KIEMAN

ผู้เขียน : KIEMAN

อัพเดท: 08 มิ.ย. 2023 09.26 น. บทความนี้มีผู้ชม: 10309 ครั้ง

ยอดธรรมะพระอริยสงฆ์


อุบายแห่งวิปัสสนาอันเป็นเครื่องถ่ายถอนกิเลส

ธรรมชาติของดีทั้งหลาย ย่อมเกิดมาจากของไม่ดี มีอุปมาดั่งดอกบัวปทุมชาติอันสวย ๆ งาม ๆ ก็เกิดจากโคลนตม อันเป็นของสกปรก ปฏิกูลน่าเกลียด แต่ว่าดอกบัวนั้นเมื่อโผล่พ้นโคลนตมแล้ว ย่อมเป็นที่สะอาดเป็นที่ทัดทรงของพระราชาอุปราชอำมาตย์ และเสนาบดี เป็นต้น และดอกบัวนั้นก็มิกลับคืนไปสู่โคลนตมอีกเลย ข้อนี้เปรียบเสมือนพระโยคาวจรเจ้า ผู้ประพฤติพากเพียรประโยคพยายามย่อมพิจารณาซึ่งสิ่งสกปรกน่าเกลียด จิตจึงพ้นสิ่งสกปรกน่าเกลียดได้ สิ่งสกปรกน่าเกลียดนี้คือตัวเรานี้เองร่างกายนี้เป็นที่ประชุมแห่งของโสโครก คือ อุจจาระ ปัสสาวะ สิ่งที่ออกจากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ก็เรียกว่าขี้ทั้งหมด เช่น ขี้หัว ขี้เล็บ ขี้ฟัน ขี้ไคล เมื่อสิ่งเหล่านี้ร่วงหล่นสู่อาหาร มีแกงกับเป็นต้องรังเกียจ ต้องเททิ้งกินไม่ได้ และร่างกายนี้ต้องชำระอยู่เสมอจึงพอเป็นของดูได้ ถ้า หากไม่ชำระขัดสีก็จะมีกลิ่นเหม็นสาบ เข้าใกล้ใครก็ไม่ได้ ของทั้งปวงมีผ้าแพรเครื่องใช้ต่างๆเมื่ออยู่นอกกายของเราก็เป็นของสะอาดน่าดู แต่เมื่อมาถึงกายแล้วก็เป็นของสกปรกไป เมื่อปล่อยไว้นานๆไม่ซักฟอกก็จะเข้าใกล้ใครไม่ได้เลย เพราะเหม็นสาบ ดังนี้จึงได้ความว่า ร่างกายของเรานี้เป็นเรือนมูตร เรือนคูถ เป็นอสุภะ ของไม่งาม ปฏิกูล น่าเกลียด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ถึงปานนี้ เมื่อชีวิตหาไม่แล้ว ยิ่งสกปรกหาอะไรมาเปรียบเทียบมิได้เลย เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย จึงมาพิจารณาร่างกายอันนี้ให้ชำนิชำนาญด้วยโยนิโสมนัสิการ ตั้งแต่ต้นมาเลยทีเดียว คือขณะเมื่อยังเห็นไม่ทันชัดเจน ก็พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งร่างกายอันเป็นที่สบายแห่งจริต จนกระทั่งปรากฏเป็นอุคคหนิมิตคือ ปรากฏส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วก็กำหนดส่วนนั้นให้มาก เจริญให้มาก ทำให้มาก การเจริญทำให้มากนั้นพึงทราบอย่างนี้ อันชาวนาเขาทำนาก็ทำที่แผ่นดิน ไถที่แผ่นดิน ดำลงไปในนา ไถที่ผืนดิน ดำลงไปในดิน ปีต่อไปเขาก็ทำที่ดินอีกเช่นเคย เขาไม่ได้ทำนาในอากาศกลางหาว คงทำแต่ที่พื้นดินอย่างเดียว ข้าวเขาก็ได้เต็มยุ้งเต็มฉางเองเมื่อทำให้มากในที่ดินนั้นแล้ว ไม่ต้องเรียกว่า ข้าวเอยจงมาเต็มยุ้งเน้อ ข้าวก็จะหลั่งไหลมาเอง และจะห้ามว่า ข้าวเอยข้าวจงอย่ามาเต็มยุ้งฉางเราเน้อ ถ้าทำนาในที่นั้นเองจนสำเร็จแล้วข้าวก็จะมาเต็มยุ้งเต็มฉาง ฉันใดก็ดี พระโยคาวจรเจ้าก็ฉันนั้นคงพิจารณากายที่เคยพิจารณา อันถูกนิสัยหรือที่ปรากฏมาให้เห็นครั้งแรก อย่าละทิ้งเลยเป็นอันขาด การทำให้มากนั้น มิใช่หมายความแต่ว่าการเดินจงกรมเท่านั้นให้มีสติ หรือพิจารณาในทุกที่ทุกสถาณในทุกกาลทุกเมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ให้สติรอบคอบในกายอยู่เสมอ จึงชื่อว่าทำให้มาก เมื่อพิจารณาในร่างกายนั้นจนชัดเจนแล้ว ให้พิจารณาแบ่งส่วนแยกส่วนออกเป็นส่วนๆ ตามโยนิโสมนสิการตลอดจนกระจายออกเป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และพิจารณาให้เห็นเป็นไปตามนั้นจริงๆ อุบายตอนนี้ตามแต่ตนจะใคร่ครวญ ออกอุบายตามที่ถูกจริตนิสัยของตน แต่อย่าละทิ้งหลักเดิมที่ตนได้รู้ครั้งแรกนั้นเทียว พระโยคาวจรเจ้าเมื่อพิจารณาในที่นี้ พึงเจริญให้มาก ทำให้มาก อย่าพิจารณาครั้งเดียวแล้วปล่อยทิ้งตั้งครึ่งเดือนตั้งเดือนให้พิจารณาก้าวเข้าไป ถอยออกมาเป็นอนุโลม ปฏิโลม คือเข้าไปสงบในจิต แล้วถอยออกมาพิจารณากาย อย่าพิจารณากายอย่างเดียวหรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว พระโยคาวจรเจ้าพิจารณาอย่างชำนาญแล้ว หรือชำนาญอย่างยิ่งแล้ว คราวนี้แลเป็นส่วนที่จะเป็นเอง คือจิตย่อมจะรวมใหญ่ คือหมดทั้งโลกย่อมเป็นธาตุทั้งสิ้นนิมิตจะปรากฏขึ้นพร้อมกันว่า โลกนี้ราบเหมือนหน้ากลอง เพราะมีสภาพเป็นอันเดียวกัน ไม่ว่าป่าไม้ ภูเขา มนุษย์ สัตว์ แม้ที่สุดตัวของเราก็ต้องล้มราบเป็นที่สุดอย่างเดียวกัน พร้อมกับญาณสัมปยุตต์คือรู้ขึ้นมาพร้อมกันในที่นี้ ตัดความสนเทห์ในใจได้เลย จึงชื่อว่ายถาภูตญาณทัสสนวิปัสสนา คือเห็นทั้งรู้ตามความเป็นจริง ข้ันนี้เป็นเบื้องต้นในอันที่จะดำเนินต่อไป ไม่ใช่ที่สุด อันพระโยคาวจรเจ้าพึงเจริญให้มากทำให้มาก จึงจะเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งอีกจนรอบจนชำนาญ เห็นแจ้งชัดว่าโน้นเป็นเราเป็นความไม่เที่ยง อาศัยอุปาทานความยึดถือจึงเป็นทุกข์ ก็แลธาตุทั้งหลายเขาหากมีหากเป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดขึ้น เสื่อมไป อยู่อย่างนี้มาก่อนเราเกิด ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก็เป็นอยู่อย่างนี้ อาศัยอาการของจิตขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปปรุงแต่ง สำคัญมั่นหมายทุกภพทุกชาติ นับเป็นเอนกชาติเหลือประมาณมาจนถึงปัจจุบันชาติ จึงทำให้จิตหลงอยู่ตามสมมติ ไม่ใช่สมมติมาติดเอาเรา เพราะธรรมชาติทั้งหลายทั้งหมดในโลกนี้ จะเป็นของมีวิญญาณหรือไม่ก็ตาม เมื่อว่าตามความเป็นจริงแล้วเขาหากมี หากเป็น เกิดขึ้นเสื่อมไป มีอยู่อย่างนั้นทีเดียว โดยไม่ต้องสงสัยเลย จึงรู้ว่า ธรรมดาเหล่านี้หากมีมาแต่ก่อน ถึงว่าจะไม่ได้ยินได้ฟังมาจากใคร ก็มีอย่างนั้นทีเดียว ฉะนั้นความข้อนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่าเราไม่ได้ฟังมาจากใคร มิได้เรียนมาจากใครเลย เพราะของเหล่านี้มีอยู่ มีมาแต่ก่อนพระองค์ดังนี้ได้ความว่า ธรรมดาธาตุทั้งหลายย่อมมีย่อมเป็นอยู่อย่างนั้นอาศัยอาการของจิตเข้าไปยึดถือเอาสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นมาหลายภพหลายชาติ จึงเป็นเหตุให้เป็นไปตามสมมตินั้น เป็นเหตุให้อนุสัยครอบงำจิตจนหลงเชื่อไปตาม จึงเป็นเหตุให้ก่อภพก่อชาติ ด้วยอาการของจิตเข้าไปยึด ฉะนั้น พระโยคาวจรเจ้าจึงมาพิจารณาโดยแยบคาย ลงไปตามสภาพว่า สังขารความเข้าไปปรุงแต่งคืออาการของจิตนั่นแล ไม่เที่ยง โลกสัตว์เขาเที่ยง คือ มีอยู่เป็นอยู่อย่างนั้น ให้พิจารณาโดยอริยสัจจธรรมทั้งสี่ เป็นเครื่องแก้อาการของจิตให้เห็นแน่แท้โดยปัจจักขสิทธิว่า ตัวอาการของจิตนี้เองไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะเหตุที่ไม่เห็นโดยปัจจักขสิทธิว่า ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ จึงหลงตามสังขาร เมื่อเห็นจริงลงไปแล้วก็เป็นเครื่องแก้อาการของจิต จึงปรากฏขึ้นว่า สังขารทั้งหลายที่เที่ยงแท้ไม่มี สังขารเป็นอาการของจิตต่างหาก เปรียบเหมือนพยับแดดส่วนสัตว์เขาก็อยู่ประจำโลกแต่ไหนแต่ไรมา เมื่อรู้โดยเงื่อนไข สองประการคือ รู้ว่าสัตว์ก็มีอยู่อย่างนั้นสังขารก็เป็นอาการของจิตเข้าไปสมมติเขาเท่านั้น ฐิติภูตัง จิตตั้งอยู่เดิมไม่มี อาการเป็นผู้หลุดพ้น ได้ความว่า ธรรมดาหรือธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน จะใช่ตนอย่างไร ของเขาหากเกิดมีอย่างนั้น ท่านจึงว่าธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน ให้พระโยคาวจรเจ้าพึงพิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์ตามนี้ จนทำ ให้รวบพับลงไปให้เห็นจริงแจ้งชัดตามนั้น โดยปัจจักขสิทธิพร้อมกับญาณสัมปยุตต์ปราฏขึ้นมาพร้อมกัน จึงชื่อว่าวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ทำในที่นี้จนชำนาญเห็นจริงแจ้งประจักษ์พร้อมกับการรวมใหญ่และญาณสัมปยุตต์ รวมทวนกระแสแก้อนุสัยสมมติเป็นวิมุตติหรือรวมลงฐีติจิต อันเป็นอยู่มีอยู่อย่างนั้น จนแจ้งประจักษ์ในืี่นั้นด้วยญาณสัมปยุตต์ว่า ขีณา ชาติ ญานัง โหติ ดังนี้ ในที่นี้ไม่ใช่สมมติ ไม่ใช่ของแต่งเอาเดาเอา ไม่ใช่ของอันบุคคลพึงปรรถนาเอาได้ เป็นของที่เกิดขึ้นเอง เป็นเอง รู้เองโดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะด้วยการปฏิบัติอันเข้มแข็งไม่ท้อถอย พิจารณาโดยแยบคายด้วยตนเอง จึงจะเป็นขึ้นมาเอง ท่านเปรียบเสมือนต้นไม้ต่าง มีต้นข้าวเป็นต้น เมื่อบำรุงรักษาต้นมันให้ดีแล้ว ผลคือรวงข้าวไม่ใช่สิ่งอันบุคคลพึงปรารถนาเอาเลยขึ้นมาเอง ถ้าแลบุคคลมาปรารถนาเอาแต่รวงข้าว แต่หาได้รักษาต้นข้าวไม่ เป็นผู้เกียจคร้าน จะปรารถนาจนวันตายรวงข้าวก็จะไม่มีขึ้นมาให้เลยฉันใด วิมุตติธรรมก็ฉันนั้นนั่นแล มิใช่สิ่งอันบุคคลจะพึงปราถนาเอาได้ คนผู้ปรารถนาวิมุตติธรรม แต่ปฏิบัติไม่ถูกหรือไม่ปฏิบัติ มัวเกียจคร้านจนตัวตาย จะประสบวิมุตติธรรมไม่ได้เลย ด้วยประการฉะนี้


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที