ่งที่เจ้าจะต้องเลือก  อาจบางทีความแค้นส่วนตัว  มีค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  เมื่อเทียบกับชาติบ้านเมือง  จงเลือกสิ่งที่เจ้าเห็นควร  เราเชื่อว่า  เจ้าจะต้องเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งคนหนึ่ง  เจ้าจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งแว่นแคว้นหนึ่ง  ชื่อของเจ้าจะต้องถูกจารึกเอาไว้  ข้าจะคอยดูเจ้าจากเบื้องบน....รักษาตัวด้วย  หลานรัก......”  ขาดคำ  ประกายตาของชายชราก็ดับวูบลง

 

                “ท่านปู่ ....  ไม่....  ท่านปู่”   เฉียนเกาซันกอดร่างที่ไร้วิญญาณของชายชรา  ร่ำร้องเหมือนคนไร้สติ   เขาไม่รู้ว่าเขาต้องทำอย่างไร  เขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องไปไหน  สิ่งที่เขารู้ตอนนี้คือ  ร่ำไห้  ร่ำไห้  และร่ำไห้  เพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เขาต้องการ....

 

...................................................................................

 

                ค่ำคืนที่ไร้แสงดาวเช่นนี้เหมือนเป็นการไว้อาลัยการจากไปของชายชราที่มอบให้กับเขา  เฉียนเกาซันไม่มีน้ำตาที่จะไหลอีกต่อไปแล้ว  เขาย้อนนึกกลับไปถึงครอบครัวของเขา  ตอนนี้ทุกคนก็คงจะไปอยู่ที่เดียวกันหมดแล้ว  ไม่นานตัวเขาเองก็คงจะไปอยู่ที่เดียวกัน    เฉียนเกาซันโอบอุ้มร่างของชายชราเดินมาถึงยังถ้ำนิทราแล้ว

 

                ภายในถ้ำแม้นมืดมิด  แต่เฉียนเกาซันกลับมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน  เขาเดินล่วงลึกเข้าไปภายในถ้ำ  จนพบกับที่โล่งว่างซึ่งจัดเรียงข้าวของ เครื่องใช้เอาไว้  เฉียนเกาซันวางร่างของชายชราลงที่แท่นศิลากลางห้อง  จากนั้นสังเกตดูโดยรอบ 

 

                ที่มุมด้านหนึ่งจัดวางไว้ด้วยชั้นหนังสือที่ทำจากดินเหนียว  บนชั้นวางไว้ด้วยตำรามากมาย  ที่มุมห้องอีกด้านหนึ่งจัดวางไว้ด้วยหีบขนาดใหญ่สองใบ  ส่วนมุมห้องที่เหลือเป็นที่วางโต๊ะน้ำชา  บนผนังถ้ำมีข้อความจารึกบนผนังว่า “ผู้มีวาสนา  สวรรค์จักประทาน  ยอดคัมภีร์ฟ้า อยู่ที่ตัวตน”  เฉียนเกาซันไม่เข้าใจข้อความดังกล่าว  จึงไม่ได้สนใจสักเท่าใด  ที่โต๊ะน้ำชาจัดวางจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง  เป็นจดหมายเก่า  แสดงว่าผู้เขียนน่าจะเขียนไว้นานแล้ว  เขาจึงเปิดจดหมายดังกล่าว ใจความว่า

 

                “ผู้ใดได้เปิดจดหมายฉบับนี้อ่าน  แสดงว่ามีบุญวาสนากับเรา  ตัวเรามีฉายาปิศาจงมงาย  เคยโลดแล่นท่องอยู่ในยุทธจักรหลายสิบปี  จนในที่สุดได้ค้นพบถึงสัจธรรมที่ว่า  “คนไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น  แค่อยู่อย่างพอเพียงก็เกิดความสุขมากมาย”  เราจึงได้ค้นหาที่สงบ อยู่ตามลำพัง  คิดค้นเคล็ดวิชาพิสดาร  จนก่อกำเนิดสำเร็จเป็นวิชาปางเก้านทีขั้นสุดยอด  แต่สำเร็จวิชาก็เพียงนั้น  เพราะตัวเราก็ชรามากแล้ว  ไม่ควรที่จะลงจากเขากลับเข้าสู่ยุทธภพอีก  ดังนั้นจึงหวังผู้มีวาสนามารับช่วงเคล็ดวิชานี้ต่อจากเรา  ส่วนร่างกายของเราที่อยู่บนแท่นศิลากลางห้องนั้นไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปที่ใด  หากเจ้าสนใจในเคล็ดปางเก้านทีแล้ว  ก็จงโขกศีรษะกับร่างไร้วิญญาณของเราสามครา  แล้วเอาเคล็ดวิชาไปฝึกให้สำเร็จ  แม้นเจ้านำวิชาของเราไปใช้ในทางที่ดีก็จะเกิดกุศลกับตัวเอง  แต่หากแม้นเจ้าเอาวิชาของเราไปก่อกรรมทำชั่ว  ขอให้เจ้าได้รับผลกรรมนั้นคืนสนองทันตาเห็น  

                                                                                                                ปิศาจงมงาย  เตียวเยี่ย ”

 

                เฉียนเกาซันวางจดหมายลง  จากนั้นเดินไปที่แท่นศิลา  คุกเข่าโคกศีรษะกับพื้นสามครั้งครา 

                “ท่านผู้เฒ่า  ข้าพเจ้าเฉียนเกาซันขอสาบาน  หากแม้นข้าพเจ้าก่อกรรมทำชั่ว  โดยไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี  ขอให้ผีสางเทวดาลงโทษข้าพเจ้าให้ตายภายในสามวันเจ็ดวันด้วยเถอะ  เฉียนเกาซันผู้นี้ขอปวารณาตัวเป็นศิษย์รุ่นที่หนึ่งของปิศาจงมงาย  และขอสัญญาว่าข้าพเจ้าจะใช้วิชาปางเก้านทีกระทำแต่ความดี  ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ขจรขจายต่อไปไม่สิ้นสุด”  กล่าวจบเขาก็โขกศีรษะอีกสามคราเป็นการสิ้นสุด

 

                เฉียนเกาซันเดินไปที่ชั้นหนังสือหยิบคัมภีร์ปางเก้านทีใส่ปกเสื้อ  จากนั้นเหลือบไปเห็นหน้ากากไม้อันหนึ่ง  หน้ากากสลักเสลาเลียนแบบหน้าสิงโต  คาดว่าหน้ากากนี้ปิศาจงมงายเคยใช้ออกท่องยุทธภพมาก่อน  เขาจึงหยิบหน้ากากมาด้วย  จากนั้นเขาได้เดินไปที่ซอกว่างๆซอกหนึ่ง  วางหอกทลายฟ้าลง  ที่เขาทำเช่นนี้เพราะว่า  เขาหวังจะเก็บหอกทลายฟ้าไว้ที่นี่  จากนั้นค่อยลงเขาไป  เพราะหากเขาพกหอกทลายฟ้าติดตัวไปด้วย  จะทำให้ผู้คนคาดเดาศักดิ์ศรีของเขาออกได้ เขาไม่กลัวว่าจะมีใครจำเขาได้  เพราะเขาในตอนนี้ต่างกับเฉียนเกาซันคนก่อนเป็นคนละคน  นอกจากหนวดเคราที่รุงรังแล้ว  เขายังจะใส่หน้ากากปิศาจงมงายกลับเขาสู่ยุทธภพอีกครั้ง 

 

                เฉียนเกาซันก้าวเดินช้าๆออกจากถ้ำนิทรา  เขาทิ้งความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายในถ้ำแห่งนี้  เขาคาดหวังว่าเขาจะต้องทำลายแผนการของเจี่ยฮ่องเฮาและฉู่อ๋อง  และนำความสงบสุขกลับมาสู่ราชวงศ์ซีจิ้นให้ได้อีกครั้งหนึ่ง  เขายังไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร  แต่เขาต้องทำ  ทำอะไรสักอย่างที่มันจะช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น  เขาหลับตาลงช้าๆ  หันหลังให้กับปากถ้ำ 

                “ท่านผู้เฒ่า  ศิษย์ขอจากลาในลักษณะนี้  และต่อไปนี้จะไม่มีผู้ใดมารบกวนการนิทราของท่านผู้เฒ่าอีก  ข้าพเจ้าขอสัญญา”  กล่าวจบเฉียนเกาซันหันหน้ากลับไปเผชิญกับปากถ้ำฟาดฝ่ามือทั้งสองออกหลายครั้งครา  เสียงระเบิดดังตูมตาม  ปากถ้ำนิทราเริ่มปิดลงเพราะหินถล่มลงมาจากพลังลมปราณของเฉียนเกาซัน   จากนั้นเขาเริ่มออกเดินอีกครั้ง  เมื่อเขาเดินลับไปกับความมืดยามรัตติกาล  ปากทางเข้าของถ้ำนิทราก็ปิดสนิทพอดี  ปิศาจงมงาย  หอกทลายฟ้า  และความทรงจำดีๆ  ถูกปิดผนึกฝังไว้ที่นั่น  แต่อีกไม่นาน ที่แห่งนี้จะต้องเปิดรับเฉียนเกาซันอีกครั้ง......แน่นอน

...........................................................................................................

 

                ง่อก๊ก เคยเป็นหนึ่งในก๊กใหญ่ในยุคสามก๊ก  แรกเริ่มนั้นปกครองโดยซุนกวน [1]   มี จิวยี่[2] เป็นมหาอุปราช  ต่อมาเมื่อถึงยุคของซุนโฮซึ่งเป็นหลานของซุนกวนนั้น  เมืองเจี้ยนคัง [3]มีความเจริญที่สุด  หนึ่งนั้นเป็นเมืองที่ติดทะเลฝั่งตะวันออกด้วย  จึงถือว่าเป็นเมืองท่าที่มีความอุดมสมบูรณ์พร้อม  เนื่องจากเมืองเจี้ยนคังมีความสมบูรณ์พร้อมดังนั้นจึงได้เกิดสำนักยุทธ์มากมายผุดขึ้นในเมืองเจี้ยนคัง  แต่ที่โดดเด่นจนถึงสมัยราชวงศ์ซีจิ้นนั้น  กลับเหลือเพียงสำนักฝึกยุทธ์ เทียนฟง   ซึ่งก่อตั้งโดย กำหยวน  ซึ่งเป็นหลานของแม่ทัพกำเหลงผู้เคยเป็นแม่ทัพเอกในสมัยของพระเจ้าซุนกวน  

 

แต่หลังจากสิ้นยุคสามก๊กแล้ว  เนื่องจากง่อก๊กโดนโค่นล้มโดยสุมาเอี๋ยน  สำนักยุทธ์เทียนฟง จึงต้องลดบทบาททางการเมืองลง  ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการให้ถูกเพ่งเล็งจากทางการ  ดังนั้นเมื่อหมดยุคของกำหยวน  ลูกของเขา กำหลี่คัง จึงขึ้นมายืนเป็นเจ้าสำนักแทนที่  การก้าวขึ้นมายืนตำแหน่งประมุขของหลี่คังนั้น  นอกจากจะทำให้สำนักยุทธ์เทียงฟงกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งแล้ว  เขายังปรับเปลี่ยนชื่อสำนักใหม่  กลายเป็นนิกายฟ้าคราม  เพราะหลี่คังได้คิดค้นวิชาขึ้นมาใหม่  วิชานี้เขาได้รับแรงบันดาลใจจากนิกายนอกรีตแห่งหนึ่ง  ทำให้เขามีนิสัยกลับกลายจากดีกลายเป็นมาร  ดังนั้นจึงเปลี่ยนจากสำนักกลายเป็นนิกาย  ทำให้กลายเป็นนิการมารที่โดดเด่นอย่างมากยุคราชวงศ์ซีจิ้น

 

เมืองเจี้ยนคังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยหุบเขา ในหุบเขาต่างๆนั้นมีแมกไม้นานาพันธ์ขึ้นมากมาย  เพราะอากาศในเมืองเจี้ยนคังเหมาะกับพืชพันธ์ต่างๆ  ในหุบเขาที่มีธรรมชาติอันสวยงามนั้น  เวลานี้ชุมนุมไว้ด้วยผู้คนสองกลุ่ม  กลุ่มแรกเป็นทหารของซีจิ้น  มีกำลังคนประมาณห้าสิบคน  ผู้นำกลุ่มเป็นชายหนุ่มฉกรรจ์สวมใส่เกราะอ่อนสีเขียว  อายุประมาณยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี  ใบหน้ารูปเหลี่ยมคิ้วหนา  ตาโต  สันจมูกโด่ง  ผมถูกรวบเกล้าขึ้นเป็นมวยย้อยตกไปด้านหลัง  ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย  แต่ในเวลานี้บนใบหน้านั้นเลอะไปด้วยรอยเลือดมากมาย

 

อีกฝ่ายหนึ่งนำโดยชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบห้าปี  ไว้หนวดเครา ตาโตดังราชสีห์  หน้าตาดุร้าย  ศีรษะล้านเลี่ยน  ใช้อาวุธค้อนคู่เข้าปะทะหักหาญกับศัตรู  แต่งกายชุดสีดำ  ที่ต้นแขนขวาคาดไว้ด้วยผ้าแดงแถบใหญ่  ผู้คนกลุ่มนี้มีประมาณ สองร้อยคน  แต่ละผู้คนมีท่าทางเหมือนโจรป่า  ทั้งหมดได้ทำการล้อมกักนักรบกลุ่มแรกไว้ตรงกลาง

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า  ในที่สุดข้าก็มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งสักที  ต้องขอขอบใจเจ้ามากๆเจ้าหนุ่ม  สวรรค์มีทางเจ้าไม่เดิน  นรกไร้หนทางเจ้ากลับเดินลงมา”  ชายวัยกลางคนผู้นำกลุ่มโจรป่านั้นกล่าวเสียงดัง  เหล่าโจรป่าพากันโห่ฮา  เสียงดัง

 

ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มทหารของซีจิ้นนั้น  มิได้มีท่าทีสะทกสะท้านแตกอย่างใด  กลับส่งประกายตาเรืองรองเพ่งมองไปยังชายวัยกลางคนนั้น  กล่าวว่า

“อูจี้  เจ้าอย่าหวังว่าจะทำได้ตามใจปรารถนา  ตัวข้าพเจ้า ฟานปู้เทียน  แม้ว่าจะต้องตายก็ไม่ขอตายด้วยน้ำมือเจ้า  อย่าว่าแต่ว่า  กำลังของนิกายฟ้าครามเพียงเท่านี้  ต่อให้ยกกันมาทั้งนิกาย  เราก็หากลัวเกรงเจ้าไม่” 

 

“ปู้เทียน หนอ ปู้เทียน  ตัวเจ้าถือว่าเป็นศิษย์เอกของไต้ซือฉินกง  จึงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา  ครานี้กลับยกกำลังพลมาแค่หนึ่งร้อยนาย  หวังว่าจะมาทำการปราบนิกายฟ้าคราม  เจ้าคิดง่ายเกินไปหรือเปล่า”  อูจี้คำรามเสียงดัง

 

ฟานปู้เทียนหันมองเหล่าทหารที่มาร่วมรบกับเขาซึ่งตอนนี้เหลือเพียงห้าสิบนายนั้น  เห็นว่าแต่ละคนหามีท่าทีพรั่งพรึงไม่  จึงค่อยได้คลายใจลง  ก่อนที่เขาจะรับอาสามาปราบนิกายฟ้าให้กับทางการนั้น  เขาได้ขออนุญาตในการคัดตัวนักรบเหล่านี้ด้วยตัวเอง  ดังนั้นผู้ที่ได้รับคัดเลือกเดินทางมากับเขานั้นจึงถือว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งทั้งสิ้น  ส่วนตัวเขาเองนั้น  เนื่องจากเขาเป็นศิษย์เอกของไต้ซือฉินกง  ผู้ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งตงง้วน  ทางการจึงได้ส่งสาร์นไปทางนิกายขอตัวฟานปู้เทียนมาเป็นแม่ทัพเอกให้กับทางการ  ซึ่งไต้ซือฉินกงก็ให้โอกาสฟานปู้เทียนได้เข้ามารับราชการในครั้งนั้นด้วย  แม้นว่าฟานปู้เทียนจะยังอายุเยาว์  แต่เนื่องจากเขาเป็นยอดฝีมือที่ได้รับการประทานโอกาสจากไต้ซือฉินกง  ดังนั้นเขาจึงเป็นที่ยอมรับนับถือในกองทัพด้วย

 

“เหล่าพี่น้อง วันนี้หากแม้นเราจะตาย  ก็ขอตายอย่างลือลั่น  ไม่ขอยอมแพ้รับการประหัตประหารจากศัตรูเด็ดขาด”  ฟานปู้เทียนกล่าวกระตุ้นเหล่านักรบของตน  จากนั้นวิ่งตะบึงนำเหล่านักรบเข้าตะลุมบอนกับคนของนิกายฟ้าคราม  เสียงสู้รบกลับมาอื้ออึงขึ้นมาอีกครั้ง  โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่า ได้ถูกเฝ้าจับตามองจากชายผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลไปไม่มาก  เขาเฝ้าดูคนทั้งสองกลุ่มนี้อยู่นาน  เขากำลังตัดสินใจว่าจะช่วยเหล่าทหารซีจิ้นดีหรือไม่ ใจหนึ่งเขาเกลียดชังเหล่าทหารซีจิ้นที่พรากคนที่เขารักไปมากมาย  อีกใจหนึ่งเขาก็ต้องการช่วยเหลือตามหลักมโนธรรมที่มีในจิตใจ  เขาควรจะทำอย่างไรดี......

 

การสู้รบดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด  เหล่าทหารแม้นว่าจะมีกำลังคนน้อยกว่า  แต่หากวัดด้วยพลังฝีมือแล้ว  หนึ่งคนสามารถสู้เหล่านักรบนิกายฟ้าครามได้สามถึงสี่คน  แต่กระนั้น  คนของเหล่านิการฟ้าครามก็หาใช่มีฝีมืออ่อนด้อยกว่าสักเท่าใดไม่  ในที่สุด  การต่อสู้เริ่มจะปรากฎผลแพ้ชนะแล้ว   เหล่าทหารจากห้าสิบนาย  ตอนนี้เหลือไม่ถึงสิบนาย ในขณะที่เหล่านักรบนิกายฟ้าครามนั้นยังคงเหลืออยู่เกือบร้อยนาย  เหล่าทหารที่เหลือต่างเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด  ที่พอจะมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ก็เห็นจะเป็นฟานปู้เทียนเพียงคนเดียวเท่านั้น  การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด.....

 

เกาซัน  เจ้ารออะไรอยู่  .....

หรือเจ้าจะปล่อยให้ผู้คนที่กำลังกระทำความดีล้มล้างนิกายอสูรตายไปต่อหน้าต่อตางั้นรึ?.....

แว่วเสียงปิศาจงมงายดังแว่วเข้ามาในจิตใจของเขา  

ในที่สุด  เขาได้คิดแล้ว  เขาต้องลงมือช่วยเหลือผู้คน  แต่...มันจะสายเกินไปหรือเปล่า

 

ชายผู้แอบดูเหตุการณ์ห่างๆ  เริ่มที่จะเคลื่อนไหวเข้าสู่วงต่อสู้เบื้องหน้า  เมื่อเขาเริ่มเคลื่อนไหว  การต่อสู้ก็เริ่มใกล้สิ้นสุดลงทุกที  เขาเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วดุจดาวตก  เขาเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติ  วิถีลมปราณต่อเนื่องไปกับกระแสลมในธรรมชาติ  เร็ว  และรวดเร็วยิ่งขึ้น

 

การประจัญบานกำลังจะสิ้นสุดลงตอนนี้เหลือเพียงฟานปู้เทียนเพียงคนเดียวแล้ว  แต่เขาไม่คิดหนี  เขาเห็นเหล่าเพื่อนพ้องตายไปต่อหน้าต่อตา  ดังนั้นไม่อาจที่จะหักใจฝ่าวงล้อมหนีไปได้  เขาตกลงใจที่จะต่อสู้จนตัวตาย  ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น  ค้อนคู่ของอูจี้ก็ฟาดฟันลงมายังศีรษะของตน  เขาฟืนใจยกดาบใหญ่ในมือต้านทานรับเอาไว้  เมื่อค้อนคู่ปะทะกับดาบใหญ่  พลังลมปราณในร่างกายของฟานปู้เทียนก็ติดขัดขึ้น  ทำให้เขาต้องกระอักโลหิตออกมา  ขณะเดียวกันอูจี้ก็ต้องลอบตื่นตระหนก  เพราะไม่คิดว่าฟานปู้เทียนจะสามารถรับท่าค้อนของเขาได้  ทำให้เขาคิดได้ว่าจะอย่างไร  มังกรย่อมไม่สอนลูกตนเองให้เป็นงูดิน  ดังนั้นจึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องฆ่าฟานปู้เทียนให้ได้เป็นทวีคูณ 

 

หลังจากการปะทะ  ฟานปู้เทียนถอยกรูดไปด้านหลังสองสามก้าว คมดาบมากมายต่างรุมทิ่มแทงเขาอย่างรวดเร็ว  เขาไม่มีโอกาสพักผ่อนหอบหายใจ  ฝืนใจใช้ดาบกวัดแกว่งต้านทานเอาไว้  เขารู้สึกว่า  นี่คงเป็นว่าระสุดท้ายของเขาเป็นแน่แท้ เมื่อเขาเห็นอูจี้ควงขวานใหญ่เข้าจู่โจมเขาอีกครา  เขาไม่เหลือพลังลมปราณใดๆจะต้านทาน  ไม่ซิ  เขาไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะจับดาบอีกต่อไป  สิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้คือพลังสมาธิ  สมาธิก่อนที่จะดับวูบลงเมื่อค้อนคู่นั้นจู่โจมลงมา  เขากัดฟันเพ่งตามองค้อนคู่ที่จู่โจมมาจะถึงร่างกายเขา  นี่คือวินาทีชีวิตสุดท้ายของเขา......

 

ในขณะนั้นเอง ชายประหลาดผู้หนึ่งสวมหน้ากากสิงโตทำจากไม้  สวมใส่ชุดรัดกุมสีแดงด้านใน  ส่วนด้านนอกคลุมทับด้วยชุดยาวสีขาวเหินระลิ่วมาจากเบื้องบน  สองเท้าเหยียบจู่โจมใส่ศีรษะของอูจี้อย่างไร้วี่แวว  แว่วเสียงร่ำร้องตะโกนด่าทอ  บางเสียงต่างร้องตะโกนบอกผู้เป็นผู้นำของตน  แต่อูจี้หาได้ยินเสียงเหล่านั้นไม่  จิตใจเขาจดจ่ออยู่กับการประหารฟานปู้เทียนเพียงอย่างเดียว  จนในที่สุด  เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินคือ  ตุ๊บ....กร๊อบ.....กึก...กึก..  นั่นคือเสียงเท้ากระทบกับศีรษะ  พลังลมปราณของชายผู้สวมหน้ากากถ่ายทอดจากปลายเท้าเข้าสู่สมองของอูจี้  ไม่ทันที่อูจี้จะได้ประหารฆ่าฟานปู้เทียน  เลือดในร่างกายของเขาก็ทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด  ร่างที่กำลังจู่โจมล้มลงดุจหุ่นกระบอกที่สายเชือกบังคับได้ขาดลง  เหล่านักรบนิกายฟ้าครามต่างตื่นตะลึงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การกระทำเช่นนี้รวดเร็วเกินไป  ฝีมือที่น่าตื่นตระหนกนี้จะเป็นที่มาของตำนานบทใหม่  แต่เสียดาย  สมาธิของฟานปู้เทียนได้หลุดลอยไปแต่แรกแล้ว  ความรู้สึกสุดท้ายที่เขามีคือภาพที่ชายประหลาดสวมหน้ากากสิงโตเหินร่อนลงมาจากฟากฟ้า..... หลังจากลงมือปลิดชีพอูจี้แล้ว  เฉียนเกาซันก็คว้าตัวฟานปู้เทียนเหินระลิ่วจากไปอย่างรวดเร็ว  สุดที่เหล่านักรบนิกายฟ้าครามจะตามได้ทันท่วงที.........

...............................................................................................

 

                “ท่านแม่ทัพ  ท่านแม่ทัพ  ....”   เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นที่โสตประสาทของฟานปู้เทียน  ทำให้เขาพยายามเปิดเปลือกตาขึ้น เพื่อมองหาเสียงร่ำเรียกนั้นๆ

 

                ภาพที่ฟานปู้เทียนเห็นในตอนนี้คือ  เหล่านายกองใต้สังกัดแม่ทัพเมืองเจี้ยนคังมองมายังตัวเขาด้วยสายตาห่วงใย  ตัวเขาเองก็นอนอยู่บนเตียงในห้องรับรองแห่งหนึ่ง  ฟานปู้เทียนเห็นดังนั้นจึงพยายามฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง  จากนั้นเร่งเร้าพลังลมปราณในร่างกายเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบดูสภาพร่างกายของตนเองว่าได้รับบาดเจ็บเพียงใด  ปรากฏว่าบาดแผลที่ได้รับนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อพลังลมปราณในร่างกายสักเท่าใด  เพียงแต่เป็นการบอบช้ำจากภายนอกเท่านั้น

 

                “เป็นใครพาข้าพเจ้ามาที่นี่รึ?”  ฟานปู้เทียนกล่าวถามเหล่านายกองด้วยน้ำเสียงมึนงง

 

                “ตอนที่พวกเรามาพบท่านแม่ทัพ  ก็เห็นท่านสลบไม่ได้สติอยู่ที่หน้าจวนท่านเจ้าเมืองแล้ว  ไม่ทราบเป็นผู้ใดพาท่านมาเช่นกัน”  นายกองนายหนึ่งตอบคำถาม

 

                ขณะที่ทั้งหมดกำลังเฝ้ามองดูอาการของฟานปู้เทียนอย่างห่วงใยนั้น เสียงประตูเปิดก็ดังขึ้น  ชายผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามา  เขาแต่งกายในชุดลำลอง  สวมชุดสีน้ำเงิน  ที่ข้างเอวสะพายไว้ด้วยกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง  ชายผู้นี้อายุประมาณห้าสิบปี  ไว้หนวดเหนือริมฝีปาก  ตาเล็กยาวรี  ทำให้รู้สึกว่าเป็นบุคคลใจคับแคบ  เห็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก 

 

                “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปให้แก่เรา”  ชายผู้นั้นกล่าวเสียงกังวาน

 

                ฟานปู้เทียนขยับตัวหมายจะลุกขึ้น  แต่ไม่สามารถกระทำได้  นั่นเป็นลักษณะภายนอกที่แสดงออก  แต่แท้จริงแล้ว  ฟานปู้เทียนในตอนนี้สามารถฟื้นเรี่ยวแรงคืนมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว  แต่ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะว่าเขายังไม่ไว้วางใจต่อชายผู้เดินเข้ามาผู้นี้

                “ขอประทานอภัยท่านเจ้าเมือง  ข้าพเจ้าเกรงว่าไม่สามารถลุกขึ้นทำความเคารพได้”  ฟานปู้เทียนกล่าวเสียงสั่นเครือ

 

                “มิได้  มิได้  ท่านแม่ทัพอุตส่าห์เดินทางไกลมาจากเมืองหลวง  เพื่อปลดทุกข์ให้แก่ราษฎร  เราควนอิงมีแต่คำขอบคุณ”  ชายผู้เป็นเจ้าเมืองเจี้ยนคังกล่าว

 

                “ไม่ทราบว่าทหารที่มากับข้าพเจ้ามีผู้ใดเหลือรอดชีวิตหรือไม่  ฟานปู้เทียนกล่าวถามด้วยความหวังรำไร

 

                ควนอิงเผยอยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับประกายตาที่อำมหิต  แต่นั่นเป็นการแสดงออกเพียงชั่ววูบเท่านั้น  แต่การแสดงออกเหล่านี้ก็ไม่สามารถหลบพ้นการสังเกตของฟานปู้เทียนเช่นกัน  ควงอิงตอบว่า

                “น่าเสียดายนัก  ทหารที่เดินทางร่วมกับท่านแม่ทัพฟาน  ต่างไม่มีผู้ใดรอดชีวิตได้แม้สักคนเดียว” 

 

                ฟานปู้เทียนรู้สึกว่าควนอิงผู้นี้ต้องมีลับลมคมในเกี่ยวกับนิกายฟ้าครามเป็นแน่แท้  จึงแสร้งกล่าวอย่างท้อแท้ว่า

                “เป็นเช่นนั้นรึ” 

 

                “เห็นท่านแม่ทัพฟานได้รับบาดเจ็บเช่นนี้  เราคงไม่รบกวนท่าน  ขอให้ท่านพักผ่อนให้หายไวๆ  จะได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไว  หากท่านอยากได้สิ่งใด ก็เคาะระฆังเรียกบ่าวรับใช้ได้ทันที เราขอตัวไปทำธุระก่อน ”  ควนอิงกล่าวจบก็เดินออกจากห้องไปในทันที

 

                หลังจากควนอิงออกไปได้ไม่นาน  ฟานปู้เทียนพานลุกจากเตียง  จากนั้นคว้าดาบของตนที่วางไว้ที่โต๊ะเตี๊ยข้างหัวเตียง  ทะลวงร่างออกทางหน้าต่าง  ในตอนนี้แม้นว่าร่างกายของเขาจะได้รับบาดเจ็บ  แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลภายนอก  ส่วนพลังภายในนั้นหลังจากได้หลับไหลไปช่วงเวลาหนึ่ง  ก็สามารถฟื้นกลับมาได้ แม้นว่าจะฟื้นพลังลมปราณได้ไม่ถึงครึ่งก็ตาม 

 ดังนั้นเขาตกลงใจที่จะสะกดรอยตามควนอิงผู้นี้ดูว่าจะได้เรื่องราวอย่างไรบ้าง

 

                หลังจากทะลวงหน้าต่างออกมาแล้ว เขาสังเกตว่านี่เป็นเพลาพลบค่ำแล้ว  ค่ำคืนนี้เป็นคืนเดือนแรม  สายจันทร์บนท้องฟ้าเปล่งประกายเพียงน้อยนิด  นอกจากนั้นบางส่วนยังโดนบดบังด้วยก้อนเมฆขนาดใหญ่อีก  ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้เหมาะกับการลอบติดตามยิ่ง   เขากระโดดข้ามกำแพงที่สูงสองวาออกจากจวนผู้ว่า  จากนั้นวกอ้อมไปทางด้านหน้า  พอดีกับที่ควนอิงกำลังขึ้นเกี้ยวพอดี  ฟานปู้เทียนเห็นดังนั้นจึงค่อยๆสะกดรอยตามไปห่างๆ

 

                ขณะที่กำลังสะกดรอยควนอิงนั้น  ฟานปู้เทียนก็มีโอกาสได้ชื่นชมกับสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านเมืองเจี้ยนคัง  เพราะเกี้ยวนั้นค่อยๆเคลื่อนที่อย่างช้า  ชาวเมืองเจี้ยนคังส่วนใหญ่นิยมค้าขาย  แม้นว่าจะเป็นช่วงเวลาพลบค่ำ  แต่ก็ยังมีชาวบ้านหลายคนจุดโคมไฟใหญ่ตั้งแผงขายของกันมากมาย  ที่เขาชื่นชอบมากที่สุด  เห็นจะเป็นร้านขายสุรา  ที่เถ้าแก่ร้านออกมาเชิญชวนเรียกบรรดาคนสัญจรผ่านไปมาเข้ามาซื้อสุราของตนด้วยตัวเอง  หากแม้นว่าไม่ได้ติดภาระกิจสะกดรอยตามควนอิง  เขาคงจะแวะซื้อติดมือกับที่พักสักสองสามไห 

               

                ไม่นานนักเกี้ยวก็เลี้ยวเข้าตรอกซอยขนาดเล็ก  ตรอกแห่งนี้มีผู้คนสัญจรไปมาน้อยยิ่งกว่าน้อย  ทำให้ฟานปู้เทียนรู้สึกว่าที่เขาสะกดรอยตามคราวนี้ต้องไม่สูญเปล่าเป็นแน่แท้  ไม่นานนักเกี้ยวก็จอดลงที่บ้านเล็กๆหลังหนึ่ง  ควนอิงก้าวลงจากเกี้ยวเดินเข้าบ้านไปเพียงลำพัง  ฟานปู้เทียนเห็นดังนั้นจึงตกลงใจจะลอบแอบฟังการสนทนาของควนอิงกับบุคคลที่อยู่ภายในบ้านหลังนั้น 

 

                สภาพของบ้านหลังนี้เป็นบ้านดินเหนียวชั้นเดียว  มีบริเวณบ้านเป็นของตัวเอง  แม้ว่าจะมีบริเวณรอบบ้านไม่เยอะมาก  แต่ก็ปลูกไว้ด้วยไม้ยืนต้นสองถึงสามต้นด้วยกัน  สภาพรอบบ้านนั้นช่างดูรกและสกปรกยิ่งนัก  เหมือนกับว่าโดยปกติแล้วบ้านหลังนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่มาเป็นเวลานาน      นอกจากนั้นบ้านหลังนี้ยังมีระยะห่างจากบ้านหลังอื่นๆหลายร้อยวา  ดังนั้นจึงไม่เป็นที่สะดุดตาบ้านเรือนหลังอื่นนัก

 

                ขณะที่ฟานปู้เทียนตัดสินใจจะกระโดดขึ้นหลังคาบ้านนั้น  ปรากฏพลังความร้อนสายหนึ่งคุกคามเขาจนต้องหันหาผู้ที่แผ่พลังความร้อนมาใส่เขา  แต่ก็หาได้มีวี่แววของผู้คนไม่

 

                “พักผ่อนอยู่ในจวนดีๆ เจ้าไม่ชอบงั้นหรือ  เหตุอันใดต้องหาเรื่องวุ่นวายใส่ตนเอง”  เสียงหนึ่งถ่ายทอดมาตามลมเข้าหูของฟานปู้เทียน

 

                ขณะที่ฟานปู้เทียนไม่ทราบจะหลบหนีหรือพูดตอบโต้ดี  ฝ่ามือคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า  ถ่ายเทพลังความร้อนออกมาอย่างเต็มที่  ฟานปู้เทียนไม่ทราบจะทำอย่างไร  เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป  แต่ยอดฝีมือจะอย่างไรเป็นยอดฝีมือ  ฟานปู้เทียนเอี้ยวตัวหลบท่าฝ่ามือนี้  แน่นอนว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถหลบพ้นได้  ฟานปู้เทียนจึงใช้ส่วนของหัวไหล่ขวาปะทะกับฝ่ามือข้างหนึ่ง  โดยเขารวบรวมพลังลมปราณทั่วร่างไปอยู่ที่หัวไหล่  ใช้พลังปราณทั้งหมดที่มีปะทะต้านกับท่าฝ่ามือนี้ 

                เสียง ทึบ!!!  ดังสนั่น  ฟานปู้เทียนกระเด็นตามท่าฝ่ามือนี้ไปเกือบสองวา เขากระอักโลหิตอีกหนึ่งคำก่อนที่จะล้มลง ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าผู้ลงมือเป็นใคร  ผู้มาเป็นชายวัยกลางคน  ชายผู้นี้อายุประมาณสามสิบปี  แต่งกายเช่นบัณฑิตคงแก่เรียน ไว้หนวดเครางามยาวจากคางถึงหน้าอก  คนรูปร่างสูงโปร่ง ดูแล้วทำให้เกิดความรู้สึกแผ่ซ่านจับใจ  เขาเดินเข้าใกล้ฟานปู้เทียนที่ล้มลงอยู่ที่พื้น

 

                “ฟานปู้เทียน  วันนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดต่อไปเลย  เรื่องมากหลายเจ้าไม่จัดการ  กลับมายุ่งเรื่องราวของนิกายฟ้าครามเรา  ฮ่า ฮ่า ฮ่า  วันนี้ข้าหลี่คังขอเป็นผู้มอบความตายให้กับเจ้าเองก็แล้วกัน”  ชายผู้นั้นกล่าวเสียงดัง

 

                ฟานปู้เทียนตื่นตระหนกยิ่ง  เขาเคยนึกอยากพบเจอชายผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเหลนของขุนพลกำเหลงแห่งง่อก๊กสักครั้งเพื่อจะประลองฝีมือ  แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุด  ชายผู้อยู่เบื้องหน้าคือกำหลี่คัง ผู้ก่อตั้งนิกายฟ้าครามผู้เป็นเหลนของกำเหลงยอดขุนพล  กำหลี่คังฝีมือสูงส่งกว่าที่เขาประเมินไว้มากนัก  ฝีมือเช่นนี้ต่อให้เชิญไต้ซือฉินกงมาด้วยตัวเองก็ยากที่จะปราบหลี่คังลงได้   ทุกย่างก้าวของหลี่คังเปรียบเสมือนเสียงย่ำจังหวะเต้นของหัวใจของตนเอง  ยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเท่าไหร่  เวลาของการมีชีวิตของเขาก็น้อยลงเท่านั้น

 

                ขณะที่หลี่คังห่างจากฟานปู้เทียนเพียงสามก้าวนั้น  พลังลมสายหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นรอบด้านของทั้งสองคน  หลี่คังหาได้ตื่นตกใจไม่  สายตากวาดมองรอบด้าน  ฟานปู้เทียนก็กวาดสายตามองหาผู้ที่แผ่พลังลมนี้เช่นกัน  ชายผู้หนึ่งสวมหน้ากากสิงโตกลับยืนอยู่ด้านหลังของฟานปู้เทียน  หลี่คังเห็นดังนั้นจึงตบฟาดพลังฝ่ามือใส่ชายผู้มาโดยไม่ออมรั้งยั้งแรงเอาไว้  ท่าฝ่ามือนี้ยังรุนแรงกว่าท่าฝ่ามือที่ใช้กับฟานปู้เทียนอีก   ผู้มาคือเฉียนเกาซันเอง  เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา  ฉุดลากฟานปู้เทียนหลบรอดจากท่าฝ่ามืออันรุนแรงของหลี่คัง  เพราะตัวเฉียนเกาซันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะรับท่าฝ่ามือนี้โดยไม่บาดเจ็บได้อย่างไร  ทั้งสองลอยระลิ่วถอยหลังจากหายไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว  ปล่อยให้หลี่คังยืนเหม่อมองอย่างอาฆาตแค้น  หลี่คังหาได้คาดคิดไม่ว่าผู้ที่มาคือคนที่ตนเคยตามล่ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่เฉียนเกาซันหลบหนี  แต่ครั้งนั้นหลี่คังก็ไม่สามารถตามหาตัวเฉียนเกาซันพบ  ส่วนเฉียนเกาซันเองก็ไม่ทราบว่า เจ้านิกายฟ้าครามผู้นี้เป็นคนลงมือฆ่าเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านเองกับมือ  กล่าวถึงที่สุด  ทั้งคู่ต่างเคยพบเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่ง  .....และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรมที่ในรอบหลายสิบปีจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง

...............................................................................

 

แสงไฟสว่างจ้าตัดกับความมืดยามรัตติกาล  ในหุบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่  เหมาะที่จะเป็นที่หลบซ่อนตัวยามมืดมิดยิ่งนัก  ยามนี้บุรุษสองคนที่ไม่มีความสัมพันธ์อันใดมาก่อน  กลับต้องมานั่งหลบซ่อนศัตรูคนเดียวกัน  ทั้งสองไม่ได้ปริปากคุยกันแม้นสักครึ่งคำ  นั่นเป็นเหตุการณ์ตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อน

 

“ไม่ทราบท่านผู้เฒ่ามีชื่อเสียงเรียงนามอะไร  ข้าพเจ้าจะได้จดจำชื่อเอาไว้”  ฟานปู้เทียนกล่าวถามขึ้น

 

“ท่านว่าเราเป็นคนแก่มีอายุมากขนาดนั้นเลยรึ  เรากับเจ้าอายุคงไม่แตกต่างกันเท่าใด  เราเป็นคนไม่มีชื่อแต่หลายคนเรียกเราเป็นปิศาจงมงาย”  เฉียนเกาซันแอบหัวเราะเล็กน้อย

 

“ปิศาจงมงาย  ช่างเป็นฉายาที่แปลกยิ่งนัก ไม่ทราบที่ท่านช่วยเหลือข้าพเจ้าเพื่ออะไร”   ฟานปู้เทียนกล่าวถามอย่างงุนงง  เพราะนับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ยุทธจักร  เขาก็ไม่เคยได้ยินฉายาปิศาจงมงายเลยแม้สักครั้งเดียว

 

“ความดีทำพันครั้งไม่เสียหาย  ช่วยเจ้าไว้จะเป็นอย่างไร  ว่าแต่เจ้าเถอะ  เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”  เฉียนเกาซันตกลงใจสอบถามความคิดของฟานปู้เทียน

 

ฟานปู้เทียนเห็นว่าจะอย่างไรคนผู้นี้ก็ได้ช่วยเหลือตนครั้งหนึ่ง  แถมท่าทางไม่น่าจะเป็นคนร้าย  ประกอบกับฟานปู้เทียนเป็นคนจิตใจดีงาม  จึงกล่าวอย่างเปิดเผยว่า

“ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรดี  ตอนที่ข้าพเจ้ารับบัญชาจากฮ่องเต้  ก็มั่นใจว่าจะจัดการกับนิกายฟ้าครามได้  แต่ไม่คาดคิดว่าหลี่คังผู้เป็นเจ้านิกายจะร้ายกาจเยี่ยงนี้   ข้าพเจ้าคิดว่า  ก่อนอื่นคงต้องหาทางเข้าพบกับฉางซาอ๋อง[4] เรื่องอื่นค่อยปรึกษากันทีหลัง”

 

“หากท่านเข้าพบกับฉางซาอ๋องในตอนนี้  ก็เปรียบเสมือนกับเอาเนื้อยื่นเข้าปากเสือแล้ว”  เฉียนเกาซันกล่าวราบเรียบ

 

“ท่านหมายความว่าอย่างไร  ฉางซาอ๋องมีปัญหางั้นหรือ?”  ฟานปู้เทียนกล่าวถามอย่างงุนงง

 

เฉียนเกาซันมองหน้าฟานปู้เทียน  จากนั้นกล่าวถามเพิ่มเติมว่า

“ปู้เทียน  ท่านเป็นแม่ทัพเอกสังกัดผู้ใด  ใครเป็นนายของท่าน  แล้วผู้ใดส่งท่านมาทำภารกิจนี้

 

ฟานปู้เทียนนิ่งคิดสักครู่  จึงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเป็นทหารเอกที่ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้สุมาจง  และเป็นฮ่องเต้เองที่มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าเข้าวังมาเป็นนายทหารองครักษ์ประจำพระองค์”

 

“แล้วใครเป็นคนผลักดันท่านมารับภารกิจชิ้นนี้”  เฉียนเกาซันถามต่อ

 

ใบหน้าของฟานปู้เทียนตอนนี้ แปรเปลี่ยนเป็นปั้นยากถึงที่สุด  เขาเริ่มคิดได้แล้วว่า  ใครเป็นคนวางแผนส่งเขามาที่นี่  แล้วเหตุอันใดนิกายฟ้าครามจึงลงมือต่อเขาได้ก่อนที่เขาจะปฏิบัติการ  นั่นแสดงว่ามีคนบงการบอกการมาของเขาต่อนิการฟ้าครามล่วงหน้า  คนที่ส่งตัวเขามาทำภารกิจนี้  ก็เพื่อที่จะกำจัดเขาออกไปนั่นเอง

“เป็นเจี่ยฮองเฮา”  ฟานปู้เทียนกล่าวเสียงแข็ง

 

“นั่นก็ใช่แล้ว  เพราะทั้งนี้  นางต้องการให้ท่านไม่สามารถอยู่ข้างกายฮ่องเต้ได้  ทางที่ดี  ให้ท่านถูกกำจัดไปในภารกิจที่ได้รับมอบหมายยิ่งดี  จากขอนี้แสดงให้เห็นว่าการที่ไต้ซือฉินกงให้ท่านมาทำหน้าที่แม่ทัพนี้  อาจเป็นเพราะว่าท่านคงจะทราบระแคะระคายอันใดเกี่ยวกับตัวนางมารนี้  จึงได้ส่งท่านเข้าไปในวัง  หวังว่าท่านจะสามารถรับมือกับนางได้ ”  เฉียนเกาซันกล่าวอย่างลึกซึ้ง

 

ฟานปู้เทียนกัดฟันดังกรอด  กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าต้องกลับไปฆ่านางกับมือให้ได้”

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า  อย่าว่าแต่ท่านมีโอกาสเข้าใกล้ตัวนางหรือไม่เลย  หากมีโอกาสได้ประมือกัน  ไม่แน่ว่าท่านอาจจะแพ้นางภายในไม่กี่กระบวนท่าก็เป็นได้”  เฉียนเกาซันหัวเราะเสียงดัง

 

“ท่านเคยประมือกับนางหรือ  ในความเห็นข้าพเจ้า  นางเป็นเพียงแค่หญิงธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธ์”  ฟานปู้เทียนกล่าวอย่างสงสัย

 

“แน่นอน  ข้าพเจ้าเคยประมือกับนางมาครั้งหนึ่ง  และเป็นข้าพเจ้าที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูป  จนแทบเสียชีวิตไป”  เฉียนเกาซันกล่าวอย่างปลอดโปร่ง

 

ฟานปู้เทียนทั้งแปลกใจทั้งตื่นตระหนก ประการแรกนั้น  ชายผู้นี้จัดว่าเป็นยอดฝีมือ  แม้นว่าตนจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม  ก็เชื่อว่าอย่างมากได้แต่ตั้งรับ  ไม่สามารถที่จะรุกจู่โจมใส่ชายผู้นี้ได้  แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้กับเจี่ยฮองเฮา  ช่างเป็นเรื่องน่าตระหนกนัก  ประการที่สอง  ชายคนนี้หากพ่ายแพ้แก่เจี่ยฮองเฮาจนแทบเสียชีวิตไป ยังสามารถกล่าวได้อย่างปลอดโปร่งเช่นนี้นับว่าน่าแปลกใจยิ่งนัก

 

“แล้วเช่นนี้  ข้าพเจ้าควรทำอย่างไร  ในเมื่อข้าพเจ้าไม่สามารถไปหาฉางซาอ๋อง  จะกลับไปเข้าเฝ้าภารกิจก็ยังไม่เสร็จสิ้น”  ฟานปู้เทียนกล่าวอย่างหดหู่

 

“ท่านตัวคนเดียวสามารถโค่นล้มนิกายฟ้าครามได้งั้นรึ  ทางด้านนี้ข้าพเจ้าจะดูแลจัดการให้  ส่วนท่านรีบเดินทางกลับไปแจ้งเรื่องราวให้กับไต้ซือฉินกงทราบ  จากนั้นก็กลับเข้าวังหลวงรายงานสถานการณ์ตามจริง  เชื่อว่านางคงไม่สามารถทำอย่างไรกับท่านได้”  เฉียนเกาซันแนะนำ

 

ฟานปู้เทียนขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ๆ  จากนั้นมองหน้าเฉียนเกาซัน  แล้วถามว่า

“ท่านทำเช่นนี้  มีจุดประสงค์อันใด  แล้วท่านจะได้ประโยชน์อันใด”

 

“จุดประสงค์ของข้าพเจ้ามีอย่างเดียว  นั่นคือ  กำจัดเจี่ยฮองเฮาและฉู่อ๋อง  พิทักษ์แผ่นดินให้สงบสุข”  เฉียนเกาซัน กล่าวอย่างมุ่งมั่น  จากนั้น  เขาหันหลังออกจากกองไฟ  เดินหายไปกับความมืด

 

“แล้วท่านชื่อว่าอะไร….”  ฟานปู้เทียนตะโกนถามไล่หลัง  แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด

 

ฟานปู้เทียนขบคิด  ตนเองคงต้องศึกษาวรยุทธเพิ่มเติมกว่านี้  เพราะหากคำที่ปิศาจงมงายกล่าวเป็นจริง  เขาคงไม่สามารถปกป้องฮ่องเต้ได้   คิดได้ดังนั้นฟานปู้เทียนเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณให้กลับมาดังเดิม  ทั้งนี้เพื่อไว้เป็นทุนในการเดินทางกลับไปยังวัดพุทธกายมุนี แห่งนิกายเซนต่อไป

....................................................................................



[1] ซุนกวนเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ในยุคสามก๊กได้รับดินแดนปกครองจากพี่ชายคือซุนเซ็ก  ทั้งสองคนเป็นบุตรของซุนเกี๋ยน   และถือว่าง่อก๊กเป็นก๊กสุดท้ายที่ถูกล้มล้างลง

[2] จิวยี่  มหาอุปราชของง่อก๊ก  ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง  และเป็นคู่ต่อสู้ที่สำคัญของขงเบ้ง  แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตเพราะเจ็บใจที่ไม่สามารถเอาชนะขงเบ้งได้

[3] ปัจจุบันคือเมืองนานกิงในประเทศจีน

[4] ฉางซาอ๋อง(สุมายี่)  ขณะนั้นดำรงตำหน่งทัพฝ่ายขวา  มีอำนาจทางการทหารไม่น้อยถือว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในขณะนั้น


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที