ก้าวไกล

ผู้เขียน : ก้าวไกล

อัพเดท: 28 ม.ค. 2007 18.15 น. บทความนี้มีผู้ชม: 9135 ครั้ง

นวนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึง การห้ำหั่นทางการเมืองของเหล่าขุนนางและเหล่าจอมยุทธ์ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมะ โดยเป็นเหตุการณ์หลังจากยุคสามก๊ก ที่ถูกรวบรวมโดยสุมาเอี๋ยน ก่อตั้งราชวงศ์ซีจิ้นขึ้น และคำกล่าวเล่าว่า ผู้ใดได้ครอบครองอาวุธทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งสามแล้วจะสามารถครองแผ่นดินได้....


หักเขี้ยวพยัคฆ์

              บทที่ 1 หักเขี้ยวพยัคฆ์

 

เฉียนเกาซัน -  ชายหนุ่มรูปงามที่มีความสง่างามเป็นที่เลื่องลือ  พร้อมกันนั้นยังถือว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านวิชาบู๊  แต่โชคชะตามักกลั่นแกล้งผู้คน  ทำให้เฉียนเกาซันพบกับปัญหามากมาย


ค่ำคืนที่มืดมิดปราศจากแสงดาวที่สกาวสุกสดใส แต่ท้องฟ้าเบื้องบนกลับเจือจางด้วยสีแดงอ่อนๆ  เสียงเหล่าทวิชาติจตุบาทต่างร่ำร้องกันระงม  ส่งให้กลิ่นอายในค่ำคืนนี้ช่างดูวังเวงและน่ากลัวยิ่งนัก  จันทรายามนี้โดนเมฆกลุ่มใหญ่บดบังอยู่ ทำให้ปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง  แต่กระนั้นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ยังคงหมอบซุ่มตัวอยู่หลังโขดหินก้อนใหญ่เพื่อรออะไรสักอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา

 

                กลุ่มคนสิบสองคนทุกผู้คนต่างถือหอกเป็นอาวุธ  สวมเครื่องแบบนักบู๊ในชุดสีดำ คอยคุ้มกันคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่กลางวงล้อม  คนผู้นี้เป็นบุรุษหนุ่มอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี  หน้าตาหล่อเหลาผิวขาวนวลเนียนดังอิสตรี  รูปกายสูงโปร่ง  ร่างกายกำยำสมส่วน ถือว่าเป็นผู้ชายที่มีรูปกายเป็นที่หมายปองแก่สตรีทั่วไปอย่างแท้จริง

 

                นักรบผู้หนึ่งหันกลับมากล่าวกับชายหนุ่มที่อยู่กลางวงล้อมว่า

                “นายน้อย  ข้าพเจ้าว่าพวกเราควรที่จะรีบไปได้แล้ว  หากแม้นล่าช้ากว่านี้จะไม่ทันการ”

 

                ชายหนุ่มไม่ตอบคำแต่กลับก้มหน้าลงมองอาวุธหอกในมืออยู่ชั่วครู่  ทุกสายตาของเหล่านักบู๊ที่คุ้มครองอยู่ก็กวาดตามองมายังหอกด้ามนี้เช่นกัน  หอกด้ามนี้ยาวหกศอก  บนตัวหอกสลักเป็นลวดลายดั่งเกล็ดมังกรทั่วทั้งด้าม  ที่ปลายหอกติดด้วยพู่สีแดง  ที่หัวหอกเป็นเหล็กกล้าที่มีแง่งเล็กๆอยู่หลายจุด  ถือว่าเป็นหอกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ นอกจากนี้ตัวหอกยังแฝงกลิ่นอายลี้ลับบางอย่างออกมา เป็นเหตุให้ทุกผู้คนให้ความสนใจกับหอกด้ามนี้

 

                “เฉียนลู่  ข้าพเจ้าต้องการกลับไปช่วยท่านพ่อ”  ชายหนุ่มกล่าวเสียงหนักแน่น

 

                “ไม่ได้นะขอรับนายน้อย  หากกลับไปตอนนี้อาจจะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”  นักรบผู้นั้นกล่าว

 

                ชายหนุ่มกัดฟันเสียงดังกล่าวด้วยความเคียดแค้นว่า 

                “ฉู่อ๋อง  ท่านอำมหิตเกินไปแล้ว  ข้าพเจ้าขอสาบานบัญชีเลือดนี้พรรคเฉียนหนานต้องขอเอาคืนแน่นอน”

 

                “นายน้อยจะอย่างไรเราก็ต้องรีบออกเดินทางแล้วนะขอรับ”  นักรบเฉียนลู่กระตุ้นเตือนอีกครั้ง

 

                “เฉียนลู่  ท่านนำเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านรุดหน้าเบิกทางไปก่อนสามลี้  หากมีเหตุอันใดให้ส่งสัญญาณกลับมา  พวกเราจะได้ไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที”  ชายหนุ่มกล่าวอย่างรอบคอบ

               

                เฉียนลู่แสยะยิ้มเล็กน้อย  จากนั้นสลายรอยยิ้มรับคำแล้วจากไป

 

                ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าเฉียนเกาซัน  เป็นบุตรชายคนเล็กของหัวหน้าพรรคเฉียนหนาน  นามเฉียนกุ้ยหนาน  ฉายาหอกทลายฟ้า  เฉียนเกาซันเป็นคนมีนิสัยเจ้าชู้กรุ้งกริ่ง  ชมชอบคลุกคลีอยู่กับอิสตรี  ไม่นิยมทำสงคราม  เรื่องราวภายในพรรคก็ไม่สนใจดูแล  ปล่อยให้บิดาและพี่ชายเป็นคนจัดการเรื่องราวทั้งหมด  ผู้คนในพรรคต่างไม่นิยมชมชอบในตัวเฉียนเกาซันนัก  แต่เฉียนเกาซันกลับเป็นอัจฉริยะในเชิงบู๊ ได้รับสืบทอดยอดวิชาจากบิดา และแตกฉานในด้านอักษรเป็นอย่างดี 

 

                ส่วนพรรคเฉียนหนาน  เป็นพรรคที่อยู่ในความดูแลของท่านหรู่หนานอ๋อง*  ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดอ๋องที่เรืองอำนาจอยู่ในยุคราชวงศ์ซีจิ้น  ปีค.ศ. 299  เจี่ยฮองเฮา ได้รวบอำนาจการบริหารทั้งหมดของฮ่องเต้สุมาจง** มาไว้ในมือ  จากนั้นก็วางแผนกำจัดอ๋องต่างๆออกไป  โดยเริ่มจับมือกับฉู่อ๋องโค่นล้มอำนาจของหรู่หนานอ๋องก่อนเป็นรายแรก  เพราะหรู่หนานอ๋องเป็นพระอาของฮ่องเต้และเป็นผู้ที่มีบุคคลรักใคร่เป็นจำนวนมาก  เมื่อหรู่หนานอ๋องโดนโค่นลงแล้ว  ฉู่อ๋องด้วยกลัวว่าจะโดนตอบโต้จากพรรคเฉียนหนานจึงลงมือกวาดล้างพรรคเฉียนหนานอย่างราบคาบ โดยการส่งหน่วยทหารอาชาขาว  ซึ่งนำโดยแม่ทัพเตียวจิน  เข้าทำการกวาดล้าง  พรรคเฉียนหนานก็ต้านทานอย่างสุดกำลัง  สุดท้ายไม่สามารถต้านทานไว้ได้  เฉียนกุ้ยหนานเห็นดังนั้นจึงออกคำสั่งแก่สิบสององครักษ์เหล็กให้คุ้มครองเฉียนเกาซันจากไป  พร้อมกับมอบอาวุธคู่กายคือหอกทลายฟ้าให้ลูกชายไปด้วย 

 

                เฉียนเกาซันเหม่อลอยไปยังเบื้องหน้า  หวนนึกถึงตนเองไม่เอาใจใส่พรรคเฉียนหนาน  ปล่อยเวลาไปกับการเที่ยวเล่นกับสตรี  ทิ้งให้บิดาและพี่ชายคอยบริหารพรรคถ่ายเดียว  รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง  นอกจากนั้นยังนึกถึงชะตากรรมของคนในครอบครัว  คาดว่าคงไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากการกวาดล้างครั้งนี้เป็นแน่แท้

 

                “นายน้อย  เฉียนลู่ส่งสัญญาณว่าปลอดภัยแล้วขอรับ”   องครักษ์เหล็กผู้หนึ่งส่งเสียงเตือน ทำให้เฉียนเกาซันตื่นจากภวังค์ 

 

                เฉียนเกาซันมองดูที่ห่างไกลออกไปจากนั้นนำหน้าองครักษ์ที่เหลือเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว  ทั้งหมดเคลื่อนที่รวดเร็วดุจผีพุ่งใต้ นักรบขบวนนี้ถือว่าเป็นมือดีที่สุดในพรรคเฉียนหนาน  ตัวของเฉียนเกาซันเองก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งเช่นกัน

 

                ขณะที่ทั้งหมดห่างจากเฉียนลู่เพียงสามสิบวา  นักรบผู้หนึ่งพลันกระซิบบอกเฉียนเกาซันว่า

                “นายน้อย  ข้าพเจ้าคิดว่าเฉียนลู่อาจจะมีปัญหาขอรับ”

 

                เฉียนเกาซันยังไม่ทันตอบคำ  พลันได้ยินเสียงร้องของเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านดังมาจากที่หมาย  เฉียนเกาซันหาได้ดูตกใจไม่  พลันหันมากล่าวกับนักรบผู้นั้นอย่างเยือกเย็นว่า

                “เฉียนหมิง  ท่านพากำลังทั้งหมดอ้อมเขาลูกนี้ไปรอข้าที่วัดพุทธกายมุนี  หากแม้นข้าพเจ้าไปช้ากว่าหนึ่งก้านธูป  พวกท่านก็ไม่ต้องรอข้าพเจ้า เมื่อเหตุการณ์สงบลงให้ออกจากวัดไปหาอาชีพอื่นทำกินต่อไปเถอะ”

 

                “แต่ว่านายน้อย  หากท่านไปคนเดียวเกรงว่า...”  เฉียนหมิงกล่าวออกมาอย่างใจจริง  เพราะทั้งนี้มันไม่มั่นใจต่อฝีมือของนายน้อยผู้นี้จริงๆ

 

                “ท่านไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าหรอกเฉียนหมิง  ท่านรับปากข้าพเจ้า  ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนพร่ำฝึกยุทธ์ต่อไปอย่าได้ย่อท้อ  สักวันข้าพเจ้าจะกลับมาพาพวกท่านล้างแค้นให้แก่พรรคเฉียนหนานให้จงได้”  เฉียนเกาซันกล่าวจบไม่รอฟังคำตอบ  ก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยท่าร่างที่รวดเร็วจนองครักษ์ทั้งหมดได้แต่เบิกตามอง  นอกจากนั้นการแสดงท่าร่างเช่นนี้กลับทำให้องครักษ์ทั้งหมดต้องประเมินฝีมือของนายน้อยผู้นี้เสียใหม่

 

                ฝ่ายเฉียนหมิงก็ออกคำสั่งต่อพวกพ้องตีวงล้อมออกไปจากเส้นทางเดิมอย่างรวดเร็ว  ในขณะนั้นเองเฉียนเกาซันก็อยู่ห่างจากเฉียนลู่ไม่ถึงสิบวาแล้ว

 

                ในใจเฉียนเกาซันกลับครุ่นคิดเหตุอันใดเฉียนลู่จึงกล้าที่จะหักหลังเพื่อนพ้อง  ทั้งนี้เพราะเฉียนลู่เปรียบเสมือนแขนขวาของเฉียนกุ้ยหนานผู้เป็นบิดาของตน  หากแม้นมีคนสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมเฉียนลู่ได้  บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างสูง  หรืออีกประการหนึ่งเฉียนลู่อาจจะมีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องทำเช่นนี้  ในที่สุดเฉียนเกาซันก็มาถึงจุดหมายแล้ว 

 

                ภาพเบื้องหน้าที่เห็นถึงกับทำให้เฉียนเกาซันถึงกับสมองพองโต  เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติง  แต่เฉียนลู่กลับยืนอย่างตระหง่านมองหน้าของเฉียนเกาซันอย่างดูถูก 

 

                “เหตุอันใดนายน้อยท่านกลับมาเพียงคนเดียว  พี่น้องคนอื่นๆไปที่ใดแล้ว”  เฉียนลู่กล่าวอย่างเหยียดหยาม  แสดงว่ามันกำลังดูถูกฝีมือของนายน้อยผู้นี้

 

                เฉียนเกาซันยิ้มเล็กน้อยจากนั้นกล่าวกับเฉียนลู่ว่า

                “พวกเราไม่เคยมีพี่น้องเยี่ยงเจ้า  หากวันนี้ข้าพเจ้าไม่สามารถล้างแค้นแทนเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านได้  ต่อไปนี้ไม่ขอใช้ชื่อว่าเฉียนเกาซันอีก.....  พวกท่านที่หลบอยู่ด้านข้างไม่ทราบว่ามีชื่อเสียงเรียงนามอย่างไร  เหตุใดไม่กล้าออกมาพบหน้าผู้คนรึ”

 

                ผู้คนสองคนทยอยเดินออกมาจากความมืด  เป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี  บุรุษนั้นอยู่ในวัยสี่สิบปีเศษหลังงองุ้ม  ตาข้างขวาเสียไป  หนวดเครารุงรัง  ร่างกายบึกบึนไม่สูงใหญ่  ใช้ขวานคู่เป็นอาวุธ  ส่วนสตรีผมยาวสยายถึงกลางหลังสวมใส่ชุดดังเช่นสตรีในวัง  มีผ้าแพรสีแดงคล้องคออยู่  รูปร่างสูงโปร่งเมื่อมองแล้วช่างเย้ายวนจิตใจยิ่ง  ดูไปอายุประมาณยี่สิบปี  แต่เฉียนเกาซันทราบว่าสตรีนางนี้อย่างน้อยต้องมีอายุสามสิบถึงสามสิบห้าปี  แต่ได้ฝึกฝีมือในแนวทางพิเศษจึงได้ดูอ่อนเยาว์ กว่าความเป็นจริงเช่นนี้

 

                “น้องเราช่างมีสายตาคมกล้านัก  ตัวเราฉายาขวานบินคู่พิฆาต  ส่วนน้องหญิงคนนี้มีฉายาว่านางงามแพรพิษ   น้องเราคิดว่าราตรีนี้จะสามารถมีชีวิตรอดจากเงื้อมมือของเราหรือไม่”  บุรุษหนุ่มผู้นั้นกล่าวอย่างนอบน้อม

 

                “ที่แท้เป็นท่านแม่ทัพหลิวจิ้น  ฉายาขวานบินคู่พิฆาต  กับ พระสนมเจียวจี  ฉายานางงามแพรพิษนี่เอง  พวกท่านมิใช่ทำงานให้กับเจี่ยฮองเฮาหรอกหรือ  เหตุอันใดคืนนี้จึงได้มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของฉู่อ่องได้เล่า”  เขาถามทั้งสองด้วยความสงสัย

 

                เฉียนลู่อดรนทนไม่ไหวปากกระชากเสียงถามว่า

                “เฉียนเกาซัน  ท่านใช่ถามมากความไปหรือไม่  จะอย่างไรชีวิตท่านก็ไม่ยืนยาวแล้ว”

 

                เฉียนเกาซันหันหน้ามามองเฉียนลู่ด้วยอำมหิต 

                “ต่อให้มีบุรุษสตรีคู่นี้  เฉียนลู่ท่านก็อย่าหวังว่าคืนนี้จะมีชีวิตรอดไปได้”

 

                บุรุษสตรีคู่นั้นรู้สึกเสียหน้า พลันลงมือในทันที  หลิวจิ้นใช้ขวานคู่ออกมาก่อน  พุ่งเข้าใส่เฉียนเกาซันด้วยความเร็วดุจดาวตก  ขวานทั้งคู่ฟาดฟันจากด้านข้างซ้ายขวา  หากแม้นเฉียนเกาซันไม่ถอยหลังไปคงต้องจบชีวิตใต้คมขวานคู่นี้แน่นอน  นอกจากนั้นยังปรากฏผ้าแพรสีแดงพุ่งทะยานมาจากด้านล่างมุ่งใส่ข้อเท้าของเฉียนเกาซันไว้  เพื่อที่จะปิดทางหลบหนีของเขาไม่ได้ถอยหลังไปได้

 

                เฉียนเกาซันเห็นเช่นนั้นกลับรวบรวมสมาธิ  พุ่งตัวไปด้านหน้าเสมือนว่าเสนอตัวเข้าหาคมขวานทั้งคู่  หลิวจิ้นเห็นเช่นนั้นพลันยิ้มออกมาทราบว่าขวานคู่ของตนต้องปลิดชีพบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้แน่นอน  ทันใดนั้นเฉียนเกาซันกลับหายไปต่อหน้าต่อตาของหลิวจิ้น  หลิวจิ้นตื่นตระหนกอย่างที่สุด  ที่เบื้องบนกลับปรากฏหอกทิ่มแทงลงมาอย่างรวดเร็ว  เวลานั้นหลิวจิ้นคิดว่าตนเองคงจบสิ้นแล้วเป็นแน่แท้  พลันปรากฏผ้าแพรพุ่งไปกระแทกหอกของเฉียนเกาซันออกห่างไป  เมื่อหอกกับผ้าแพรปะทะกันเกิดเสียงปงดังสนั่นหวั่นไหว

 

                พระสนมเจียวจี  ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก  เพราะทั้งนี้ตนเองมีเปรียบที่เป็นฝ่ายตั้งรับ  แถมตนเองมีการฝึกปรือมากกว่าฝ่ายตรงข้ามหลายปี  มีความมั่นใจว่าการปะทะครั้งนี้ย่อมทำให้ฝ่ายตรงข้ามรับบาดเจ็บแน่นอน  แต่เฉียนเกาซันกลับเพียงโดนกระแทกลอยห่างออกไปเท่านั้น

 

                เฉียนเกาซันเมื่อโดนกระแทกออกมา  เลือดลมปั่นปวน  รู้สึกคับข้องใจยิ่งนัก  เพราะทั้งนี้มันเองก็มั่นใจว่าท่าโจมตีเมื่อครู่ต้องปลิดชีพหลิวจิ้นได้เป็นแน่แท้  มิคาดพระสนมเจียวจีกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือ  เป็นเหตุให้ตนเองไม่สามารถปลิดชีพหลิวจิ้นได้  แถมยังโดนกระแทกได้รับบาดเจ็บอีกด้วย  จากการประมือครั้งนี้เห็นได้ว่าพระสนมเจียวจีเป็นยอดฝีมือที่ซุกงำพลังฝีมือเอาไว้  เพียงไม่ทราบว่าเป็นคนของค่ายพรรคสำนักใด

 

                ขณะที่เฉียนเกาซันกำลังสะกดเลือดลมที่พลุ่งพล่านนั้น  เฉียนลู่พลันใช้หอกออกดุจสายฟ้า  พุ่งตัวออกโถมแทงใส่เฉียนเกาซันอย่างรวดเร็ว  เฉียนเกาซันฝืนใจยกหอกขึ้นหมายปัดป้องท่าจู่โจมของเฉียนลู่  แต่เรี่ยวแรงยังไม่ฟื้นคืน  ทันใดนั้นเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านพลันพุ่งมาจากท่านอนไล่ตามหลังของเฉียนลู่ในทันที   หลิวจิ้นกับพระสนมเจียวจีตื่นตกใจสุดระงับ  ไม่คาดคิดว่าคนตายสองคนจะฟื้นคืนชีพได้  ยามนั้นไม่ทันลงมือช่วยเหลือเฉียนลู่แต่อย่างใด 

 

                เฉียนลู่รู้สึกถึงการถูกคุกคามหันหลังกลับไปหมายตั้งรับ  แต่ไม่ทันที่จะได้กระทำการใดหอกก็พุ่งเสียบทะลุหน้าอกของเฉียนลู่ขาดใจตายไป  หอกนี้เป็นหอกที่พุ่งออกมาจากมือของเฉียนเกาซันเอง  ท่าหอกพอทะลุร่างของเฉียนลู่  เฉียนลู่ก็ถูกตรึงอยู่กับที่  พลังลมปราณที่แฝงมากับหอกแผ่กระจายทั่วร่าง ทำให้เลือดภายในร่างกายทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด  ใบหน้าเฉียนลู่บิดเบี้ยวขาดใจตายในทันที  เฉียนเต๋อและเฉียนฟ่านคิดไม่ถึงว่านายน้อยผู้นี้จะมีฝีมือร้ายกาจถึงขั้นนี้  เมื่อนั้นเฉียนเกาซันก็เดินไปถอนหอกออกจากร่างไร้วิญญาณของเฉียนลู่แล้ว

 

                ทั้งสองฝ่ายยืนประจัญหน้ากันหลิวจิ้นยังคงซึมเซาจากการที่พ่ายแพ้แก่เฉียนเกาซัน  ส่วนพระสนมเจียวจีกลับแย้มยิ้มให้กับบุรุษหนุ่มที่มีหอกในมือทั้งสามคน

 

                “รอบนี้ถือว่าพวกท่านชนะก็ได้  แต่เรายังรับรองว่าพวกท่านไม่มีชีวิตรอดถึงเวลาเช้าของวันพรุ่งนี้เป็นแน่แท้”  พระสนมเจียวจีกล่าวอย่างแย้มยิ้ม

 

                “อาศัยกำลังเพียงท่านสองคนคงไม่มีทางทำได้แน่นอน”  เฉียนเต๋อกล่าวอย่างมั่นใจ

               

                “แน่นอนแค่กำลังของเราสองคนคงทำไม่ได้  แต่ถ้าเป็นกำลังของทหารอาชาขาวสักหนึ่งร้อยนายเล่า”  พระสนมเจียวจีกล่าวพร้อมกับยกมือเป็นสัญญาณขึ้น

 

                เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านมองหน้ากัน สีหน้าปรากฏแววตื่นตระหนกสุดระงับ  รอบข้างปรากฎทหารอาชาขาวขี่ม้าขาว  ถือคบเพลิง  รายล้อมรอบปิดทางหนีของทั้งสามคนเอาไว้  แต่เฉียนเกาซันกลับสีหน้าเยือกเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด  มันไม่ได้พูดอะไร  แต่ในใจกลับคิดว่าคืนนี้ต้องเป็นคืนที่กำหนดชะตาชีวิตข้างหน้าของมันไว้อย่างแน่นอน

               

                “เฉียนเต๋อเฉียนฟ่าน  พวกท่านตามข้าพเจ้ามาอย่าได้คลาดกัน  จำไว้คืนนี้ถ้าจะรอดก็รอดทั้งสามคน  ถ้าจะตายก็ตายด้วยกันทั้งหมด”  เฉียนเกาซันกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

 

                หลังจากบอกนักรบทั้งสองแล้ว เฉียนเกาซันมองหาจุดอ่อนของวงล้อม  ตกลงใจว่าจะมุ่งสู่ทิศเหนือ  เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้ว  เฉียนเกาซันกู่ร้องอย่างยาวนานโผพุ่งไปยังทิศเหนือของวงล้อมโดยมีนักรบทั้งสองตามติดอย่างกระชั้นชิด 

 

                เสียงขวับๆดังขึ้นรอบทิศทาง  ลูกธนูทั้งหนึ่งร้อยดอกถูกยิงออกมามุ่งหน้าเข้าหาคนทั้งสาม  เฉียนเต๋อและเฉียนฟ่านต่างพากันใช้หอกปัดป่ายต้านทานลูกธนูอย่างทุลักทุเล  เฉียนเกาซันใช้ท่าร่างหลบหลีกห่าธนูที่ยิงมาใส่ตนอย่างรวดเร็ว  ระยะทางระหว่างทหารอาชาขาวกับเฉียนเกาซันร่นใกล้เข้ามาทุกขณะ 

 

                เฉียนเกาซันใช้หอกพุ่งแทงออกจนเกิดเป็นม่านมายาหอกฝ่าเข้าไปยังแนวล้อมของทหารอาชาขาว  หอกแฝงพลังลมปราณเปี่ยมล้น  ม้าขาวรับรู้ได้ถึงพลังที่แผ่พุ่งมา  ต่างพากันสะบัดให้ผู้ที่ขี่อยู่นั้นพลัดตกลงมาหลายคน  เฉียนเกาซันเห็นดังนั้นจึงเร่งรุดที่จะฝ่าวงล้อมออกไปมากกว่าเดิม  ทหารอาชาขาวหลายนายใช้ดาบสันใหญ่จู่โจมใส่เฉียนเกาซันอย่างรุนแรง  เฉียนเกาซันกลับใช้หอกควงเป็นจักรผันต้านทานรับดาบใหญ่เหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย  เฉียนเต๋อและเฉียนฟ่านก็ใช้เพลงหอกของพรรคเฉียนหนานปัดป่านทิ่มแทงเหล่าทหารอาชาขาวจนแตกกระเจิง  ไม่มีนักรบอาชาขาวคนใดที่จะต้านทานการบุกขอทั้งสามคนได้

 

                ขณะที่ทั้งสามเข้าใจว่าตนเองสามารถฝ่าวงล้อมของทหารอาชาขาวได้แล้วนั้น  พลันปรากฏพลังความเย็นสายหนึ่งก่อตัวขึ้นรอบบริเวณ  ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวนั้นโดนสูบอากาศออกไปจนหมดสิ้น  ทำให้ต้องหยุดชะงักชั่วคราว  เฉียนเกาซันมีพลังลมปราณที่ลึกล้ำกว่าเฉียนเต๋อและเฉียนฟ่าน  แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดคับข้องใจต่อพลังความเย็นที่แผ่มากดดันพวกเขาเอาไว้จนเขาเองต้องกระอักโลหิตออกมาครึ่งคำ  ส่วนเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านถึงกับคุกเข่าลงกับที่กระอักโลหิตคำแล้วคำเล่าไม่สามารถที่จะยืนขึ้นได้  เพียงแค่พลังลมปราณความเย็นเท่านี้ก็ถึงกับทำให้ทั้งสามคนพ่ายแพ้ยับเยิน  นับว่าเป็นพลังที่แตกตื่นสะท้านโลกมากแล้ว

               

                เหล่าทหารอาชาขาวพากันหยุดการโจมตีสร้างความฉงนงงงวยให้กับเฉียนเกาซันเป็นอย่างมาก  เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา  ก็พบกับสตรีนางหนึ่งที่งามหยดย้อยดั่งนางฟ้าจำแลงแปลงกายมายังโลกมนุษย์  แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็บอกว่านี่เป็นความงามอย่างลี้ลับที่ไม่สามารถบ่งบอกบรรยายออกมาได้  หญิงงามนางนี้สวมใส่ชุดหญิงชาววัง ชุดสีฟ้าสดใส  ผมยาวสลวยไม่ได้เกล้ามวยแต่อย่างใด  ดวงตาที่ดำขลับและกลมใหญ่  ยิ่งเน้นขับใบหน้าของนางให้สวยสง่ายิ่งขึ้น  ผิวพรรณของนางก็ราบเรียบนวลเนียนสุดเปรียบปาน  สายตาที่จ้องมองมายังเฉียนเกาซันกลับแย้มยิ้มอย่างเลือดเย็น 

 

                “เฉียนเกาซัน  ท่านได้รับบาดเจ็บแล้ว”  นางกล่าวกับเฉียนเกาซันอย่างเบาๆ

 

                “แม่นางเป็นใคร  เหตุใดจึงร่วมลงมือกลุ้มรุมพวกเรา”  เฉียนเกาซันพยายามรวบรวมพลังลมปราณให้ฟื้นคืน  จึงกล่าววาจามากมายเพื่อถ่วงเวลาไว้

 

                หญิงงามนางนั้นตอบอย่างยิ้มแย้มว่า 

                “ท่านใช่ถามมากความหรือไม่  แต่ไม่เป็นไร  จะอย่างไรท่านก็ต้องจบชีวิตที่นี่อยู่แล้ว  เราจะบอกให้ก็ได้  เราคือเจี่ยฮองเฮา  ท่านจงจำชื่อเราไว้  ยามลงไปในนรกจะได้บอกกับผีสางได้”

 

                “ที่แท้เป็นท่าน  ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีฝีมือร้ายกาจเยี่ยงนี้  ไม่ทราบว่าท่านเป็นคนของสำนักใด  ฮ่องเต้ล่วงรู้หรือไม่ว่าท่านเป็นยอดฝีมือ”  เฉียนเกาซันเริ่มรวบรวมพลังลมปราณได้  ในขณะที่คำถามเหล่านี้เขาก็ต้องการคำตอบเช่นกัน  

 

                หากว่าเจี่ยฮองเฮาเป็นยอดฝีมือแล้วฮ่องเต้ทรงไม่ทราบความจริง นั่นคงเป็นปัญหาใหญ่มากแล้ว  เพราะแสดงว่าเจี่ยฮองเฮาเมื่อเข้าวังเช่นนี้ย่อมมีความหมายเคลือบแฝง  หากแม้นนางอยู่นอกวัง  ยังคงมีความเป็นอิสระได้ท่องเที่ยวไปในยุทธภพ มิใช่มีความสุขมากกว่าหรอกหรือ  เหตุใดต้องเข้าวังไปเพื่อปรนนิบัติฮ่องเต้ด้วย  เช่นนี้จึงว่ามีความหมายเคลือบแฝง  แล้วใครเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังเจี่ยฮองเฮา  และฉู่อ๋องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจี่ยฮองเฮาอย่างไร  สมองของเฉียนเกาซันมีคำถามไหลเข้ามามากมาย จนเขาเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก

 

                “มีเรื่องมากหลายที่ท่านไม่สมควรรับรู้  และต่อไปก็ไม่ควรรู้  วันนี้เห็นว่าท่านมีรูปโฉมหล่อเหลาเอาการ  เราจะให้ท่านได้ตายอย่างมีซากศพสมบูรณ์เถอะ”  นางกล่าววาจาอย่างเรียบๆ 

 

                “ช้าก่อน”  เฉียนเกาซันแสร้งกล่าวอย่างยากลำบาก  จากนั้นปรายตาบอกใบ้ต่อเฉียนเต๋อและเฉียนฟ่าน

               

                เฉียนเกาซันเกร็งลมปราณทั่วร่างรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ฝ่ามือ  จากนั้นถ่ายทอดพลังลงสู่ด้ามหอก  เรื่องพิศดารพลันอุบัติขึ้น  ตัวหอกจากที่มีลายเกล็ดมังกรบางๆกลับกลายคล้ายเรืองแสง  เจี่ยฮองเฮามองเห็นหอกมีการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดความสงสัยขึ้น  ขณะเดียวกันเฉียนเกาซันก็แทงหอกออกดุจสายฟ้า  ท่าแทงครั้งนี้ถึงกับทำให้เฉียนเกาซันงุนงงกับพลังของตนเอง  นี่เป็นท่าแทงที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดที่มันเคยใช้ออก  ทั้งความเร็ว แง่มุมและพลัง ทุกอย่างหลอมรวมจนเรียกได้ว่าอาจจะเป็นสุดยอดเพลงหอกที่เคยมี  หอกมุ่งเข้าสู่คอหอยของเจี่ยฮองเฮา  เหล่าทหารอาชาขาวเห็นดังนั้นต่างพากันตวาดด่าทอ หมายลงมือต่อคนทั้งสาม

 

                เจี่ยฮองเฮาใช้ฝ่ามือปัดป่ายหอกออกจากวิถี  แต่ความแรงและรวดเร็วของหอกนี้สุดที่นางจะปัดออกไปได้  หอกกับฝ่ามือปะทะกันเจี่ยฮองเฮาเบี่ยงหอกให้พ้นจุดสำคัญได้  แต่หอกก็เฉียดคอนางจนเป็นบาดแผลไป  ส่วนเฉียนเกาซันเองก็ได้รับการตอบโต้จากฝ่ามือของนาง  ฝ่ามือนี้บรรจุพลังความเย็นเต็มเปี่ยม  ฝ่ามือของนางนี้เรียกว่า วิชาฝ่ามือบัวหิมะ  พลังแล่นมาตามตัวหอกจู่โจมใส่เฉียนเกาซันอย่างฉับพลัน  เฉียนเกาซันโดนพลังของนางไล่ทำลายอวัยวะตั้งแต่นิ้วมือ  มือ ข้อมือ แขน ไล่มาตามอวัยวะต่าง  เมื่อพลังฝ่ามือไหลผ่านที่ใด  เฉียนเกาซันจะรู้สึกว่าอวัยวะส่วนนั้นถูกทำลายสูญสิ้น  ดวงตาเฉียนเกาซันแสดงความหวาดกลัวออกมาเป็นครั้งแรก  จากนั้น  เลือดภายในกายเริ่มผลักดันออกมาทางทวารทั้งเจ็ด  นี่เป็นอาการของผู้ที่สูญเสียกำลังภายในและเป็นวาระสุดท้ายของผู้ที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรก

 

                เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านเห็นดังนั้น  ไม่คิดถึงชีวิตตนเอง  รีบเข้ามาหิ้วแขนทั้งสองข้างของเกาซันพุ่งเข้าชนเจี่ยฮองเฮา เพื่อเปิดช่องทางในการหลบหนี  เจี่ยฮองเฮาเห็นดังนั้นกลับเบี่ยงตัวหลบ  เปิดทางให้ทั้งสองคนหอบหิ้วเฉียนเกาซันหลบหนีไป  สายตาของนางที่มองเฉียนเกาซันนั้น  เป็นแววตาที่มองอย่างเวทนา  นางคิดว่าจะอย่างไรนี่เป็นวาระสุดท้ายของเฉียนเกาซันแล้ว  ควรที่จะปล่อยให้นักรบทั้งสองพาเขาไปทำศพอย่างสมเกียรติซักครา  เป็นการให้ความเคารพต่อจอมยุทธ์ผู้ไม่กลัวตายผู้นี้

 

                เหล่าทหารอาชาขาวเตรียมเคลื่อนพลที่จะไล่ติดตามทั้งสามคนไป  เจี่ยฮองเฮากลับกล่าวว่า

                “พวกเจ้าไม่ต้องตามพวกมันไปหรอก  เฉียนเกาซันจบสิ้นแล้ว  งานของพวกเราสิ้นสุดแล้ว  พวกเจ้ากลับไปรายงานต่อฉู่อ๋องเถิด  เราจะกลับไปเฝ้าฮ่องเต้”

 

                “หลิวจิ้น  เจียวจี  พวกเจ้าก็ตามเรากลับวังเถอะ  มีเรื่องอีกมากมายต้องสะสาง”  นางกล่าวกับทั้งสองโดยไม่เหลียวหลังไปมอง  จากนั้นพลิ้วกายจากไปอย่างรวดเร็ว  บุคคลอื่นเมื่อเห็นนางจากไปแล้วจึงเคลื่อนทัพกลับตามเช่นกัน  ไม่นานนักพื้นที่ที่เคยสู้รบกันเมื่อครู่ก็ทิ้งซากศพของเฉียนลู่ไว้เพียงซากเดียว  นี่เป็นจุดจบของผู้ที่คิดทรยศต่อพวกพ้อง  แม้ดินสำหรับคลุมหน้ายามที่ตายจากไปยังหามีไม่

 

                นักรบพรรคเฉียนหนานทั้งสามคนต่างเร่งรุดไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย  เฉียนเกาซันหมดสติไปนานกว่าสองชั่วยามแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นคืนสติกลับมา  อาศัยเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านสองคนต่างช่วยกันพยุงตัวเอาไว้  รอบกายของทั้งสามคนเป็นดงไม้สักขนาดใหญ่  ยามนี้ใกล้สว่างเต็มที  ไม่ไกลออกไปนักมีเสียงน้ำตกกระทบกับสายน้ำเบื้องล่างดังแว่วเข้ามากระทบโสตประสาท  นักรบทั้งสองพยายามไปให้ถึงน้ำตกเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ทำการรักษาอาการบาดเจ็บของนายน้อยผู้นี้  โดยที่ทั้งสองหารู้ไม่ว่าอาการของนายน้อยผู้นี้หมดหนทางที่จะเยียวยารักษาได้ 

 

                ขณะที่ทั้งสองกำลังเข้าใกล้กับน้ำตกเข้าไปทุกขณะนั้น  พลันรู้สึกถึงพลังลมปราณที่แผ่มาคุกคามพวกตนอีกครั้ง  คราครั้งนี้พลังลมปราณที่แผ่ออกมานั้นหาใช่พลังความเย็นไม่  แต่กลับเป็นพลังปราณที่มีความร้อนดุจเปลวเพลิง    ทั้งสองไม่ทราบว่าพลังลมปราณแผ่พุ่งมาจากทิศทางใด  แต่พยายามเคลื่อนที่ให้เร็วยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้รอดพ้นจากยมฑูตที่แผ่พลังลมปราณมาครอบคลุมพวกเขาเอาไว้ 

 

ไม่นานนักทั้งสามคนก็มาถึงธารไหลของน้ำตกแห่งหนึ่ง  เสียงน้ำตกดังกลบเสียงสรรพสิ่งรอบบริเวณ  ยามนี้ใกล้ฟ้าสางเต็มที  ท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจากดำสนิทกลับกลายเป็นสีส้มเรืองรอง  ทำให้ปรากฏเห็นน้ำตกที่กระเซ็นเป็นฟูฝอยอย่างสวยงาม  กระแสน้ำเบื้องล่างพัดวนเล็กน้อยก่อนที่จะไหลต่อไปยังสายธารแม่น้ำที่ไหลเรื่อยต่อไป  แต่นักรบพรรคเฉียนหนานทั้งคู่ไหนเลยมีอารมณ์มาชมดู  ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะวางเฉียนเกาซันลงเพื่อทำการตรวจดูอาการนั้น  พลันได้ยินเสียงแค่นอย่างเย็นชาขึ้นที่เบื้องหลัง  ทั้งคู่ตระหนกตกใจสุดขีด  ผู้มาคือผู้ที่มาพร้อมกับพลังลมปราณที่ร้อนแรงดุจเปลวเพลิงนั่นเอง

 

“เจี่ยฮองเฮาปล่อยพวกเจ้าไป แต่เราหาได้มีความคิดเช่นนั้นไม่”  ชายลึกลับแหงนหน้ามองดูแสงตะวันยามเช้า  กล่าวกับคนทั้งสามอย่างแผ่วเบา

 

                “พวกเจ้าอย่าได้โกรธแค้นเราเลย  ท่านอ๋องสั่งไว้  จะอย่างไรก็ต้องเห็นว่าศัตรูตายกับมือก่อนจึงเลิกรา  ดังนั้นเราจึงต้องตามล่าพวกเจ้าให้หมดสิ้น”  เขายังคงกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

                ชายผู้นี้อายุประมาณสามสิบปี  แต่งกายเช่นบัณฑิตคงแก่เรียน  แต่แววตาแข็งกร้าว  ไว้หนวดเครางามยาวจากคางถึงหน้าอก  คนรูปร่างสูงโปร่ง ดูแล้วทำให้เกิดความรู้สึกแผ่ซ่านจับใจ

 

                เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านหันหน้ามองกัน  จากนั้นช่วยกันโยนนายน้อยผู้นี้ลงแม่น้ำไป  พวกมันหวังว่ากระแสน้ำจะพัดพานายน้อยให้รอดจากห้วงวิกฤติเวลานี้ได้  ทั้งนี้เพราะพวกมันรู้ว่า  หากแม้นไม่ทำเช่นนี้จะอย่างไรทั้งสามก็คงต้องจบชีวิตใต้เงื้อมมือชายผู้นี้แน่นอน  ทั้งสองคิดว่า  หากแม้นเทพยดามีจริงคงได้แต่หวังให้ท่านช่วยคุ้มครองนายน้อยผู้นี้ให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยเถิด

 

                ชายหนุ่มลึกลับมองการกระทำของเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านอย่างเลื่อนลอย  เมื่อร่างของเฉียนเกาซันลอยไปกับน้ำจนลับตาไปแล้วนั้น  ชายผู้นั้นพลันหายวับไปจากจุดที่เขายืนอยู่  เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านถึงกับชมดูจนสมองพองโต  ด้วยระดับสายตาของพวกมันยังไม่สามารถจับตาดูได้ทัน  ขณะที่ทั้งสองกำลังมองหาชายลึกลับอยู่นั้น  ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงลั่นอื้ออึงดังขึ้น  ทั้งสองคนล้มลงเหมือนตุ๊กตาขาดเชือก  ไม่ทราบว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร  เลือดทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด  กระดูกทั่วร่างแหลกละเอียด  ขาดใจตายในบัดดล  ฝีมือเช่นนี้ช่างแตกตื่นสะท้านโลกมากแล้ว  ชายลึกลับเมื่อลงมือสำเร็จก็เร่งรุดไปตามสายน้ำเพื่อตามล่าล้างเฉียนเกาซันต่อไป 


* หรู่หนานอ๋องหรือ สุมาเหลี้ยง  เป็นพระอาของฮ่องเต้สุมาจง  เป็นที่รักใคร่ของปวงประชา  แต่ต่อมาโดนเจี่ยฮองเฮาและฉู่อ๋อง สุมาเหว่ยกล่าวหาว่าเป็นกบฏ  จึงถูกล้อมจับนำตัวมาประหารชีวิต

** ฮ่องเต้สุมาจง  เป็นบุตรชายของ สุมาเอี๋ยน ผู้รวบรวมดินแดนสามก๊กให้กลายเป็นหนึ่งเดียวถือว่าเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซีจิ้น


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที