ตอนที่ 102
วันที่ 27
การบริหารงานแบบปล่อยวาง (3)
จากตัวอย่างการทำ workshop ของบริษัทพัฒนากิจออโตพาร์ท เป็นการประยุกต์ Emptiness Management ….จากหลักธรรมะ….ความว่างเปล่า….ปรับมาเป็นการบริหารงานแบบปล่อยวาง…เพื่อใช้กำหนดเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์การบริหารองค์การ….คุณยงยุทธ์ CEO วางเป้าหมายให้เริ่มที่กระบวนการผลิตชิ้นส่วยอะไหล่รถยนต์…ในสายการผลิต A ……เพียงผู้รับผิดชอบในสายทำงานโดยตรง กับผู้บริหารHR…ก็สามารถสร้างระบบการบริหารแบบใหม่ๆที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมขององค์การได้…ผ่านทางการตกผลึกทางความคิดและถูก….modification….เป็น management model ใหม่ๆขึ้นมา…ที่เกิดจากประสบการณ์จริงๆในการทำงานโดยสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร…เหมาะสมกับชีวิตประจำวันของผู้ทำงาน….และถูกแปลงออกมาเป็นวิธีการปฏิบัติโดยผ่านกระบวนการ….brainstorming and participation….ของผู้ทำงานโดยตรง…..คุณสมชาย…ก็เปิดโอกาสให้ระดับหัวหน้าสายงานและผู้จัดการฝ่าย..ช่วยกันระดมความคิดและรวบรวมแล้ว….นำมากำหนดเป็นแนวนโยบายเบื้องต้นของแผนการอบรม…..ซึ่งคุณสมชายพร้อมกับกลุ่มที่เข้าร่วมกันทำ workshop ในครั้งนี้สรุปมาเป็นหลักปฏิบัติของ…..หลักการบริหารแบบปล่อยวาง….ได้4 ข้อดังนี้
1. การกำหนดงานที่ทำให้เหมาะสมกับสังขารและความสามารถของบุคลากร :
ข้อนี้นำมาใช้ได้กับทุกส่วนขององค์กร/องค์การ….ทำให้คนทำงานมีความยินดีและเต็มใจทำงานตามหน้าที่….พร้อมที่จะทุ่มเทกำลังกายและสติปัญญาให้กับองค์กร/องค์การ…อย่างสุดความสามารถ…..การปล่อยวาง จะช่วยไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบแรงงานและเป็นผู้ที่มีมนุษยธรรม….!
2. มีหลักธรรมะในการบริหารงานในข้อ…. สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายา…"สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น"….เมื่อปล่อยวางก็เกิดความสงบและเป็นสุข :
ข้อนี้ทำให้เกิดการทำงานด้วยความมานะ พยายาม และอดทนเพื่อความสำเร็จ ขององค์กร/องค์การ…เมื่อตนเองสำเร็จองค์กรก็สำเร็จด้วย…การปล่อยวางที่ยึดธรรมะขั้นต้น จะทำให้เกิดความยินดีและพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่และได้รับ ไม่อิจฉาริษยา…ทำความดี ไม่หวังลาภ ยศ รู้จักประมาณตน…และรู้หน้าที่และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว
ข้อนี้อยู่ในขั้นพัฒนาจิต ทำให้…รู้จักตัวตนที่แท้จริงมากขึ้นจนกระทั่งรู้ว่าตัวเอง ตนเอง ร่างกาย เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีเกิดขึ้น เจริญเติบโต เสื่อมสลาย และมีการดับสูญ….. การปล่อยวางที่ยึดธรรมะขั้นหลุดพ้นนี้ จะทำให้รู้แน่ว่าทางของการหลุดพ้นคือ อนัตตา คือไม่มีตัวตนจึงไม่มีอำนาจ…ไม่มีผลที่จะมาพึ่งพิงขันธ์ จึงจะหมดทุกข์
4. รู้จักการฝึกสมาธิเบื้องต้นแบบอานาปานสติ…กำหนดรู้ลมหายใจ เข้าออก….ภาวนาว่า“ปล่อยวาง”…. คือ..หายใจเข้า…ปล่อยวาง…หายใจออก….ปล่อยวาง… ปล่อยวางในทุกสิ่งทั้งปวงไม่ยึดมั่นถือมั่น :
ข้อนี้ใช้ในการฝึกตนให้มีสมาธิ เพื่อรักษาคุณธรรมในข้อ 2 และ 3 เป็นการรักษาสภาพธรรมะให้คงอยู่คู่กับตัวเราเป็นการฝึกและเตือนตนให้มีสติและเจริญด้วยปัญญาอยู่ตลอดเวลา….การปล่อยวางที่ยึดหลัก…เจริญอานาปานสติภาวนา จะสร้างความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวในการฝึกสมาธิในชีวิตประจำวันและในชั่วขณะที่ปฏิบัติโดยยึด ไตรลักษณ์ เป็นสรณะ…อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เมื่อเริ่มทำ workshop ในตอนที่ 97….คุณวุฒิชัย และคุณสุชาติ…..ได้ศึกษาหลักเบื้องต้นของ Emptiness Management จากการยกตัวอย่างการหาความสัมพันธ์ของ…ทุกข์…กับ…ความว่างเปล่า…และการนำมาประยุกต์ใช้ในองค์กร/องค์การ…..คุณวุฒิชัย….มีคำถามว่า Emptiness Management เกี่ยวข้องกับการทำงานแบบไคเซ็นอย่างไร?…….ส่วนคุณสุชาติ…..สงสัยว่าจะมีผลกระทบกับการทำ5ส …อย่างไรบ้าง?
จากข้อสรุปนิยามของ …Emptiness Management….เป็นหลักของการบริหารทรัพยากรมนุษย์…ได้จากหลักธรรมะที่ต้องใช้ปัญญาและความรู้จริงของประสบการณ์ในงานที่ทำ....ภายใต้เงื่อนไขและสภาวะหนึ่ง….สามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่น และนำไปใช้ในการบริหารงานภายใน...องค์กร/องค์การ..เรียกว่า…“ การบริหารงานแบบปล่อยวาง” …..เป็นการบริหารที่เข้าใจสังขารขันธ์ของมนุษย์….จุดสิ้นสุดของขันธ์คือการดับหรือความตาย และจุดสุดท้ายที่อนัตตา….การไม่มีตัวตนจึงจะเกิด…ความว่างเปล่า…ในทางปฏิบัติใช้หลัก 4 ข้อ ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น…..และการนำหลักไปประยุกต์ใช้ก็ต้องสอดคล้อกันดังนี้
1. เป็นระบบการบริหารงานที่ดี….เพราะมุ่งที่คุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่จะต้องทำงาน…ตามหน้าที่โดยพิจารณาตามสังขาร….มอบหมายงานให้ทำพอดี เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ความรู้ และความสามารถ……..ซึ่งร่างกายต้องทำงานด้วยความสุขถึงแม้จะอยู่ภายใต้กฎระเบียบของ องค์กร/องค์การ…ก็ตาม
2. เป็นระบบการบริหารที่ต้องอาศัยพลังภายใน…คือจิต…เน้นการฝึกฝนและพัฒนาจิตให้….ส่งผลเพื่อส่งเสริมกับสภาพภายนอกคือกาย….จนเกิดความตั้งใจ ตั้งมั่นที่สติและปัญญา….ทำได้โดยการฝึกสมาธิ เพื่อใช้ในการทำงาน…ช่วยไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการทำงาน…เริ่มจากการสื่อสารสั่งงานถูกต้องแม่นยำ… มีความเข้าใจในงานอย่างแท้จริง…ทำงานมีคุณภาพและประสิทธิภาพ……และทุกอย่างสิ้นสุดที่…ความว่างเปล่าภายในที่จิต…นั่นเอง
3. เพื่อให้ ผู้นำ/ผู้บริหาร…เป็นผู้ที่เข้าใจสังขารขันธ์ดี…จึงเข้าใจใน ทุกข์ และความไม่เที่ยงของอินทรีย์…..ทำให้ทั้ง ผู้นำ/ผู้บริหาร…และผู้ตาม ทำงานด้วยหลักของการใช้…สติและปัญญา
จะเห็นว่าหลักที่นำไปประยุกต์ใช้ทั้ง 3 ข้อจะสอดคล้องกับหลักปฏิบัติของ…การบริหารแบบปล่อยวาง ที่กล่าวมา 4 ข้อ…จึงสามารถหาความสัมพันธ์และตอบปัญหาของคุณวุฒิชัยและคุณสุชาติได้ดังนี้
1. ในกรณีแนวคิดของไคเซ็น.. Kaizen.. เป็น การปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ……Continuous Improvement…..มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานผู้ปฏิบัติงานให้ร่วมกันหาวิธีปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานและสภาพแวดล้อมที่ทำงานให้ดีขึ้น…นำมาซึ่งประสิทธิภาพของการทำงาน….เน้นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่ยังทำงานอยู่….เป็นการรักษามาตรฐานการทำงานให้คงที่คงอยู่คู่ องค์กร/องค์การ….ตลอดไป….หลักไคเซ็น ต้องการให้ทุกคนปฏิบัติเพื่อให้ตนเองทำงานด้วยความสบายทั้งกายและใจเป็นขั้นๆ…ในทางตรงกันข้ามถ้าตัวผู้ทำงานไม่มีการปรับปรุงและพัฒนา…ตัวของเขาเองก็จะได้รับความลำบากมากขึ้น…จนกระทั่งเขาทนไม่ได้…หลักนี้เน้นที่ตัวผู้ทำงานทุกคนให้เกิดความรักในหน้าที่และเต็มใจทำงาน ด้วยความพร้อมที่จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง…..
ไคเซ็นต้องการให้เกิดการกระทำซ้ำๆ (Repetitive)…..ซึมซับเป็นพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ จนเกิดความเคยชิน….โดยสร้างความสุขในการทำงาน….และการกระทำซ้ำๆกันนี้ก็ต้องนำไปสู่ การพัฒนาการทำงานอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) :
จะเห็นว่าเราสามารถนำหลักการปฏิบัติของ …การบริหารแบบปล่อยวาง…มาใช้ได้ทั้ง 4 ข้อ โดยเฉพาะในข้อที่ 1 และ 2…..เป็นการทำให้…ผู้นำ/ผู้บริหาร…มีการมอบหมายงานตามหน้าที่ให้เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ และสภาพร่างกายของผู้ทำงานที่รับได้….ซึ่งแน่นอนเมื่อเกิดความเหมาะสม และความพอดีดังกล่าวแล้ว…สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติงาน เต็มใจและเข้าใจในงาน เกิดความพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง ระบบของงานของ องค์กร/องค์การ….อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ตนเอง…..เกิดความสบายทั้งกายและใจ…ตรงตามหลักของไคเซ็น….และจากหลักการประยุกต์ การบริหารงานแบบปล่อยวาง….ก็สามารถนำมาใช้กับไคเซ็นได้ทั้ง 3 ข้อ….ข้อที่1 ช่วยให้เกิดการมอบหมายงานได้เหมะสมกับผู้ทำงาน…ข้อที่ 2 เป็นการฝึกให้รู้จัก…การทำสมาธิเพื่อช่วยให้ตนเอง….มีสติและปัญญา…มีจิตว่างสามารถคิดและแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ…ข้อ3 ส่งเสริมให้ผู้ที่เข้าถึงใน ความไม่เที่ยงของสังขารและตัวตนที่มาของสุขและทุกข์ต่างๆ
วิธีง่ายๆในการใช้หลัก….การบริหารแบบปล่อยวาง….ผนวกกับหลักไคเซ็นในสายการผลิตA….เริ่มจาก….1. ตรวจสอบดูว่าใน line A มีสิ่งที่ทำให้เกิดความสูญเปล่า / สูญเสีย ใดบ้าง…ก็ให้หาวิธีตัดทอนเพื่อลดสิ่งเหล่านั้นลง…2. หาทางกำจัดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์/สูญเสีย ต่างๆเหล่านั้น ออกไปจากสายการผลิต A ให้ได้…3. ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานที่ทำให้เกิดการสูญเปล่า / สูญเสีย เหล่านั้น….ไปพร้อมๆกับการพัฒนาระบบการทำงานที่ใช้อยู่เดิมให้ดียิ่งขึ้นและต่อเนื่อง
2. หลัก 5 ส.กับการบริหารแบบปล่อยวาง..... กิจกรรม 5 ส. ประกอบด้วย…สะสาง…สะดวก…สะอาด…สุขลักษณะ…สร้างนิสัย…มุ่งเน้นเพื่อให้เกิดการทำงานให้มีประสิทธิภาพ….สามารถเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น โดยเริ่มจากเรื่องที่เป็นพื้นฐานของ….ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์…คือการรักษาความสะอาด….ความเป็นระเบียบเรียบร้อย….ของที่ทำงานทั้งในสำนักงานและภายในโรงงาน….พิจารณาหลักสำคัญของ 5 ส กับหลักการบริหารแบบปล่อยวาง…ควบคู่กันได้ดังนี้
1. การทำ 5 ส เป็นกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกคน…โดยต้องมี ผู้นำ/ผู้บริหาร….เข้าร่วมทำและเป็นผู้นำแผนโดยให้ความสำคัญ….จัดเวลาและงบประมาณเพื่อสนับสนุนอย่างเต็มที่ :
หลักการบริหารแบบปล่อยวางช่วยให้มีการกำหนดหน้าที่ไม่เกินกำลัง และความสามารถของแต่ละคน ในการมีส่วนร่วมในกิจกรรม….จากหลักพื้นฐานการบริหารแบบปล่อยวาง…คือการมีความตั้งใจและใช้สติปัญญาในการทำงานตามหน้าที่อยู่แล้ว…เพราะฉะนั้นเมื่อได้เข้าร่วมทำแผน 5 ส ก็เท่ากับว่าช่วยให้แผนดังกล่าวเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงและยืนยาวอย่างแน่นอน….เพราะทุกส่วนที่แสดงออกมาเป็นธรรมชาติที่มาจากภายในจิต….ด้วยความเต็มใจและให้ความร่วมมืออย่างเต็มความสามารถ
2. แผนการปฏิบัติงาน 5 ส คือ..การจัดฝึกอบรมให้กับพนักงานในองค์กร/องค์การ…ทั่วถึงทุกระดับ…และต้องมีการสร้างแผนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างแรงกระตุ่นเป็นช่วงๆโดยตลอด….เพื่อไม่ให้เกิดการขาดช่วงการปฏิบัติพร้อมกับการสร้างแรงจูงใจตามความเหมาะสมขององค์กร/องค์การ….เพื่อสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร/องค์การ….ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างระบบมาตรฐานให้กับองค์กร/องค์กา….ด้านร่างกายและสภาวะจิต :
การบริหารแบบปล่อยวาง…ช่วยส่งเสริมทางด้านความอดทน การฝึกจิต และการทำสมาธิได้เป็นอย่างดี….โดยไม่เกิดความเบื่อหน่าย จำเจและท้อแท้….แต่กลับทำให้งานที่ทำตามหน้าที่ของตน…และงานตามแผน 5 ส ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติจนกลาย มาเป็นประเพณีขององค์กรในที่สุด…..ช่วยสร้างความมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ ของบุคลากรภายในองค์กร
////////////////////////////////////////
30/4/2554
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที