strategist

ผู้เขียน : strategist

อัพเดท: 08 มิ.ย. 2020 10.38 น. บทความนี้มีผู้ชม: 1167 ครั้ง

มีหลาย ๆ คนที่กำลังเริ่มทำโฆษณาใน Facebook แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าการทำโฆษณา Facebook จะได้ผล หรือเปล่า เพราะคิดว่าถ้าจะให้เห็นผลคือต้องจ่ายเงินสูง โดยเฉพาะตอนนี้ที่โฆษณา Facebook ราคาแพงกว่าแต่ก่อนมาก ด้วยอิทธิผลของสื่อออนไลน์ที่มีเพิ่มขึ้น และมี User ใน Facebook เยอะขึ้น


ทำโฆษณา Facebook ง่ายนิดเดียว!

มีหลาย ๆ คนที่กำลังเริ่มทำโฆษณาใน Facebook แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าการทำโฆษณา Facebook จะได้ผลหรือเปล่า เพราะคิดว่าถ้าจะให้เห็นผลคือต้องจ่ายเงินสูง โดยเฉพาะตอนนี้ที่โฆษณา Facebook ราคาแพงกว่าแต่ก่อนมาก ด้วยอิทธิผลของสื่อออนไลน์ที่มีเพิ่มขึ้น และมี User ใน Facebook เยอะขึ้น วันนี้ Cotactic เลยอยากจะมาแชร์ความรู้และทริคต่าง ๆ ให้สำหรับคนที่มีงบน้อย หรือคนที่ไม่อยากเสียเงินมาก แต่อยากทำโฆษณาใน Facebook ให้ได้ผล เพราะจริง ๆ แล้วการทำโฆษณาบน Facebook ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงเสมอไป มันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความรู้ในสิ่งที่คุณทำหรือเปล่า

ทำโฆษณา Facebook งบเริ่มต้นเท่าไหร่ดีถึงจะได้ผล ?

สำหรับการเริ่มต้นทำโฆษณาบน Facebook ใคร ๆ ก็คิดว่าควรลงงบน้อย ๆ ไว้ก่อน แต่งบเท่าไหร่ที่จะน้อยแต่ได้ผลจริง ๆ ? เพราะว่าถ้าจะแค่ไปกดตั้งงบว่าจะเอาเท่าไหร่ ใคร ๆ ก็ทำได้ ซึ่งงบขั้นต่ำที่ Facebook ต้องการคือ 300 บาท แต่บางคนก็รู้สึกว่าถ้าอยากจะให้โฆษณาของคุณได้ผล 300 บาทอาจยังน้อยเกินไป ทางเราเลยของแนะนำให้เตรียมไว้ประมาณ 3,000 บาทสำหรับคนมีงบ หรือประมาณ 99–100 บาท ต่อวัน เหตุผล ที่ต้องตั้งงบสูงหน่อยก็เพราะว่า Targeting ใน Facebook ส่วนใหญ่ไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ ตอนแรก ๆไม่ว่าคุณจะใส่ targeting (เจาะจงกลุ่มลูกค้า) ดีแค่ไหน คุณก็ยังจะเจอคนที่ไม่ค่อยสนใจสินค้าของคุณอยู่ดี วิธีแก้ปัญหา คือ ต้องเตรียมเงินอย่างน้อย ๆ 1,000 บาท เพื่อที่จะทดลองกลุ่มลูกค้าว่าผลตอบรับออกมาเป็นยังไง ถ้าดีแล้วค่อยใช้อีก 2,000 เพื่อเจาะจงคนกลุ่มที่คุณมั่นใจว่าชอบสินค้าของคุณจริง ๆ


สร้างโฆษณา Facebook ให้ถูกต้อง (Step-by-step)

  1. Custorm Audiences การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเอง โดยคุณสามารถเลือก กลุ่มเป้าหมายที่เคยมีส่วนร่วมกับเพจเว็บไซต์ของคุณ (Custorm Audience) หรือ ผู้ชมที่คล้ายกันเพื่อเข้าถึงผู้คนใหม่ ที่คล้ายกับลูกค้าที่มีอยู่ของคุณ (Lookalike Audience) ตามที่คุณต้องการ
  2. Location การเลือกจังหวัดหรือพื้นที่ที่คุณต้องจะทำแคมเปญโฆษณานี้ ว่าต้องการส่งโฆษณานี้ให้กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ไหน ซึ่งการเลือกหัวข้อนี้ต้องดูเรื่องการทำธุรกิจของคุณด้วย ว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร อยู่ในพื้นที่ไหน หรืออาจจะเลือก ประเทศไทย ไปก่อน แล้วค่อยมาดูทีหลังว่าจังหวัดหรือพื้นที่ไหนให้ผลตอบรับดีที่สุด
  3. Age การกำหนดช่วงอายุของกลุ่มเป้าหมายคุณ คุณอาจปล่อยให้ Facebook รันโฆษณาไปก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาดูว่ากลุ่มไหนได้ผลดีที่สุด และทำการเปลี่ยนในภายหลัง
  4. Gender การกำหนดเพศของกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการส่งโฆษณาไปให้ถึง
  5. Detailed Targeting เป็นการกำหนดว่าอยากให้โฆษณาของคุณไปแสดงกับคนที่มีลักษณะแบบไหน มีความสนใจด้านใดมากเป็นพิเศษ มีพฤติกรรมแบบไหน กำลังอยู่ในช่วงชีวิตแบบใด ซึ่งสิ่งที่คุณเลือกจะต้องสิ่งที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธุรกิจของคุณ เช่น Cotactic เป็นธุรกิจ Digital Marketing Agency แต่ละหัวข้อที่จะเลือกคือ อาชีพนักธุรกิจและการเงิน (Demographics) , ความสนใจด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม (Interests) และกิจกรรมดิจิทัล (Behaviors)

    ** ข้อแนะนำ วิธีลงโฆษณาให้วัดผลง่ายที่สุด คือให้เลือกโฆษณาแค่อย่างละ 1 interest พอ เพราะถ้าคุณใส่หลาย interest เข้าไปในโฆษณาอันเดียวกัน คุณก็จะไม่รู้ว่าอันไหนทำเงินให้คุณ พออยากเพิ่มงบประมาณทีหลังก็จะยาก

  6. Languages การกำหนดภาษา ซึ่งก็แล้วแต่ภาษาที่คุณใช้ หรือหากขายสินค้าต่างประเทศ ก็ให้ระบุเป็นภาษานั้นๆ เลย 

  7. Connections การกำหนดตำแหน่งที่จะเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น Facebook Pages , Apps และ Events ที่คุณตั้งขึ้นใน Facebook 

ซึ่งรูปแบบ Manual Placements มีรายละเอียด ดังนี้

  1. Devices การเลือกให้แสดงโฆษณาผ่านการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ 
  2. Platforms การเลือกให้แสดงโฆษณาผ่านการใช้งานบน Facebook, Instagram, Audience Network และMessenger 
  3. Placements ตำแหน่งที่จะให้แสดงโฆษณาในรูปแบบต่างๆ บน Facebook เช่น Feeds , Stories , In Streams , Search , Messages , in Article และ Apps and Sites

 

  1. Optimization for Ads Delivery การเลือก Post Engagement ตามวัตถุประสงค์ที่เลือกไว้ข้างต้น 
  2. Cost Control การกำหนดให้ Facebook คำนวณงบประมาณตามจำนวนเงินที่คุณใส่ในหัวข้อ Campaign Details ให้อัตโนมัติ 
  3. Schedule การกำหนดวันที่จะให้โฆษณาของคุณ Run บน Facebook โดยแบ่งเป็น 2 แบบ คือ การลงโฆษณาโดยไม่กำหนดวันปิดโฆษณาจนกว่างบที่ตั้งไว้จะหมด (Run my ad set continuously starting today) และการตั้งเวลาแสดงผลและหยุดโฆษณาตามวันที่กำหนดไว้ (Set a start and end date)
  4. Ad Set Spend Limits การกำหนดวงเงินใช้จ่ายสำหรับการโฆษณา ซึ่งคุณสามารถกำหนดได้ว่า จะให้ Ad set นั้นๆ ใช้งบขั้นต่ำเท่าไหร่ (Minimum) หรือ ใช้งบไม่เกินเท่าไหร่ (Maximum) ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการควบคุมงบประมาณให้เป็นแบบที่ต้องการได้มากขึ้น
  5. When You Get Charged การกำหนดว่าจะถูกเก็บเงินแบบ การแสดงผลโฆษณาที่สามารถเลือกได้ในทุกวัตถุประสงค์ของโฆษณา (Impressions) หรือ การเรียกเก็บเงินจากการกระทำให้เกิดผลลัพธ์ของโฆษณา ซึ่งอาจจะอยู่ในชื่อที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของโฆษณาที่เลือก (Actions) เช่น Link Click, Page Like, 10-Second Video View เป็นต้น 

หลังจากนั้นก็กด “ต่อไป (Continue)” ได้เลย แค่นี้ส่วนสำคัญในการสร้างโฆษณา Facebook ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว


7 กฎเหล็กที่ต้องจำ ถ้าอยากลงโฆษณาด้วย “ราคาถูก”

การตั้งเป้าหมายอาจจะฟังดูง่ายๆ แต่เพราะหลายคนคิดว่ามันง่าย เลยพลาดจุดนี้กันไปเยอะ ทางที่ดี คุณต้องชัดเจนกับเป้าหมายของคุณก่อนที่คุณจะทำโฆษณา ว่าคุณต้องการอะไรจากแคมเปญนี้

นอกจากจะต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนแล้ว คุณต้องตั้งให้ถูกด้วย เช่น คุณต้องตั้งเป้าหมายให้เป็น Sales หรือ Leads ไม่ใช่แค่ให้มีคนเห็นหรือไลค์ เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นเลย (Vanity metrics)

การทำโฆษณาถ้าคุณทำมาในรูปแบบเดียว นั่นอาจจะส่งผลให้คุณพลาดโอกาสสำหรับเป้าหมายอื่นได้  เช่น รูปโฆษณาของคุณอาจจะยังไม่ดีพอแต่คุณไม่รู้เพราะว่าไม่ได้ทดลองดู ดังนั้น คุณควรสร้างโฆษณามาหลาย ๆ รูปแบบ เอามาทดสอบตัวแปรกัน โดยแต่ละแคมเปญเป็นเคมเปญที่รูปแบบต่างกัน 2 แคมเปญขึ้นไป ซึ่งผลการทดสอบนั้นจะส่งไปหาผู้รับโดยการสุ่ม และใช้ผลจากการวิเคราะห์ทางสถิติมากำหนดแคมเปญที่ดีทีสุดเพื่อเพิ่มอัตราการเปิดหรือคลิกภายในแคมเปญ (A/B Testing)

จากที่ได้อธิบายวิธีการทำ A/B Testing แล้ว ถ้าคุณอยากจะลองเปลี่ยนแปลงโฆษณาดูว่าอันไหนได้ผลดีหมด ถือเป็นทางเลือกที่ดี เพราะนั่นจะทำให้คุณเข้าใจลูกค้ามากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะทำ A/B Test ทุกๆ อย่าง

Daily budget เป็นการตั้งงบประมาณการลงทุนใน โฆษณา Facebook ทางที่ดีคุณควรตั้ง Daily budget ให้ไม่เกินวันละ 100 บาท 

หลายๆ คนที่ทำใหม่อาจจะยังกังวล และอยากเข้าใจทุกๆ อย่าง ก็เลยเลือกตำแหน่งการจัดวางว่าจะให้โฆษณาของคุณไปโชว์ที่ไหนบ้าง (Ad Placements) มั่วๆ และคิดว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งจริง ๆ แล้วในการทำโฆษณา Facebook ต้องทดลองอย่างเดียวถึงจะรู้ ไม่ควรเดากันเอง

Facebook Remarketing เป็นการทำโฆษณาซ้ำๆ ไปหากลุ่มเป้าหมายที่อาจเคยเข้าเว็บไซต์ของคุณ เคยเห็นโพสต์บางประเภทของคุณ หรือทำอะไรบางอย่าง เช่น กรอกแบบฟอร์มหรือเคยกด Like แฟนเพจของคุณ พูดง่าย ๆ คือ ทางกลุ่มเป้าหมายของคุณได้เห็นโพสต์ของแบรนด์และสินค้าของคุณเป็นครั้งที่ 2-3-4 เพื่อตอกย้ำให้ลูกค้าไม่ลืมคุณ หรือช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้นนั่นเอง ซึ่งการใช้ Faebook Remarketing จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของคุณ โดยเฉพาะเรื่องการยิงโฆษณาที่ไปปรากฎให้คนที่ไม่สนใจสินค้าเราเห็น


คำถามเกี่ยวกับโฆษณา Facebook ที่เจอบ่อย

 

ขึ้นอยู่กับว่าคุณโฆษณาคืออะไร และโฆษณาของคุณตั้งมาดีแค่ไหน ส่วนใหญ่ถ้าอัตราการคลิ๊กผ่าน (ค่าที่บอกว่า โฆษณาของคุณที่โชว์ไป 100 ครั้ง มีจำนวนคลิ๊กเข้ามาดูกี่ครั้ง : CTR) ได้เยอะ โฆษณาก็จะถูกไปด้วย โดยราคาจะมีตั้งแต่ ฿0.10 ไปจนถึง ฿20 ต่อการคลิกหรือไลค์

ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอย่างต่ำที่แนะนำเลยคือ 150,000 คน เพราะว่าถ้ากลุ่มเป้าหมายยิ่งเล็กเท่าไหร่ ราคาโฆษณาก็จะแพงไปด้วย

 

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้ไปลองทำ โฆษณา Facebook ได้แบบไม่ต้องเสียเงินเยอะ อย่างที่บอกไปว่าการทำโฆษณาไม่ได้จำเป็นว่าต้องลงทุนสูงหรือแพงเสมอไป เพราะการที่คุณลงทุนสูงหรือแพงมากเกินไป แต่คุณไม่มีความรู้ด้านเป้าหมาย และกลุ่มเป้าหมายของคุณที่ชัดเจนและถูกต้อง นั่นก็อาจทำให้เงินที่คุณลงทุนไปนั้น เสียประโยชน์ได้ ดังนั้นการที่คุณจัดสรรงบประมาณ และทำการบ้านมาก่อนที่จะเริ่มทำโฆษณา นั่นถึงจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีและเห็นผลได้จริง


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที