Tawan

ผู้เขียน : Tawan

อัพเดท: 08 ต.ค. 2021 15.05 น. บทความนี้มีผู้ชม: 1280 ครั้ง

?ใบปัดน้ำฝนรถยนต์? เป็นอุปกรณ์สำคัญของรถยนต์อย่างหนึ่งที่เจ้าของรถทุกคันควรให้ความสำคัญ ดูแลรักษาให้สามารถใช้งานได้เป็นปกติอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเดือนที่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน มีฝนตกต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ (อ่าน ขับรถขณะฝนตกให้ปลอดภัย คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/210) แล้วจะมีวิธีการเลือก ?ใบปัดน้ำฝนรถยนต์? หรือตรวจเช็ค ?ใบปัดน้ำฝนรถยนต์? ให้พร้อมใช้งานได้อย่างไร?


ใบปัดน้ำฝนรถยนต์ เลือกอย่างไร? เมื่อไรต้องเปลี่ยน?

“ใบปัดน้ำฝนรถยนต์” เป็นอุปกรณ์สำคัญของรถยนต์อย่างหนึ่งที่เจ้าของรถทุกคันควรให้ความสำคัญ ดูแลรักษาให้สามารถใช้งานได้เป็นปกติอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเดือนที่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน มีฝนตกต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ (อ่าน ขับรถขณะฝนตกให้ปลอดภัย คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/210) แล้วจะมีวิธีการเลือก “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์” หรือตรวจเช็ค “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์” ให้พร้อมใช้งานได้อย่างไร?

 

ประเภทของ “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์”

การทำงานของใบปัดน้ำฝนที่ดี จะต้องเป็นการปาดน้ำฝนโดยมีช่องว่างระหว่างกระจกและน้ำฝนประมาณ 0.01- 0.05 มม. เพื่อสร้างผิวฟิล์มบนกระจกหรือเป็นการปาดน้ำให้เรียบ โดยไม่ปาดน้ำทั้งหมดออกไปจากกระจก เพราะหากออกแบบให้ใบปัดอยู่ติดกับกระจกมากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาใบปัดสะดุดและสั่นกระพือเมื่อใช้งานจริง โดยประเภทของใบปัดน้ำฝน มีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่

 

1.     ชนิดแบบมีโครงเหล็ก (Conventional Wiper Blade) เป็นใบปัดน้ำฝนที่ใช้กันทั่วไป พบเห็นได้มากในรถยนต์เกือบทุกคัน ลักษณะที่สังเกตได้ของใบปัดน้ำฝนชนิดนี้คือมีโครงเหล็กหรือโครงโลหะแขนยางใบปัดคู่กับยางใบปัดน้ำฝน มีความทนทาน โดยประสิทธิภาพในการปัดน้ำฝนของใบปัดน้ำฝนประเภทนี้ จะขึ้นอยู่กับ

 

·      คุณภาพของยาง ยางคุณภาพดีส่วนมากมักมาจากภายในประเทศไทยหรือนำเข้าจากมาเลเซีย ผู้ผลิตจะใส่สารปรุงแต่งบางตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น สารต่อต้านแสงยูวี คาร์บอนแบลค

 

·      จำนวนจุดที่เป็นข้อต่อบนแขนของใบปัดน้ำฝน ยิ่งมีจุดข้อต่อมาก ยิ่งกระจายแรงกดไปบนยางรีดน้ำฝนได้ดี ทำให้ใบปัดน้ำฝนรีดน้ำได้สะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่ทิ้งคราบน้ำ

 

·      การออกแบบโครงเหล็ก ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายออกแบบโครงเหล็กให้มีความโค้งมนรับกับแรงลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้เกิดการกระพือของใบปัดน้ำฝนน้อยแม้รถยนต์จะวิ่งด้วยความเร็วสูง

 

2.      ใบปัดน้ำฝนแบบซ่อนแขนใบปัดน้ำฝน (Semi Concealed Wiper Blade) จะมีโครงสร้างเหมือนกับแบบแรก แต่ผู้ผลิตจะออกแบบที่ครอบเพิ่มขึ้นมา เพื่อนำมาครอบแขนใบปัดน้ำฝนไว้ แต่ยังคงเห็นเนื้อยางของใบปัดน้ำฝนอยู่ จุดประสงค์เพื่อความสวยงามแต่ยังมีประสิทธิภาพในการปาดน้ำที่ดี สามารถพบเห็นได้ในรถยนต์บางรุ่น

 

3.      ใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครงเหล็ก (Flat Blade) จะไม่สามารถสังเกตเห็นแขนของใบปัดน้ำฝนและตัวยางปัดน้ำฝนเลย เนื่องจากไม่มีโครงเหล็กแต่จะมีแกนเหล็กฝังไว้ในเนื้อยาง ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติในการใช้งานได้ดี เนื่องจากน้ำหนักของใบปัดจะถูกกระจายไปเท่าๆ กันทั่วทั้งแขนของใบปัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปาดน้ำ และลักษณะของใบปัดประเภทนี้ยังลดพื้นที่ต้านลมเมื่อปัดน้ำฝนขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้อีกด้วย

 

วิธีเลือก “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์”

 

1.      สังเกตรุ่นรถยนต์จากข้างบรรจุภัณฑ์ของผู้ผลิตใบปัดน้ำฝนให้ตรงกับรุ่นรถยนต์ที่ใช้อยู่

 

2.      ไม่ควรเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนเก่าหรือผลิตไว้นานแล้ว เพราะยางบนใบปัดน้ำฝนมีอายุการใช้งานที่จำกัด บางครั้งผู้จำหน่ายไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้หมดภายในหน้าฝนปีก่อน ก็จะนำออกมาลดราคาในปีถัดไป ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ใช้รถมักเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเฉพาะช่วงหน้าฝนเท่านั้น

 

3.      รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ก้านของใบปัดน้ำฝนทางฝั่งคนขับและคนนั่งจะมีขนาดไม่เท่ากัน โดยขนาดของใบปัดน้ำฝนจะอยู่ที่ประมาณ 14” หรือ 21” ซึ่งหากซื้อแยกเป็นกล่องๆ จากร้านทั่วไปต้องอ่านรายละเอียดข้างกล่องให้ชัดเจน

 

4.      เลือกใบปัดน้ำฝนให้ถูกฝั่ง หากบนใบปัดน้ำฝนมีการะบุภาษาอังกฤษตัวย่อบนใบปัด เช่น อักษร “D” จะย่อมาจาก “Driver” ให้เข้าใจว่าใบปัดใบนั้นสำหรับติดตั้งฝั่งคนขับ ส่วนอักษร “P” ย่อมาจาก “Passenger” จะเป็นใบปัดน้ำฝนสำหรับที่ฝั่งคนนั่ง

 

ควรต้องเปลี่ยน “ใบปัดน้ำฝน” เมื่อไร?

การเปลี่ยนในปัดน้ำฝน สามารถเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนยกทั้งโครงหรือเปลี่ยนเฉพาะยางใบปัด ซึ่งหากโครงใบปัดยังสภาพดีอยู่สามารถเลือกเปลี่ยนเฉพาะยางได้ ส่วนก้านใบปัดนั้น ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อยนัก เพราะมักมีอายุการใช้งานนานนับสิบปีกว่าสปริงใบปัดจะล้า ซึ่งอาจล้าตามอายุการใช้งานหรือล้าจากการใช้งานผิดวิธี เช่น การยกใบปัดน้ำฝนตั้งขึ้นเวลาจอดรถตากแดด จะยิ่งทำให้อายุของสปริงที่ก้านใบปัดเสื่อมเร็วขึ้น โดยมีวิธีการสังเกตสภาพของใบปัดน้ำฝน ดังนี้

 

1.      ใบปัดทำงานไม่เป็นจังหวะ ใบปัดที่แห้งหรือเปื้อนสนิมจากโครงเหล็ก อาจไปขัดขวางการทำงานของใบปัดให้มีลักษณะกระโดดของเส้นแนวตั้งข้ามไปมา

 

2.      รอยปัดเป็นริ้ว ไม่เรียบ อาจเกิดจาก ซากกิ่งไม้ เศษหินจากถนนทำให้มีรอยยาวหรือยางบริเวณใบปัดแห้งแตก

 

3.      รอยแยกขณะปัดฝน อาจเกิดจากใบปัดหมดอายุการใช้งานหรือแห้งแตกจากการโดนแดดเป็นเวลานาน

 

4.      มีเสียงเสียดสีขณะใช้งาน อาจเกิดจากใบปัดหมดอายุ ยางจึงสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดการแห้ง และแข็งตัว

 

ดูแลรักษารถยนต์ให้คงสภาพดีอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยและทัศนวิสัยในการขับขี่บนท้องถนน ช่วยให้คุณอุ่นใจในยามขับขี่ท่ามกลางสายฝนได้มากขึ้น ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor หรือ โทร.1596


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที