การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) นั้น เป็นคลื่นเสียงชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความถี่สูงกว่า 20,000 Hz สูงเกินความสามารถที่หูมนุษย์จะได้ยิน คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ นี้ ปัจจุบันได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นเครื่องมือแพทย์ ใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคต่าง ๆ รวมทั้งการตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์ บทความนี้ จะพาทุกคนไปรู้จักกับการอัลตราซาวด์มีวิธีการตรวจอย่างไร ตรวจอะไรได้บ้าง มีข้อดี ข้อจำกัด และเหมาะสมกับใครมาดูกันเลย
อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นวิธีตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ไม่ปวดและไม่อันตราย เป็นการตรวจโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (สูงกว่า 20,000 รอบต่อวินาที) เพื่อตรวจสอบโครงสร้างภายในร่างกาย คลื่นเสียงจะกระทบกับเนื้อเยื่อจะหักเหสะท้อนกลับมาสู่หัวตรวจต่างกันไปตามแต่ชนิดของเนื้อเยื่อ
จากนั้น เครื่องอัลตราซาวด์จะนำคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับนี้แปลงเป็นภาพ 2 มิติหรือ 3 มิติบนจอมอนิเตอร์ การตรวจอัลตราซาวด์มักนำมาใช้ตรวจสุขภาพทั้งของคนทั่วไปและซาวด์ท้องในสตรีมีครรภ์ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และเด็กในท้อง
วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องอัลตร้าซาวน์ ซึ่งใช้ในวงการแพทย์ สะดวก รวดเร็ว รู้ผลชัดเจนแม่นยำ มาดูกันเลยว่าใช้ในเรื่องใดบ้าง
การอัลตราซาวด์เพื่อตรวจครรภ์ ใช้ตรวจความผิดปกติของโครงสร้างของร่างกายทารกในครรภ์และโครงสร้างหลัก ได้แก่ รก สายสะดือ น้ำคร่ำ กะโหลกศีรษะ เนื้อสมอง แขน ขา ช่องอก เนื้อปอด หัวใจ ผนังหน้าท้อง และอวัยวะหลักภายในช่องท้อง การวัดขนาดของทารกจากการตรวจอัลตราซาวด์ ยังช่วยในการยืนยันอายุครรภ์ และคำนวณวันคลอด ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการดูแลรักษาในช่วงใกล้คลอด ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์เกินกำหนด ซึ่งอาจมีผลเสียต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ได้
นอกจากนี้ พ่อแม่หลายคนที่ต้องการรู้ว่าเพศของลูกเป็นหญิงหรือชาย การตรวจอัลตราซาวด์สามารถบอกได้ ส่วนในภาวะคลอดก่อนกำหนด แพทย์ยังอาจใช้เครื่องมือนี้ช่วยประเมินน้ำหนักตัวของทารกได้ด้วย
การตรวจสุขภาพเพื่อวินิจฉัยโรคด้วยอัลตราซาวด์ในร่างกายทั้งส่วนบนและส่วนล่างว่าแต่ละแบบนั้น มีข้อดี และสามารถช่วยสแกนโรคที่แตกต่างกันได้ โดยเป็นการตรวจอัลตราชาวด์เช็กความผิดปกติ
การอัลตราซาวด์ (Ultrasound) คือการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการใช้คลื่นเสียงกำลังสูงสะท้อนให้เกิดภาพ ซึ่งสามารถตรวจดูอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เห็นได้ถึงความผิดปกติบางชนิด ซึ่งสามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคของแพทย์ได้ โดยการตรวจสุขภาพส่วนใหญ่จะมีการอัลตราซาวด์อยู่ 2 ส่วน คือ
การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนล่าง มักจะตรวจกันมากในกลุ่มผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไป หรือกลุ่มที่ปวดท้องประจำเดือนเป็นประจำ หรือประจำเดือนมาผิดปกติ แต่ก็มีข้อจำกัดต่อการวินิจฉัยบริเวณกระดูกที่มีความหนาแน่นหรือส่วนของร่างกายที่อาจประกอบด้วยอากาศหรือแก๊ส อาจทำได้ไม่ดีนัก เช่น สมอง กระดูกสันหลัง ลำไส้
การใช้ในกระบวนการทางการแพทย์ กระบวนการต่าง ๆ เช่น การตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจ อาจต้องใช้เครื่องอัลตราซาวด์เข้าช่วย เนื่องจากในกระบวนการนี้เป็นการตัดเนื้อเยื่อจากพื้นที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ การอัลตราซาวด์จะช่วยให้แพทย์เห็นภาพอวัยวะบริเวณนั้น ๆ และดำเนินการได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การตรวจอัลตราซาวด์ สามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ได้อย่างหลากหลาย ดังนั้น จึงมีการตรวจอัลตราซาวด์หลากหลายประเภท โดยแยกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
ขอบคุณภาพจาก https://beyondivf.com/pregnancy-ultrasound/
การอัลตราซาวด์ 2 มิติเป็นการส่งคลื่นเสียงที่ทำให้ภาพแสดงออกมาในแนวราบ หรือตามแนวขวาง ไม่มีความลึกที่บ่งบอกลักษณะของด้านอื่น ๆ และยังไม่สามารถเก็บภาพต่อเนื่องได้ และทำให้เราสามารถเห็นการเจริญเติบโต การเต้นของหัวใจ ตำแหน่งของรก สายสะดือ เพศของทารกในครรภ์ ซึ่งภาพที่เห็นจะเป็นภาพเคลื่อนไหวสีขาวดำ
ขอบคุณภาพจาก https://beyondivf.com/pregnancy-ultrasound/
การตรวจอัลตราซาวด์ 3 มิติ มีขั้นตอนที่ซับซ้อนขึ้นจากการตรวจอัลตราซาวด์ 2 มิติ ใช้เทคโนโลยีระดับสูงกว่ากันมากเพื่อให้ได้ภาพละเอียดและชัดเจน จะแสดงความกว้าง ความสูง และความลึก โดยหัวตรวจจะส่งคลื่นเสียงความถี่สูงที่ส่งผ่านมาในมุมที่แตกต่างกัน แล้วรับสัญญาณคลื่นเสียงสะท้อนกลับออกมา ทำการประมวลวิเคราะห์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์แปลงข้อมูลเป็นภาพ 3 มิติ
ซึ่งภาพที่ได้ออกมาจะเป็นภาพพื้นผิวของทารก หรือเป็นภาพอวัยวะภายในทารก ทั้งรูปร่างและรูปทรงของทารกชัดเจนคล้ายกับรูปถ่ายในชีวิตจริง รวมทั้งเห็นใบหน้าและรายละเอียดของลูกน้อยชัดเจนกว่าภาพถ่าย 2 มิติ
ขอบคุณภาพจาก https://beyondivf.com/pregnancy-ultrasound/
การอัลตราซาวด์ 4 มิติ หลักการคล้ายคลึงกับอัลตราซาวด์ 3 มิติ มีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องและซับซ้อน เครื่องตรวจอัลตราซาวด์ 4 มิติจะนำภาพ 3 มิติมาแสดงผลเรียงต่อกันกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในขณะนั้นโดยใช้คลื่นเสียง เหมือนกับเราได้เห็นทารกในครรภ์แบบ Real Time
ซึ่งการอัลตราซาวด์ 4 มิติสามารถเห็นพฤติกรรมต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ได้ เช่น การหาว ดูดนิ้ว อ้าปาก ขยับนิ้ว หรือการยิ้ม ได้อย่างชัดเจน เสมือนจริงอีกด้วย และยังได้ข้อมูลรายละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความผิดปกติที่พื้นผิว เช่น ปากแหว่ง หรือเนื้องอกที่ผิวบางชนิด ซึ่งเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยความผิดปกติบางอย่างได้
แม้ว่าการตรวจอัลตราซาวด์จะมีให้เลือกหลายแบบ แต่ทุกแบบก็บอกได้ในสิ่งเดียวกัน คือ พัฒนาการของทารกในครรภ์ ความสมบูรณ์ รวมถึงความผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าต้องการเห็นทารกในครรภ์อย่างชัดเจนแบบภาพเคลื่อนไหวการทำอัลตราซาวด์ 4 มิติ ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ในการตรวจอัลตราซาวด์ครรภ์ (Ultrasound) โดยส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การตรวจดูความผิดปกติ ซึ่งถือเป็นข้อดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ แต่เราก็ต้องทราบข้อจำกัดของการตรวจแบบนี้ด้วยเช่นกัน โดยเราสรุปข้อดีและข้อจำกัดไว้ ดังนี้
ประโยชน์ของการตรวจอัลตราซาวด์ท้อง ในระหว่างที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ สามารถแยกเป็นข้อ ๆ ให้เห็นประโยชน์ ได้ชัดเจนขึ้น ดังต่อไปนี้
การอัลตราซาวด์ ใช้ในการตรวจสุขภาพครรภ์ ทั้งสุขภาพคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ด้วย หากทราบว่าตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนำให้เข้ารับการตรวจอัลตราซาวด์อย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ 18 - 22 ของการตั้งครรภ์ โดยอาจจะเริ่มอัลตราซาวด์ 6 สัปดาห์ ก็สามารถเริ่มตรวจได้
และทางที่ดี ควรตรวจอัลตราซาวด์อย่างน้อย 1 ครั้งในทุกไตรมาสของการตั้งครรภ์ เพื่อประเมินสุขภาพและติดตามพัฒนาการของทารกในแต่ละระยะ ดังนั้น การอัลตราซาวด์ทั้งหมดควรตรวจ 3 ครั้ง ซึ่งเป็นการตรวจทุกไตรมาส ได้แก่
การอัลตราซาวด์ในไตรมาสที่ 1 (ช่วงสัปดาห์ที่ 6-14 หรือช่วงเดือนที่ 1-3 ของการตั้งครรภ์) เป็นการอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของการตั้งครรภ์ และยืนยันจำนวนทารกในครรภ์ คัดกรองโรคทางพันธุกรรมบางโรค ทั้งยังใช้คำนวณอายุครรภ์และวันกำหนดคลอดที่แน่นอนในมารดาที่ประจำเดือนไม่มา
และหากพบว่าไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิและกลายเป็นทารกแล้วไม่ได้ฝังตัวที่ผนังมดลูก แต่กลับไปฝังตัวที่บริเวณอื่น เช่น ท่อนำไข่ หรือที่เรียกว่าภาวะท้องนอกมดลูก แพทย์จำเป็นต้องนำทารกออกมาเนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพแม่ได้
การอัลตราซาวด์ในไตรมาสที่ 2 (ช่วงสัปดาห์ที่ 18 - 22 หรือช่วงเดือนที่ 4 - 6 ของการตั้งครรภ์) มักใช้วิธีอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องเพื่อตรวจสอบพัฒนาการและโครงสร้างร่างกายของทารกในท้อง เช่น กระดูกสันหลัง แขน ขา สมอง อวัยวะภายใน และใช้เพื่อตรวจขนาดและตำแหน่งของรก ปริมาณน้ำคร่ำ อีกทั้งยังสามารถตรวจการไหลเวียนโลหิตของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงมดลูกซึ่งเชื่อมต่อมายังทารก
ซึ่งหากพบความผิดปกติ ก็อาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์หรือครรภ์เป็นพิษ ในกรณีที่มารดามีประวัติคลอดก่อนกำหนดในครรภ์มาก่อน ก็สามารถวัดความยาวของปากมดลูกในช่วงอายุครรภ์นี้ เพื่อทำนายโอกาสในการที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนดซ้ำ เพื่อให้การป้องกันภาวะดังกล่าว การอัลตราซาวด์ในระยะนี้ สามารถอัลตราซาวด์ดูเพศของทารกในท้องได้ด้วย
การอัลตราซาวด์ในไตรมาสที่ 3 (ช่วงสัปดาห์ที่ 28 หรือช่วงเดือนที่ 7-9 ของการตั้งครรภ์) เพื่อตรวจดูพัฒนาการของทารกในครรภ์ ที่สำคัญสามารถตรวจดูอัตราการเจริญเติบโตของทารก โดยปกติภาวะทารกเติบโตช้าจะเกิดในช่วงนี้ และตรวจติดตามน้ำหนักของทารกเมื่อเทียบกับอายุครรภ์ หากมีภาวะผิดปกติเกิดขึ้นจะได้วินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงทีก่อนจะเกิดภาวะแทรกซ้อนของรวมถึงประเมินท่าของทารก เพื่อพิจารณาวางแผนสำหรับการคลอดต่อไป
การตรวจครรภ์ด้วยการอัลตราซาวด์ (Ultrasound) มีด้วยกัน 2 วิธี ได้แก่ การตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้อง และการตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด โดยแต่ละวิธีมีขั้นตอนดังนี้
การตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด ต้องเตรียมตัวก่อนการตรวจดังนี้
เมื่อพร้อมคุณแม่นอนบนเตียงแพทย์จะทำการตรวจโดยการสอดอุปกรณ์ส่งคลื่นอัลตราโซนิกในรูปแบบแท่งที่เรียกว่า หัวตรวจทางช่องคลอดเข้าไปในช่องคลอด จะใช้ในการตั้งครรภ์ระยะแรกประมาณ 7 - 12 สัปดาห์ การสอดเข้าไปในช่องคลอดจะช่วยให้เห็นมดลูกในตำแหน่งที่ใกล้กับลูกในครรภ์มากกว่า จึงสามารถได้ภาพที่ละเอียด และไม่เพียงแต่ได้ตรวจสภาพของทารกเท่านั้น
แต่ยังสามารถอัลตราซาวด์ตรวจสภาพความแข็งแรงของมดลูกและรังไข่ของแม่ได้อีกด้วย หากเข้ารับการตรวจอย่างผ่อนคลาย จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่หากเครียดและฝืน อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บในตอนที่สอดเข้าไป ซึ่งในเวลาดังกล่าว ขอให้บอกคุณหมอตรง ๆ หัวตรวจจะมีการฆ่าเชื้อ และใส่ถุงยางอนามัยเฉพาะทางให้ทุกครั้ง จึงมีความสะอาดมาก
เมื่อคุณแม่ได้รับใบผลอัลตราซาวด์จะเห็นภาษาอังกฤษเป็นอักษรย่อต่าง ๆ บางคนอาจสงสัยคืออะไร มีความหมายว่าอย่างไรและมีตัวเลขค่าต่างๆ ทั้งหมดนี้บอกอะไรถึงลูกของเรา วันนี้มาเรียนรู้กันเลย
วิธีอ่านค่าอัลตราซาวด์
-EFW1 (HAD-1) = น้ำหนักโดยประมาณที่ได้มาจากสูตรที่ชื่อ Haddlock
-EFW2 (SHEPARD) = น้ำหนักโดยประมาณที่ได้มาจากสูตรที่ชื่อ Shepard
คำศัพท์ที่พบบ่อยในใบตรวจอัลตราซาวด์
การตรวจอัลตราซาวด์ครรภ์ ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อทารกและมารดา แม้ว่าจะมีการตรวจซ้ำหลายครั้งก็ตาม แต่มีประโยชน์ในการวินิจฉัยความผิดปกติของทารก และช่วยในการตรวจติดตามการเจริญเติบโต และความผิดปกติของอวัยวะที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ได้ ทำให้แพทย์สามารถทำการตัดสินใจในการให้การรักษาได้ดีขึ้น ดังนั้นการตรวจอัลตราซาวด์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ทุกคน
คุณแม่มือใหม่หลาย ๆ ท่านอาจจะยังมีข้อคำถามมากมายเกี่ยวกับการตรวจอัลตราซาวด์ โดยเราได้สรุปคำถามที่หลายคนสงสัยมาตอบไว้ให้ตรงนี้แล้ว
การอัลตราซาวด์ อายุครรภ์ 1 เดือน อาจไม่จำเป็นมากนัก เนื่องจากอายุครรภ์ยังน้อยเกินไป โดยปกติการนิยมตรวจครั้งแรกทำได้เมื่อมีอายุครรภ์ 6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นอายุครรภ์ที่มองเห็นทารกผ่านเครื่องอัลตราซาวด์ได้ แต่ถ้าตรวจดูเร็วกว่านั้น เครื่องอาจไม่สามารถตรวจจับได้อย่างชัดเจน แต่ในกรณีที่คุณแม่มีความเสี่ยงบางประการ เช่นมีประวัติการตั้งครรภ์นอกมดลูกก็สามารถอัลตราซาวด์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อยได้
การตรวจอัลตราซาวด์มีความผิดพลาดไหม คำตอบคือ อาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ จากสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้
การตรวจช่วงนี้ มีหลายคนเข้าใจผิด คิดอยากประหยัด มาตรวจอัลตราซาวด์ครั้งเดียวตอนอายุ 28 สัปดาห์ เพราะทารกส่วนใหญ่หลัง 22 สัปดาห์กระดูกจะหนา ทำให้ดูอวัยวะยากขึ้น ดังนั้น ควรให้มาตรวจทันทีที่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ หรือมาก่อนอายุครรภ์ 14 สัปดาห์ เพื่อมาตรวจดูอายุครรภ์ที่แน่นอน เพราะผู้หญิงบางคนประจำเดือนมาไม่แน่นอน ทำให้นับวันกำหนดคลอดไม่ได้ และตรวจดาวน์ซินโดรม หลังจากนั้น ถ้าปกติดี อายุครรภ์ 18 - 22 สัปดาห์ ก็มาตรวจดูอวัยวะครบไหม ถ้าอวัยวะครบดี ก็สามารถมาตรวจอีกครั้งตอนอายุครรภ์ 28 - 32 สัปดาห์ การเจริญเติบโตเป็นอย่างไร มาตรวจความผิดปกติของกระดูก เป็นต้น
การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ทุกรูปแบบเป็นกระบวนการตรวจสแกนแบบพื้นฐาน ไม่เจ็บปวดและไม่เสี่ยงอันตราย เป็นการตรวจโดยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านร่างกายและแสดงผลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผู้ป่วยสามารถเห็นภาพได้ชัดเจน โดยเฉพาะคุณแม่ที่สามารถคอยตรวจความผิดปกติของลูกน้อยในครรภ์ เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ก็สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที