แสงแดด (sunlight) คือ แสงทั้งหมดจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องถึงตัวเรา ซึ่งเป็นแสงประเภทคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic radiation) เป็นแสงที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของแสงแดด โดยแบ่งประเภทตามความยาวของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือ แสงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet light)มีปริมาณ 5% ของแสงทั้งหมด, แสงที่ดวงตามองเห็น (Visible light) มีปริมาณ 45%, และแสงอินฟราเรด (Infrared) มีปริมาณ 50% ซึ่งเป็นพลังงานต่ำที่สุด ซึ่งถัดมาเราจะมาทำความเข้าใจกับวิตามินที่มีความเกี่ยวข้องกับแสงแดด อย่างวิตามินดี สำหรับวิตามินดีนั้น มีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. วิตามินดี 2 พบได้เฉพาะในพืชเท่านั้น
2. แต่ถ้าได้รับวิตามินดี จากแสงแดด จะเป็น วิตามินดี 3 ซึ่งจะได้จากการสังเคราะห์ที่ผิวหนังเมื่อโดนแสงแดดอ่อนๆ เท่านั้น
นอกเหนือจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การได้รับแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างวิตามินดีในร่างกาย และ“วิตามินดีจากแสงแดด”จะช่วยในเรื่องต่อไปนี้
การรับแสงแดดช่วงเช้าจะทำให้ได้รับสารเอนโดนฟิน ทำให้อารมณ์ดี แจ่มใส ส่งผลถึงสุขภาพจิตที่ดี
วิตามินดี ในแสงแดดตอนเช้า จะมีผลในการควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย ซึ่งกระดูกและฟันของเราจำเป็นต้องได้รับแคลเซียมที่เหมาะสม เพื่อไปบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน ดังนั้นร่างกายจึงขาดวิตามินดี ไม่ได้เลยเป็นอันขาด
วิตามินดี ช่วยป้องกัน ลดการเสี่ยงมะเร็งได้ ทั้งมะเร็งผิวหนัง มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งอื่นๆ ได้อีกมากมาย
วิตามินดีจากแสงแดดจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน เพราะเม็ดเลือดแดงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น ทำให้การลำเลียงออกซิเจนทำงานดีขึ้น เมื่อได้รับออกซิเจนดีขึ้น เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายก็ทำงานดีขึ้น
ช่วยลดน้ำหนักได้ เพียงแค่ตื่นเช้าๆออกไปรับแสงแดด ก็ทำให้การกระตุ้นของระบบเผาผลาญดีขึ้น ถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้นด้วย
วิตามินดีจากแสงแดดจะช่วยทำให้หลับสบาย ง่ายขึ้น เพราะแสงแดดที่เราได้รับ ช่วยในการสร้างฮอร์โมน Melatonin เป็นฮอร์โมนที่ผลิตตอนเราหลับ ทำให้การหลับของคุณดีขึ้น
ช่วงเวลาที่แสงแดดมีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ แสงแดดตอนเช้า ในช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น,
(ก่อน 9 โมงเช้า) และแสงแดดช่วงเย็น หลัง 16.00 น.
ปริมาณของวิตามินดีที่แนะนำว่า ควรจะได้รับต่อวัน คือ 600 IU (International units) สำหรับ
ผู้ใหญ่จนถึงวัย 70 ปี
การรับแสงแดดทำได้โดยการสวมใส่เสื้อผ้าเผยผิวช่วงแขนและขา แสงแดดที่เหมาะสมต่อการสังเคราะห์
วิตามินดี ควรเป็นแสงแดดอ่อน ๆ ที่ไม่แสบร้อนจนทำร้ายผิวในระยะยาวได้ ระยะเวลาในการรับแสงแดด
ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล แต่โดยเฉลี่ยที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 10-15 นาทีต่อวัน ส่วน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เพราะแต่ละประเทศหรือแม้แต่พื้นที่ในประเทศเดียวกัน ก็มี
ความแตกต่างกันทางภูมิประเทศ ภูมิภาค สภาพอากาศ เป็นต้น
แต่สำหรับกระดูกที่กำลังจะเจริญเติบโตจะแข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าได้รับวิตามินดีที่เหมาะสม ดังนั้น
ช่วงเวลาก่อน 09.00 น. และหลัง 16.00 น. จะเป็นเวลาที่ดี
หากร่างกายได้รับแสงแดดมากเกินไป และเป็นเวลานานเกินไป ในช่วงเวลา 9.00 – 15.00 น.
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดมีความเข้มข้นของรังสียูวีมากเกินไป ก็จะส่งผลร้ายต่อผิวหนังได้
- ทำให้ผิวหนังไหม้
- รังสี UV จะเข้าทำลาย DNA จนอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้
- ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว กระทบถึงระบบภูมิคุ้มกันได้ภายใน 24 ชั่วโมง
- ทำให้ผิวหนังอักเสบติดเชื้อได้ง่าย โรคผิวหนัง และโรคระบบอื่น ๆ กำเริบ เช่น ลมพิษ เป็นต้น
ป้องกันทั้งรังสี UVA (ดูจากค่า PA) และ รังสี UVB (ดูจากค่า SPF) เช่น
เป็นครีมกันแดดสูตรน้ำ เนื้อบางเบา ไม่มัน สามารถลดการเกิดจุดด่างดำ ปกป้องรังสี UVA, UVB
ได้อย่างล้ำลึกทั้งภายในและภายนอก คุมมัน ใช้ง่าย ควรทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15 นาที
ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในประเทศที่จัดอยู่ในแถบร้อนที่มีแสงแดดอยู่ทุกฤดูกาล แต่เพราะแสงแดดมีทั้งประโยชน์
และโทษต่อร่างกายของเรา ดังนั้นทุกคนสมควรรู้จักการป้องกันแสงแดดอย่างถูกวิธี และรู้วิธีการใช้สารกัน
แดดที่ถูกต้อง เพื่อที่กระบวนการการเกิดผิวไหม้เสียจะลดน้อยลง ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังผลิตวิตามินดี
จากการได้รับแสงแดดภายในเวลาและปริมาณที่เหมาะสมด้วย
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที