โรคไมเกรนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคุณทุกวัย สำหรับคนที่ปวดไมเกรนบางครั้ง ก็ควรพบแพทย์เพื่อรับยาบรรเทาปวดที่ถูกต้องและตรงกับอาการ และสำหรับคนที่ปวดไมเกรนเป็นประจำ แพทย์จะวินิจฉัยให้ยา หรือวิตามินไมเกรน เพื่อป้องกันและลดอาการปวด
โรคไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะที่ต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดา สาเหตุมาจากหลอดเลือดในสมองขยายตัวและเกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองด้วย โรคไมเกรนส่วนใหญ่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อาการปวดไมเกรนมีสาเหตุมาจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง ทำให้สมองถูกกระตุ้นได้ง่ายและไวกว่าปกติจนทำให้การไหลเวียนของเลือดในสมองเปลี่ยนแปลงไป มีผลทำให้หลอดเลือดสมองเกิดการขยายตัวและเกิดการอักเสบขึ้น เป็นผลทำให้มีอาการปวดศีรษะในที่สุด
ปัจจัยสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรน คือ ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์โดยอาการปวดหัวแบบ “ไมเกรน” มี ปวดศีรษะข้างเดียวแบบตุบ ๆ เป็นระยะหรือเป็นจังหวะ ส่วนมากลักษณะอาการปวดมักมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการนำก่อนปวดศีรษะประมาณ 10-30 นาที เช่น เห็นแสงวูบวาบ ไฟระยิบระยับ เห็นภาพเบลอ เป็นต้น
อาการปวดไมเกรนของแต่ละคนมีสาเหตุและอาการปวดที่แตกต่างกันออกไป ยา วิตามิน หรือ อาหารเสริมแต่ละชนิดก็จะส่งผลที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน ดังนั้นการทานวิตามิน และอาหารเสริมไม่สามารถกะรันตีว่าจะหายได้ทันที เพราะปัจจัยอาการปวดของเเต่ละคนไม่เหมือนกัน
ซึ่งวิตามินบรรเทาไมเกรนนั้นก็มีอยู่ด้วยยกันหลายชนิด ควรทานวิตามินเหล่านี้ให้ครบถ้วน เพราะวิตามินแก้ปวดไมเกรนเหล่านี้สามารถหาได้จากอาหารทั่วๆไป ไม่เหมือนการทานยา ที่หากยิ่งทานมาก ก็จะไปส่งผลต่ออวัยวะภายใน
การรับมือกับโรคไมเกรนที่ดีที่สุด ก็คือ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นไมเกรน ซึ่งมาจากการลิสต์เป็นข้อ ๆแล้วก็หันมากินวิตามิน แทน การกินยา เพื่อแก้ปวดไมเกรน เพราะวิตามินนั้นสามารถหาได้จากธรรมชาติ ที่ไม่ส่งผลร้ายต่อร่างกายของเรา วิตามินที่จะแนะนำให้กินเพื่อลดความถี่ของโรคไมเกรน คือ
ยังไม่ได้รับการรับรองจากงานวิจัยว่า วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยป้องกันไมเกรนได้อย่างไร แต่อาจเกี่ยวข้องกับวิธีการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ เนื่องจากผู้ที่มีปัญหาไมเกรนอาจมีปัญหาในกระบวนการเผาผลาญนั้น ซึ่งเป็นอีกสาเหตุของอาการปวดหัวได้
แต่การวิจัยได้สรุปว่าวิตามินบี 2 มีผลทำให้ความถี่และระยะเวลาการเกิดของไมเกรนนั้นลดลงแหล่งอาหารตามธรรมชาติที่สามารถพบวิตามินบี 2 ได้ คือ เนื้อ นม ไข่ ผักสีเขียว ถั่ว และเพื่อ
ป้องกันโรคไมเกรนควรกินวิตามินบี 2 ประมาณ 400 มิลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันนาน 3 เดือน
สำหรับวิตามินดีนั้น จากการทดลองได้พบว่าการได้รับวิตามินดี 50,000 IU ต่อสัปดาห์จะช่วยลดความถี่ในการเกิดอาการไมเกรนได้ อย่างไรก็ดีควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อจะได้รู้ถึงปริมาณที่เหมาะสม ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เอง เมื่อได้รับแสงแดด หรือ ยูวีบี หรือจากอาหาร เช่น ไข่แดงปลาไขมันสูง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน เป็นต้น
เป็นแร่ธาตุที่พบมากภายในเซลล์ของร่างกายคน ผู้ที่มีปัญหาไมเกรนนั้น ส่วนใหญ่จะมีระดับแมกนีเซียมต่ำ ดังนั้นการได้รับแมกนีเซียมที่เพียงพอต่อร่างกายก็มีส่วนช่วยในการป้องกันไมเกรนได้ในบางคน
จากการวิจัยพบว่าการฉีดแมกนีเซียมเข้าทางหลอดเลือดดำสามารถช่วยลดการกำเริบของอาการปวดไมเกรนได้ ปกติร่างกายต้องการแมกนีเซียมจากธรรมชาติ 500-600 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากนี้แมกนีเซียมยังสามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการไมเกรนได้ด้วย
สำหรับอาหารที่มีแมกนีเซียมอยู่ คือ ผักโขม ถั่ว และธัญพืช แมกนีเซียมเป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมความดันเลือดน้ำตาลในเลือด กล้ามเนื้อและเส้นประสาทให้ทำงานได้อย่างถูกต้อง ลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดไมเกรนได้
โคเอนไซม์ คิว 10 มีคุณสมบัติคล้ายวิตามิน ที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย เช่น ช่วยสร้างพลังงานในเซลล์ และช่วยป้องกันความเสียหายออกซิเดชัน
ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสามารถป้องกันอาการปวดไมเกรน แต่สามารถช่วยลดความถี่ของอาการปวดหัวไมเกรนได้ ปริมาณโคเอนไซม์ คิว 10 ที่ควรได้รับคือ 100 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน
แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้
*ข้อควรระวัง หากสูบบุหรี่ ควรหลีกเลี่ยงการใช้โคเอนไซม์ คิว 10 * มักพบสารโคเอนไซม์ คิว 10 ใน ปลาทะเลน้ำลึก ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ถั่วลิสง น้ำมันถั่วเหลือง
สารเมลาโทนินตัวนี้มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นสารที่ช่วยในการควบคุมการนอนหลับ แน่นอนจึงมีส่วนช่วยลดความถี่ในการเกิดไมเกรนได้ ปริมาณที่ควรบริโภค คือ 3 มิลลิกรัมต่อวัน
ควรระวังงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนใช้เมลาโทนิน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพต่ำลง และทำให้เกิดอาการง่วงซึม ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการขับขี่และปฏิบัติงาน
การรักษาไมเกรนนั้นมีหลายวิธี รวมทั้งการรับประทานวิตามิน โภชนเภสัช บี2, Q10, แมกนีเซียม, เมลาโทนิน เป็นต้น เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงความถี่ของอาการปวดไมเกรน
สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ควรต้องระวังเป็นพิเศษในการใช้อาหารเสริมและวิตามิน เพราะว่าบางชนิดอาจจะไม่เหมาะกับผู้ตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทั้งครั้ง และสำหรับผู้ที่โรคประจำตัว เช่น มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะร่างกายอาจไม่ดูดซึมสารอาหารได้ดีเหมือนคนทั่ว ๆ ไป
หากว่ามีการใช้วิตามินหรืออาหารเสริมแล้วเป็นเวลา 1 เดือนแล้วยังไม่เห็นผลลัพธ์ และอาการไมเกรนยังคงกำเริบ หรืออาการแย่ลง ควรหยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะอาหารเสริมและวิตามินไม่จำเป็นต้องเหมาะและปลอดภัยสำหรับทุกคน
หากรู้สึกปวดหัวไมเกรนบ่อย (มากกว่า 5 ครั้งต่อเดือน) หรือ ปวดแบบรุนแรง แม้ยาแก้ปวดทั่ว ๆ ไ เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน จะสามารถบรรเทาปวดไมเกรนได้ แต่ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป หรือใช้เกินกว่าที่ฉลากยาชนิดนั้น ๆ แนะนำ เพราะในระยะยาวอาจทำให้อาการปวดไมเกรนรุนแรงขึ้น การปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกัน และรักษาอย่างถูกวิธี จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
เนื่องจากปวดไมเกรนเป็นโรคเรื้อรัง จึงสามารถควบคุมได้หากปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง และ ใช้ยาอย่างเหมาะสม
การฉีดยา Aimovig 1 เข็ม ซึ่งเป็นยาป้องกันไมเกรนรุ่นใหม่ที่ FDA ยอมรับให้ใช้ในทางการแพทย์ สรรพคุณคือ ใช้ป้องกันอาการปวดไมเกรนได้เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น ป้องกันได้ทั้งผู้ที่มีอาการปวดแบบรุนแรงเป็นครั้งคราว คือเกิดขึ้นน้อยกว่า 15 วันใน 1 เดือน และเป็นแบบเรื้อรัง คือ เกิดขึ้นมากกว่า 15 วันติดต่อกัน ภายใน 3 เดือน
ยาตัวนี้จะไปยับยั้งการทำงานของ Calcitonin Gene Related Peptide ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อกระบวนการเกิดอาการปวดไมเกรน หมายความว่าถ้าสาร CGRP เพิ่มขึ้นไมเกรนก็มา
การแพทย์แผนจีน เช่น ฝังเข็ม เป็นการช่วยลดความถี่ของการเกิดอาการไมเกรนได้เป็นอย่างดี แต่ในครั้งแรกๆ อาจจะยังไม่เห็นผลอย่างชัดเจน ควรที่จะต้องฝังเข็มต่อเนื่องไปประมาณ 6-10 ครั้ง แล้วจะทำให้ความถี่ในการเกิดอาการปวดไมเกรนห่างกันเรื่อยๆ ตำแหน่งฝังเข็ม คือ บริเวณหน้าผาก ขมับ ท้ายทอย กลางกระหม่อม และกระบอกตา
เป็นทางเลือกใหม่ของการรักษาไมเกรน คือ การฉีดโบทูลินัมทอกซิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีทางการแพทย์ ด้านความงาม วิธีนี้นอกจากจะช่วยโรคไมเกรนแล้ว ยังช่วยบรรเทาและรักษาอาการของโรคอื่น ๆ ทางระบบประสาทและสมองได้อีกด้วย
ยาตัวนี้จะช่วยหยุดสารเคมีก่อนที่จะไปถึงปลายประสาทบริเวณศีรษะและคอ เมื่อได้รับการฉีดที่กล้ามเนื้อต่าง ๆ รอบศีรษะ จำนวน 30-40 จุด ฉีดที่ศีรษะทั้ง 2 ด้านในปริมาณเท่า ๆ กัน ที่มีเส้นประสาทที่เกี่ยวกับการปวดไมเกรน ก็จะช่วยให้อาการปวดไมเกรนลดลงได้อย่างชัดเจน แต่ควรเน้นที่คนเป็นโรคไมเกรนเรื้อรัง
คนเราไม่จำเป็นต้องกินยาแก้ปวดไมเกรนเสมอไป ยังมีอีกหลาย ๆ วิธีที่ช่วยบรรเทาหรือหยุดอาการปวดหัวได้ เพราะการกินยาไม่ควรจะเป็นคำตอบสุดท้าย สำหรับบางรายการทานยา อาจจะช่วยให้หายปวดได้แค่ชั่วคราว ไม่ใช่การรักษาที่ถูกจุด และการทานยาเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานานๆ ก็ส่งผลกระทบต่อตับ ไต ด้วย หรือในบางรายไม่สามารถกินยาแก้ปวดได้ เนื่องจากโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันเลือดสูง เป็นต้น
ดังนั้นการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น กินวิตามินแก้ไมเกรน เพราะหากปวดหัวบ่อย ขาดวิตามินอะไรไป ก็อาจเป็นอีกสาเหตุของอาการปวดหัวได้ ดังนั้นควรหาวิตามินที่ขาดอยู่มาเสริมให้ร่างกาย นอกจากนี้อาหารเสริม ก็เป็นอีกวิธีที่น่าลอง แต่สำหรับการเลือกทานอาหารเสริม ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนเริ่มทานเสมอ
ขอบคุณบทความดีๆ จาก https://www.migrainethailand.com/
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที